ศึกเดือด มหากาฬ - บทที่ 90 ความในใจของเฉินอี
ต่างอ้างเอาแต่เหตุผลของฝ่ายตน
คือเหตุการณ์ที่เป็นอยู่ในขณะนั้น
แต่ก็ต้องบอกว่า ถ้าสิ่งที่ฉินปิงหลันพูดนั้นเป็นความจริง ฝ่ายที่ผิดชัดเจนก็ต้องเป็นประธานเกาและหัวหน้าเหอ
เดี๋ยวก่อน
จู่ ๆ วังจ่างหลินเอ่ยปาก พูดยิ้ม ๆ ว่า วังซื่อกรุ๊ปใช่ของคุณเฉินหรือไม่ เรื่องนี้พวกคุณไม่ต้องมายุ่ง แต่ความสามารถของคุณเฉินมันเหนือความคาดหมายของพวกคุณแน่นอนจริง ๆ ข้อนี้ผมยืนยันได้
ถึงแม้ว่าตัวเขาเองก็ไม่รู้ว่าเฉินอีทำอะไรได้บ้าง แต่เพียงแค่ดูระดับชั้นบุคคลก็ไม่เห็นจำเป็นต้องโกหก ฉะนั้นสิ่งที่เฉินอีได้พูดไปต้องเป็นเรื่องจริงแน่นอน
จิ่งหลิงเลิกคิ้วขึ้น หล่อนไม่เห็นต้องไปคิดมาก แม้รู้สึกว่าที่เฉินอีพูดออกจะคุยโว แต่ตำแหน่งที่ดำรงอยู่ หล่อนก็ไม่กล้าที่จะพูดหักหน้าเฉินอี ก็จึงคล้อยตามคำพูดของวังจ่างหลินไป
ผมไม่เชื่อ!
หัวหน้าเหอกับประธานเกาพูดขึ้นตามกัน
วังจ่างหลินก็ให้รู้สึกไม่พอใจ กำลังจะพูดอะไรออกไปแต่เสียงของเฉินอีดังขึ้นก่อน
ไม่เชื่อ ก็ได้
ในเมื่อผมก็ไม่เคยมีความสามารถให้เป็นที่ประจักษ์ พวกคุณไม่เชื่อก็เป็นเรื่องปกติ ถ้างั้นเดี๋ยวผมจะแสดงให้พวกคุณเห็นให้เป็นที่ยอมรับกันทั้งปากและใจ
มีอีกเรื่องหนึ่ง ก่อนที่จะเห็นหลักฐานเพื่อยืนยันข้อเท็จจริง ต่อไปก็อย่าเพิ่งชี้ตรงไปว่าใครคนไหนเป็นพวกต้มตุ๋นหลอกลวงนะ
ประโยคหลังสุดนี้ตั้งใจพูดให้ซ่งหลานฟัง
ถึงแม้จะไม่ชอบพฤติกรรมของผู้หญิงคนนี้เอามาก ๆ แต่เห็นว่านิสัยเดิมก็ไม่เลวนัก เฉินอีจึงไม่ถือสาอะไรหล่อนมาก
บริเวณนอกห้องเปียโน
คนมากมายเกาะกลุ่มกันอยู่ พวกเขาต่างรู้ว่ามีคนดังจะมา
ส่วนพวกกลุ่มเด็กนักเรียน ก็มากันแบบเฮฮาร่วมวงคึกคักกัน
อาจารย์ใหญ่จิ่ง ท่านให้พวกเรามาทำอะไรกันหรือ?
อาจารย์ดนตรีสามท่าน ซึ่งเป็นนักเปียโนโดยตรง สองชายหนึ่งหญิง
หนึ่งชายในนั้นกับอีกหนึ่งหญิงอายุยังรุ่นหนุ่มสาว ผู้ที่อยู่ข้างหน้าพวกเขาดูมีอายุ เป็นท่านผมหงอกขาว
มองเห็นได้ว่าทั้งคู่หนุ่มสาวนั้นให้ความเคารพต่อผู้สูงวัยนั้นอยู่มาก
อาจารย์หลิว ที่พวกเราได้เชิญท่านมานั้น ด้วยอยากขอให้ท่านช่วยพิจารณ์ฝีมือการเล่นเปียโนของคุณผู้ชายท่านหนึ่ง
หือ?
ได้ฟังคำพูดอาจารย์จิ่งแล้ว ท่านหลิวเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย ถามว่า ไม่ทราบว่าฝีมือเปียโนของคุณผู้ชายท่านนั้นอยู่ในระดับไหน?
อ่า…….
อาจารย์จิ่งให้รู้สึกไม่รู้จะตอบยังไงได้
ท่านหลิวนึกไม่พอใจ พูดว่า ขนาดว่าเป็นมืออาชีพระดับไหนยังไม่รู้ชัด มันจะไม่ทำให้ผมต้องมาเสียเวลาเปล่าหรือ?
คงไม่ใช่พวกมือสมัครเล่นนะ แต่ถ้าเป็นคุณผู้ชาย คงไม่ถึงขนาดจะให้ท่านท่านหลิวรับเป็นลูกศิษย์นะ
ผู้ชายวัยหนุ่มนั่นพูดยิ้ม ๆ
ขณะนั้นเอง หัวหน้าเหอก็เสนอหน้าเข้ามา แค่นหัวเราะเย้ย ๆ มือเปียโนสมัครเล่นอะไรที่ไหน แค่พวกคนชอบคุยโอ้อวด ยังคุยว่าตัวเองนั้นอยู่ในกลุ่มนักเปียโนระดับโลก ตอนหลังนี้รู้สึกเบื่อหน่ายเลยไม่ได้เล่นต่อ
ฮื่อ?
ท่านหลิวยิ่งให้เกิดความไม่พอใจมากขึ้น ถึงขนาดออกอาการไม่สบอารมณ์
ไม่มีกาลเทศะ ขนาดอาจารย์ของผมเองท่านท่านซูยังไม่กล้าคุยว่าเป็นนักเปียโนระดับโลกเลย ใครคนที่ไหนกันกล้าพูดว่าตัวเองเป็นมือระดับโลก
ระดับโลก
เป็นอันดับเกียรติที่สูงที่สุด
ใครอยู่ได้ถึงระดับนี้ จะได้รับการบันทึกในประวัติศาสตร์ทีเดียว อย่างบีโธเฟน โชแปงเหล่านี้ที่เรียกได้ว่าไอน์สไตน์แห่งวงการนักเปียโนเลยนะ
เขาชื่ออะไรหรือ?
อาจารย์หลิวถาม หัวหน้าเหอรีบตอบไป เฉินอี
ฮึ นักเปียโนระดับปรมาจารย์ของโลก ผมก็ได้ยินชื่อมาหมด ไม่เคยเห็นชื่อนี้มีอยู่ในสารบัญเลย อีกอย่างเท่าที่รู้คือยังไม่เคยเห็นมีคนทางตะวันออกขึ้นไปอยู่ถึงระดับโลกเลย
อาจารย์ของเขาท่านซู ไม่ใช่ ถ้าให้ชัด ๆ ต้องบอกว่าเขาเคยได้เข้าไปฟังการบรรยายของท่านซูอยู่ครั้งหนึ่งแล้วก็เชิดตัวเองว่าเป็นลูกศิษย์ท่านซู ท่านนี้นับได้ว่ามีระดับ แต่ก็เพียงนักเปียโนระดับสุดยอดในประเทศ คงยังห่างระดับโลกอยู่อีก
แล้วจู่ ๆ ก็โผล่ใครมาไม่รู้ กล้าอ้างตัวเองว่าอยู่ในกลุ่มนักเปียโนระดับโลก มันช่างน่าหัวเราะ
และไม่นาน เขาก็ได้พบกับเฉินอี แววตาฉายออกซึ่งดูแปลก ๆ
เขานี่หรือ?
ท่านหลิวมองคนที่อยู่ข้างหน้าตั้งแต่หัวจรดเท้าหลายตลบ ส่ายหน้าไปพลางพูดว่า ผมไม่เคยเห็นคนคนนี้เลย เป็นพวกอยู่นอกวงการชัด ๆ
พวกคุณนี่ก็จริง ๆ นะ กับคนระดับไม่มีที่มาที่ไปประเภทนี้ก็มากวนเวลาผม มันน่าหัวเราะเสียจริง
พูดจบก็เตรียมตัวจะกลับ ในขณะที่เฉินอีที่นั่งอยู่หน้าเปียโนอยู่ก่อนแล้ว ลูบมือไปบนคีย์บอร์ด ภายในดวงตาส่อเห็นอดีตตาม ๆ มาเป็นระลอก
ว่ากันไปตั้งแต่ก่อน เขาเคยเรียนเปียโนมาด้วยระยะเวลายาวนานประมาณหนึ่ง หลังจากนั้นก็ได้ไปพบปะกับกลุ่มนักเปียโนระดับโลกหลายท่าน ตัวเองก็ได้ปรับฝีมือตัวเองขึ้นไปจนถึงระดับนี้
ช่างให้ความรู้สึกคิดถึงที่จากกันไปแสนนานจริง ๆ
เฉินอีสูดหายใจเข้าลึก ๆ และก็เริ่มลงมือบรรเลงทันที
โบราณทางตะวันออกมีพูดกันว่า เสียงเพลงกรีดไส้บาดใจขาด
เสียงเพลงที่เฉินอีบรรเลงไม่ได้อ่อนพลิ้ว ขมขื่น ให้ความรู้สึกหดหู่หมดหวัง
แต่กลับให้ได้ความรู้สึกซาบซึ้งไปในความงามอย่างน่าพิศวง
คงเหมือนในชีวิตจริงที่ผ่านจากการเริ่มต้นที่แสนเศร้า ค่อย ๆ ดั้นด้นขึ้นพ้นจากหุบที่ลึกมืด และพบกับคนที่ทำให้เขายากที่จะเลือนลืมได้ตลอดทั้งชีวิต
หลังจากนั้นก็ต้องก้าวเข้าไปในสนามรบที่ไม่สามารถบอกเล่าได้จากใจจริง ผ่านการรบราฆ่าฟันเกินจะนับครั้งได้ บาดแผลทั้งกายเป็นรอยไปถึงใจ หลายครั้งเฉียดผ่านหน้าประตูนรก จนสุดท้ายได้กลับมาอยู่กันพร้อมหน้ากับครอบครัว
อะไรกันขนาดนี้!
แต่ละคนที่ฟังเป็นงง
ถึงแม้พวกเขาจะไม่รู้ชีวิตเกิดอะไรขึ้นในที่ผ่านมาของเฉินอี แต่ล้วนน้ำตาซึมจากความรู้สึก
มีแต่ฉินปิงหลันที่ฟังเข้าใจ
นี่คือเฉินอี เจ้าสำราญลอยชายในวัยหนุ่ม แต่กลับต้องเจอมรสุมระดับฟ้าถล่ม ผ่านลำบากยากทุกข์มากมาย จนได้กลับมาหาตน อยู่กันพร้อมหน้ากับลูก
เฉินอี
ฉินปิงหลันสะท้านสั่นในหัวใจ
หล่อนรู้สึกเจ็บแปลบในใจขึ้นมาในพลันนั้น อยากเข้าไปโอบกอดเฉินอี อยากบอกกับเฉินอีว่าไม่ว่าเรื่องอะไรที่เกิดขึ้นผ่านมา หล่อนพร้อมแล้วจะอภัยให้ทุกอย่าง
เริ่มแต่นี้ต่อไป เฉินอีก็คือสามีของหล่อน เป็นผู้ที่หล่อนจะใช้ชั่วทั้งชีวิตเฝ้าคู่อยู่ด้วยกัน
เพลงบรรเลงจบเสร็จ
คนที่อยู่ฟังทั้งหมดต่างเช็ดน้ำตา
เยี่ยม เยี่ยม เยี่ยม!
ที่เอ่ยปากว่าเยี่ยมมาถึงซ้ำสามไม่ใช่ใครอื่น ก็คือท่านหลิวก่อนหน้านี้นั้นเอง
เขามองเฉินอีอย่างลึกซึ้ง มาตรฐานการบรรเลงเปียโนของเจ้าหนุ่มคนนี้ อย่างน้อยต้องเป็นระดับมืออาชีพขั้นที่เก้า แต่จะว่าถึงขั้นระดับโลกนั้น ผมคงไม่ขอมีความเห็น เพราะเพลงนี้เขาแต่งขึ้นเองมาบรรเลงกันสด ๆ
พูดมาถึงที่นี่ เขาหายใจลึก ๆ
อาจารย์ใหญ่โจว อาจารย์ใหญ่จิ่ง พวกท่านได้ทำให้ผมได้เปิดหูเปิดตาในครั้งนี้ ต้องทำให้ยอมรับผิดในทิฐิของตัวเอง ถึงแม้ดูเขาจะมีน้ำเสียงคุยโอ่ในตัวอยู่บ้าง แต่ข้อเท็จจริงก็แสดงให้เห็นถึงความเก่งกาจของเขาจริง ๆ
ที่สำคัญเป็นที่สุดคือความที่อายุยังน้อยของเขา คน ๆ นี้ โอกาสก้าวเข้าไปอยู่ในกลุ่มระดับโลกนั้นมีแน่นอน!
นี่เป็นข้อวิจารณ์ของท่านหลิว
อาจารย์ใหญ่โจว อาจารย์ใหญ่จิ่งต่างรู้สึกสะท้านอยู่ในใจ
ส่วนหัวหน้าเหอยังซ่งหลันกับอีกหลายคนต่างกลืนน้ำลายลงคอกันเอื้อกใหญ่
เห็นทีเราจะมองคนผิดไปแล้ว
ซ่งหลันคิดถึงคำพูดของเฉินอีก่อนหน้านี้ ให้รู้สึกอยากหาแผ่นดินมุดหนีไปเดี๋ยวนั้น