วิวาห์หวาน นายซาตานที่รักของฉัน - บทที่ 1086 แม่บุญธรรมมาแล้ว
แล้วจิ่งหนิงก็พูดขึ้นอีกว่า “เดี๋ยวฉันเสร็จแล้วจะเรียกคุณค่ะ”
พอเห็นท่าทางที่เขินอายมากแบบนี้ของเธอแล้ว ลู่จิ่งเซินก็อดไม่ได้ที่จะหลุดขำออกมา
“ก็ได้ งั้นคุณระวังหน่อยนะ เสร็จแล้วเรียกผมนะ”
“ค่ะ”
ลู่จิ่งเซินเปิดประตูแล้วเดินออกไปเลย
หลังจากผ่านไปประมาณสามนาทีแล้ว ข้างในก็มีเสียงที่เขินอายของจิ่งหนิงลอยออกมา
“ฉันเสร็จแล้วค่ะ”
เขาถึงได้เปิดประตูเดินเข้าไปอีกครั้ง แล้วช่วยเธอจัดเสื้อผ้าให้เรียบร้อย แล้วก็อุ้มเธอออกมา
พอจิ่งหนิงนอนลงบนเดียว วินาทีนี้ เด็กทารกที่นอนอยู่ในเปลก็ตื่นขึ้นมาแล้ว
แล้วลู่จิ่งเซินก็อุ้มพวกเขาออกมา แล้วก็เปลี่ยนแพมเพิสรวมทั้งป้อนนมให้พวกเขาตามคำแนะนำของจิ่งหนิง
พวกเด็ก ๆ ยังเล็กมาก และก็เป็นฝาแฝดอีก จิ่งหนิงตัวคนเดียวนั้นป้อนไม่ไหวหรอก
และเพราะเหตุนี้จึงป้อนนมแม่ครึ่งหนึ่งและนมผงครึ่งหนึ่ง
ยังดีที่สุขภาพของเจ้าเด็กน้อยทั้งสองคนยังไม่เลว ในตอนที่ถือขวดนมไว้นั้น มือทั้งสองข้างจับไว้แน่นเลย มีบางครั้งแม้แต่จิ่งหนิงก็ดึงไม่ออกเลย
สองวันมานี้ ท่านปู่ลู่และนายหญิงหชินก็มาเยี่ยมทุกวัน
ด้านหนึ่งนั้นเพื่อมาดูพวกเหลน ๆ ส่วนอีกด้านหนึ่งก็เพื่อมาเยี่ยมจิ่งหนิงด้วย
ครั้งนี้ท่านย่ารู้แล้วว่าจิ่งหนิงต้องลำบาก และยังตั้งใจซื้อต้นปะการังต้นใหญ่ต้นหนึ่งมาวางไว้ที่วิลล่าเฟิงเฉียวอีกด้วย
ความหมายก็เพื่อเป็นมงคลสุขภาพแข็งแรง หวังว่าจิ่งหนิงจะสามารถฟื้นฟูกลับมาได้อย่างรวดเร็ว และก็หวังว่าพวกเด็กจะเติบโตขึ้นไปอย่างสุขภาพแข็งแรง
แน่นอนว่าจิ่งหนิงต้องมีความสุขอยู่แล้ว
พอถึงวันที่สาม หัวเหยาก็มาแล้ว
ตอนแรกหัวเหยากะว่าจะมาอยู่เป็นเพื่อนตอนที่จิ่งหนิงคลอดลูกนะ แต่คิดไม่ถึงว่าจิ่งหนิงจะคลอดก่อนกำหนดได้
ในเวลานั้น หัวเหยายังอยู่เป็นเพื่อนจี้หลินยวนจัดการธุระอยู่ต่างประเทศ และด้วยเหตุนี้จึงรีบกลับมาไม่ทัน
มาวันนี้กว่าจะกลับมาอย่างยากลำบากได้แล้ว แน่นอนว่าจะต้องมาดูพวกลูกชายและลูกสาวบุญธรรมของเธอก่อนเป็นอันดับแรกแน่นอน
ใช่ เนื่องจากอานอานและจิ้งเจ๋อน้อยต่างก็ไม่สามารถเป็นลูกชายและลูกสาวบุญธรรมของหัวเหยาได้ ในเมื่อเวลานั้น หัวเหยายังคงขุ่นเคืองกับเรื่องของตัวเองและจี้หลินยวนอยู่ และก็ไม่มีอารมณ์ไปคิดเรื่องพวกนี้
แต่ว่าครั้งนี้ เรื่องทุกอย่างก็จบลงหมดแล้ว แน่นอนว่าเธอจะต้องไม่พลาดไปอีกแน่
หัวเหยาซื้อกำไลข้อมือทองคำมาให้พวกเขาคนละคู่ ไม่ใช่เพราะว่าต้องการอวดร่ำอวดรวย เพียงแต่เพราะเด็ก ๆ แรกเกิดของที่นี่ต่างก็มีวัฒนธรรมสืบต่อกันมาแบบนี้
หลังคลอดออกมาแล้วให้ใส่กำไลทอง ก็มีความหมายว่าเป็นการอวยพรอย่างหนึ่ง
จิ่งหนิงมองดูเธอนั่งเล่นกับเด็ก ๆ อยู่ตรงนั้นไปอย่างยิ้มแย้ม เจ้าตัวเล็กสองคนนั่งชูไม้ชูมือที่อ้วนจ้ำม่ำขึ้น ไปคว้าของเล่นผ้าที่เธอห้อยไว้กลางอากาศ
ภาพไม่ต้องพูดถึงเลยว่าอบอุ่นมากแค่ไหน
และก็ในเวลานี้ จี้หลินยวนก็เดินเข้ามาพอดี
เพราะว่าหัวเหยามาถึงก่อน จี้หลินยวนไปทำธุระมา ก็เลยไม่ทันได้มาด้วยกัน
พอตอนนี้มาแล้ว ถึงได้เอาของขวัญที่ตัวเองจะให้เด็ก ๆ มอบออกมา
ของขวัญที่มาจากผู้สืบทอดของตระกูลจิ้น แน่นอนว่าจะต้องราคาแพงเป็นอย่างมากแน่
จิ่งหนิงยิ้มแล้วก็ช่วยพูดขอบคุณแทนเด็ก ๆ จี้หลินยวนมองไปรอบ ๆ ห้องทีหนึ่ง ก็ไม่เห็นลู่จิ่งเซิน แล้วก็ถามขึ้นอย่างแปลกใจว่า “ลู่จิ่งเซินล่ะ?”
“เขามีธุระเพิ่งออกไปเมื่อกี้ค่ะ”
ช่วงที่ผ่านมานี้ลู่จิ่งเซินอยู่เป็นเพื่อนเธอมาตลอด แล้วก็ไม่ได้ไปจัดการเรื่องของงานเลย
ตอนนี้สถานการณ์ส่วนใหญ่ของเธอก็สงบนิ่งลงมาแล้ว ไม่มีอะไรอุปสรรคอะไรมากแล้ว แล้วก็มีโม่หนานกับพยาบาลอยู่ด้วย พวกโม่ไฉ่เวยกับท่านย่าก็มาหาบ่อย ๆ ในห้องผู้ป่วยนั้นไม่เงียบเหงาเลย แต่กลับดูจะคึกคักเกินไปหน่อยด้วยซ้ำ
เพราะฉะนั้น ลู่จิ่งเซินถึงได้วางใจจากไปเป็นเวลาสั้น ๆ ครู่หนึ่ง
พอจี้หลินยวนได้ยิน ก็พยักหน้าเล็กน้อย
จิ่งหนิงมองดูปฏิกิริยาของ แล้วพูดอย่างคาดเดาขึ้นว่า “คุณมีธุระหาเขาเหรอคะ?”
“อืม มีธุระนิดหน่อย”
น้ำเสียงของเขาหนักหน่วงเล็กน้อย ใจของจิ่งหนิงจึงอดไม่ได้ที่จะเต้นกระตุกขึ้นมาทีหนึ่ง
ความรู้สึกที่ไม่ดีอย่างหนึ่งพุ่งขึ้นมาอย่างไม่รู้ตัว
“รีบร้อนมากเหรอคะ? ถ้าไม่รีบมากก็นั่งรอสักครู่ก่อนได้ค่ะ เขาน่าจะกลับมาเร็ว ๆ นี้แล้ว”
จิ่งหนิงพูดแล้ว ก็ชี้ไปที่โซฟาในห้องรับแขกข้างนอก
ห้องที่เธออยู่เป็นห้องชุดขนาดใหญ่ เป็นห้องพักผู้ป่วยแบบVVIP
จิ่งหนิงอยู่ในห้องนอนที่อยู่ข้างใน ข้างนอกเป็นพวกห้องรับแขก และห้องครัวเล็กอะไรพวกนั้น
จี้หลินยวนเองก็ไม่ได้ปฏิเสธ และมองหัวเหยาทีหนึ่ง
หัวเหยากำลังนั่งหันหลังให้กับเขากำลังเล่นกับเด็ก ๆ อยู่ ไม่ได้สนใจเขาเลยสักนิด แล้วก็พูดไปตรง ๆ ว่า “คุณไปเถอะ ฉันจะอยู่กับลูกชายและลูกสาวบุญธรรมของฉันที่นี่”
จี้หลินยวนรู้สึกหดหู่เล็กน้อย
แต่สุดท้าย เขาก็ยังออกไปรอที่ข้างนอกตัวคนเดียว
ในเมื่อ หัวเหยาสามารถอยู่เป็นเพื่อนจิ่งหนิงและเด็ก ๆ ในห้องนอนได้ แต่เขาเป็นชายตัวโตคนหนึ่งอยู่ด้วย ยังไงก็ต้องรู้สึกอึดอัดอยู่บ้าง
โชคยังดี ลู่จิ่งเซินไม่ได้ให้เขารอนานมากเกินไป
ประมาณสิบกว่านาทีให้หลัง ก็กลับมาแล้ว
พอเข้าประตูมา มองเห็นจี้หลินยวนที่นั่งอยู่บนโซฟา ก็รู้สึกแปลกใจเล็กน้อย
“ทำไมคุณถึงมาได้ล่ะ?”
จี้หลินยวนลุกขึ้นมา
“มีเรื่องอยากจะคุยกับคุณนิดหน่อย”
ท่าทีของเขาดูไปแล้วไม่เหมือนกับว่าจะพูดเรื่องดีอะไร ลู่จิ่งเซินคิดดูเล็กน้อย แล้วก็พยักหน้าให้
“ได้ รอผมเอาของไปวางก่อน เดี๋ยวเราเปลี่ยนที่คุยกันสักที่ดีกว่า”
เขาพูดแล้ว ก็หิ้วของในมือที่เพิ่งซื้อมาให้จิ่งหนิงซึ่งเป็นของที่เธอชอบกินทั้งนั้น และเดินเข้าห้องนอนไป
ในวินาทีนี้ ในห้องนอน
หัวเหยาได้อุ้มเด็กออกมาจากเปลนอนแล้ว
เจ้าจันทร์น้อยโดนเธออุ้มไว้ในอ้อมอก แต่เจ้าเพรชน้อยกลับนอนอยู่ในข้อพับของจิ่งหนิงบนเตียง เด็กทั้งสองโดนพวกเธอสองคนหยอกเล่นจนหัวเราะคิกคัก
การมาถึงของลู่จิ่งเซิน ได้ดึงดูดความสนใจของเด็ก ๆ ไป ต่างก็ลืมตางดงามดวงโตคู่หนึ่งอยู่ แล้วมองไปทางประตูอย่างแปลกใจ
ในตอนที่พวกเขาเพิ่งเกิดมานั้น ลู่จิ่งเซินยังมีความรังเกียจพวกเขาอยู่เล็กน้อย
ตอนนี้ผ่านมาไม่กี่วัน เด็ก ๆ ก็ได้เปลี่ยนจากสีแดงคล้ำผิวย่น ๆ ในตอนที่แรกเกิด เปลี่ยนมาเป็นตัวสีชมพูอ่อนนุ่มราวกับเพชรพลอยราวกับไข่มุกอย่างในตอนนี้
ในใจของลู่จิ่งเซินนั้นรู้สึกหลงรักแทบไม่ไหว เดินไปถึงก็หอมบนแก้มของเจ้าตัวเล็กคนละหนึ่งที
จิ่งหนิงยิ้มแล้วพูดขึ้นว่า “คุณไปไหนมาคะ?”
“ไปทำธุระนิดหน่อย แล้วก็ยังซื้อของหวานที่คุณชอบมาให้คุณหน่อยด้วย”
เพราะว่าตอนนี้จิ่งหนิงยังต้องอยู่ไฟอยู่ อาหารของคนอยู่ไฟนั้นค่อนข้างที่จะจืดชืดจริง ๆ จิ่งหนิงมักจะรู้สึกว่าในปากจืดชืดจนอดอยากปากแห้งมากเลย
วันนี้กว่าจะได้ถือโอกาสที่คนอื่นไม่อยู่ จึงได้ขอร้องให้ลู่จิ่งเซินช่วยซื้อของอะไรที่มีรสชาติมาให้เธอกินหน่อย
ลู่จิ่งเซินโดนเธอตื๊อจนเหนื่อยหน่าย จึงแอบไปถามเชวซู่เป็นการส่วนตัวว่าตอนนี้กินของหวาน จะผลกระทบอะไรต่อร่างกายผู้หญิงหลังคลอดหรือเปล่า
พอได้คำตอบจากเชวซู่ว่ากินนิดเดียวไม่เป็นไรแล้ว ถึงได้ไปซื้อให้เธอด้วยตัวเอง
พอจิ่งหนิงได้ยินว่าซื้อของหวานมา ดวงตาก็สว่างขึ้นเลย
พอรับของมาอย่างเบิกบานใจสุด ๆ ก็ได้ยินลู่จิ่งเซินพูดขึ้นว่า “จี้หลินยวนมีธุระจะมาคุยกับผม ผมก็เลยจะออกไปอีกครั้ง คุณพักผ่อนไปดี ๆ ก่อนนะ ถ้ามีเรื่องอะไรก็เรียกพยาบาล หรือว่าโทรศัพท์หาผมนะ”
จิ่งหนิงอึ้งไปเล็กน้อย พอคิดถึงท่าทีของจี้หลินยวนเมื่อกี้ คิ้วเรียวก็ขมวดเข้าหากันเล็กน้อย
“มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นแล้วใช่หรือเปล่าคะ? พวกคุณ……”
“ไม่มีอะไรหรอก ไม่ต้องเป็นห่วงนะ”
ลู่จิ่งเซินลูบหัวเธออย่างปลอบโยนเล็กน้อย และข้าง ๆ หัวเหยาเองก็พูดเกลี้ยกล่อมขึ้นด้วยว่า “เธอไม่ต้องไปเป็นกังวลแทนพวกเขาแล้ว เป็นเรื่องของผู้ชายทั้งนั้น ให้พวกเขาไปจัดการกันเองเถอะ”
พอจิ่งหนิงได้ยิน ก็เงียบขรึมไปครู่หนึ่งทันที แต่สุดท้ายก็พยักหน้าให้เล็กน้อย
“งั้นคุณระวังตัวหน่อยนะคะ”
เธอเงยหน้าขึ้นมามองลู่จิ่งเซิน แล้วก็พูดขึ้นอย่างห่วงใย
หัวใจของลู่จิ่งเซินอ่อนไปส่วนหนึ่ง ยิ่งรู้สึกรักเธอจนแทบไม่ไหวแล้ว แล้วก็ก้มหน้าลงไปจูบหน้าผากเธอเล็กน้อย
แล้วถึงได้พยักหน้าและพูดขึ้นว่า “ได้ ผมจะระวัง”
พูดจบ ก็หมุนตัวออกไปเลย
รอจนแผ่นหลังของชายหนุ่มหายไปจากประตูจนหมดแล้ว จิ่งหนิงถึงได้ดึงแขนเสื้อของหัวเหยาทีหนึ่งอย่างแปลกใจ