สตรีแกร่งตระกูลไป๋ - ตอนที่ 1069 นกอินทรี
ตอนที่ 1069 นกอินทรี
ไป๋ชิงเหยียนเข้าไปประคองไป๋ชิงอวี๋ให้ลุกขึ้น ส่งสายตาให้เว่ยจงประคองหวังต้งลุกขึ้น
ไป๋ชิงเหยียนปัดเศษหิมะที่เกาะอยู่บนบ่าของไป๋ชิงอวี๋ออก ดวงตาแดงก่ำมองไปทางหวังต้งพลางกล่าวยิ้มๆ “พวกเจ้ารอดชีวิตมาได้ถือเป็นเมตตาสูงสุดจากสวรรค์แล้ว ข้ารู้ว่าพวกเจ้าทุกคนพยายามปกป้องอาอวี๋อย่างเต็มที่ที่สุดแล้ว ข้าต่างหากที่ควรขอบคุณพวกเจ้า ขอบคุณที่พวกเจ้าสละชีพปกป้องเขาไว้ พาอาอวี๋กลับมาหาข้า กลับมาหาตระกูลไป๋และมารดาของข้า!”
หวังต้งรู้สึกจุกแน่นในลำคอ ในที่สุดพวกเขาก็ได้กลับบ้านเสียที
ไป๋ชิงเหยียนกำมือไป๋ชิงอวี๋แน่น จากนั้นถามด้วยความเป็นห่วง “พี่ให้เจ้ากลับไปควบคุมสถานการณ์ในเมืองหลวงไม่ใช่หรือ เหตุใดจึงเดินทางมาที่นี่กัน”
“พี่หญิงไม่ต้องเป็นห่วงขอรับ ข้าให้ลุงผิงกุมตัวอ๋องแห่งหรงตี๋กลับไปยังเมืองหลวงแล้ว เมืองหลวงมีหลู่ไท่เว่ย ท่านลุงและท่านแม่อยู่ไม่มีทางเกิดเรื่องอันใดขึ้นหรอกขอรับ ข้าเป็นห่วงพี่หญิงจึงพาคนเดินทางมาที่นี่ขอรับ” ไป๋ชิงอวี๋มองไปที่หน้าท้องของไป๋ชิงเหยียน “ตอนนี้ไม่มีสิ่งใดสำคัญไปกว่าพี่หญิงและเด็กในท้องอีกแล้วขอรับ”
ไป๋ชิงเหยียนเอื้อมมือลูบศีรษะของไป๋ชิงอวี๋อย่างแผ่วเบา เมื่อหลังมือสัมผัสโดนไอเย็นจากหน้ากากสีเงินที่ไป๋ชิงอวี๋สวมอยู่บนใบหน้า ไป๋ชิงเหยียนกล่าวออกมาเสียงสะอื้น “เดี๋ยวให้หมอหงดูอาการให้เจ้า ไม่แน่เขาอาจรักษาหายได้”
“วันนี้คือการเจรจาเชื่อมไมตรีของสี่แคว้น อาอวี๋จะเดินทางไปกับพี่หญิงขอรับ เมื่อกลับมาค่อยให้ท่านหมอหงตรวจอาการขอรับ” ไป๋ชิงอวี๋ไม่ได้บอกไป๋ชิงเหยียนว่าเขาสิ้นหวังกับบาดแผลไฟไหม้บนใบหน้าไปแล้ว…ได้กลับมาบ้านก็ดีมากพอแล้ว
ไป๋จิ่นจื้อในชุดนักรบสวมรองเท้าหนังกวางเดินเข้ามาในเรือนเพื่อรายงานความเรียบร้อยให้ไป๋ชิงเหยียนทราบด้วยท่าทีองอาจ เมื่อเดินเข้ามาในเรือนจึงเห็นพี่สาวของตัวเองยืนอยู่ตรงระเบียงทางเดิน สาวน้อยเอ่ยเรียกออกมาเบาๆ “พี่หญิงใหญ่…”
เมื่อเห็นร่างสูงโปร่งในชุดเสื้อคลุมสีดำหันหน้ากลับมา แม้จะเห็นใบหน้าเพียงครึ่งซีก ทว่า ไป๋จิ่นจื้อกลับเบิกตาโพลง นางรู้ว่าพี่ชายห้ายังมีชีวิตอยู่ตอนอยู่ที่ต้าเหลียง ทว่า นึกไม่ถึงเลยว่าจะได้พบกับพี่ชายห้าที่นี่!
“พี่ชายห้า!” ไป๋จิ่นจื้อเรียกออกมาอย่างไม่อยากเชื่อสายตาตัวเอง เมื่อเห็นใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้มของไป๋ชิงอวี๋ ขอบตาของไป๋จิ่นจื้อร้อนผ่าวขึ้นทันที นางรีบวิ่งเข้าไปหาไป๋ชิงอวี๋จนเกือบสะดุดกองหิมะล้ม ตะโกนเรียกเสียงดัง “พี่ชายห้า พี่ชายห้า!”
ไป๋ชิงอวี๋รับร่างที่เกือบล้มลงบนพื้นของน้องสาวได้ทัน ใบหน้าของสาวน้อยเต็มไปด้วยหยาดน้ำตา นางจับแขนของไป๋ชิงอวี๋แน่น ก้มหน้าลูบแขนของพี่ชายห้าของตัวเองไปมา ไม่รู้ว่าควรร้องไห้หรือหัวเราะออกมาดี นางเงยหน้ามองพี่ชายห้าที่กลับมาอย่างปลอดภัย จากนั้นเปล่งเสียงร้องไห้ออกมาทันที
พี่ชายห้าตัวเป็นๆ ไม่ใช่ความฝัน คือพี่ชายห้าจริงๆ พี่ชายห้ายังมีแขนขาครบถ้วน พี่ชายห้าของนางกลับมาแล้ว
“พี่ชายห้า พี่ชายห้า พี่ชายห้า…” ไป๋จิ่นจื้อราวกับสูญเสียการสนทนาไปแล้ว สาวน้อยเอ่ยเรียกพี่ชายห้าของตัวเองซ้ำไปซ้ำมา จากนั้นถลาเข้าไปกอดพี่ชายพลางเปล่งเสียงร้องไห้โฮออกมา สาวน้อยใช้กำปั้นทุบไปที่อกของพี่ชายอย่างอดไม่ได้ “เหตุใดพี่ชายห้าเพิ่งกลับมาเจ้าคะ เหตุใดเพิ่งกลับมา!”
ไป๋ชิงเหยียนถอนหายใจยาวออกมายิ้มๆ นางมองดูไป๋ชิงอวี๋เอื้อมมือลูบศีรษะของไป๋จิ่นจื้ออย่างปลอบโยน ทว่า ไม่ยอมเปล่งเสียงออกมา นางรู้ว่าไป๋ชิงอวี๋กลัวว่าเสียงของตัวเองจะทำให้ไป๋จิ่นจื้อตกใจ
ตอนที่หมอหงรู้ข่าวว่าคุณชายห้าไป๋ชิงอวี๋ของตระกูลไป๋กลับมาแล้ว ขบวนของต้าโจวเดินทางไปยังจุดนัดหมายเจรจาเชื่อมไมตรีแล้ว
หมอหงยืนมองขบวนที่ทอดยาวท่ามกลางหิมะด้วยสายตาที่แดงก่ำอยู่บนกำแพงเมือง เขากำขอบกำแพงอิฐตรงหน้าแน่นพลางถอนหายใจออกมา ไอหนาวออกมาจากปากของเขา เขารู้สึกขอบคุณสวรรค์ที่เมตตาส่งคุณชายห้ากลับมา ในขณะเดียวกันก็โลภมากอยากให้คุณชายคนอื่นในกองทัพไป๋มีชีวิตรอดกลับมาอีก
เทียนเฟิ่งซึ่งเป็นผู้นำในการจัดการเจรจาขึ้นในครั้งนี้มาถึงก่อนหน้าทุกแคว้น พวกเขาจัดเตรียมกระโจม อาหารและนางรำพร้อมเสร็จสรรพ
ศิษย์คนโตของจอมเวทย์แห่งแคว้นเทียนเฟิ่งยืนอยู่หน้ากระโจมกับจักรพรรดิซ่าเอ่อร์เข่อฮั่น เขาเงยหน้ามองนกอินทรีที่บินส่งเสียงร้องอยู่บนท้องฟ้าเหนือหิมะ
ซ่าเอ่อร์เข่อฮั่นสวมชุดยาวสีขาวขลิบทองซึ่งเป็นชุดประจำตำแหน่งจักรพรรดิแห่งแคว้นเทียนเฟิ่ง สีขาวคือสีที่บริสุทธิ์และศักดิ์สิทธิ์ที่สุดในเทียนเฟิ่ง มีเพียงคนของราชวงศ์เท่านั้นที่ใช้ได้ เขาหมุนแหวนทับทิมสีแดงซึ่งเป็นสัญลักษณ์แห่งอำนาจที่นิ้วของตัวเองเล่น ดวงตาลึกล้ำก้มมองพื้นดินตรงหน้า ไม่รู้ว่ากำลังคิดสิ่งใดอยู่
“ฝ่าบาทไม่ต้องเป็นห่วงพ่ะย่ะค่ะ เทพเจ้าต้องเข้าข้างพวกเราเทียนเฟิ่งแน่นอน ไม่มีแคว้นใดเคารพและบูชาเทพเจ้ามากกว่าแคว้นเทียนเฟิ่งของพวกเราอีกแล้วพ่ะย่ะค่ะ” ศิษย์คนโตของจอมเวทย์กล่าวกับซ่าเอ่อร์เข่อฮั่น
“ตอนนั้นจอมเวทย์กล่าวว่าซีเหลียงสิ้นวาสนาแล้ว เทพเจ้าทอดทิ้งซีเหลียง ไม่ปกป้องซีเหลียงอีกต่อไป พวกเราจึงพากองทัพช้างบุกมาที่นี่ ต่อมาจอมเวทย์จึงถูกลงโทษ…” ซ่าเอ่อร์เข่อฮั่นเงยหน้าขึ้น แววตาของเขาล้ำลึกจนมองไม่เห็นก้นบึ้งของแววตา “ข้ากำลังคิดว่าหากเราสังหารเจ้าของดินแดนที่เทพเจ้าเลือกให้เป็นเจ้าของ เทพเจ้าจะลงโทษพวกเราหรือไม่”
เมื่อศิษย์ของจอมเวทย์เห็นท่าทีของซ่าเอ่อร์เข่อฮั่นจึงเงียบไปครู่หนึ่ง จากนั้นกล่าวขึ้น “เทพเจ้าเลือกนกอินทรีเป็นเจ้าของท้องฟ้า เลือกสิงโตเป็นเจ้าของแผ่นดิน ทว่า นกอินทรีที่ดุดันที่สุดไม่เพียงสามารถจับแกะที่อยู่บนที่ราบได้ บางครั้งยังสามารถจับสิงโตซึ่งเป็นเจ้าของแผ่นดินมาเป็นอาหารได้เช่นเดียวกัน”
ซ่าเอ่อร์เข่อฮั่นหันไปมองศิษย์ของจอมเวทย์ “เจ้าหมายความว่าเจ้าไม่กลัวว่าเทพเจ้าจะลงโทษเทียนเฟิ่งเหมือนที่จอมเวทย์กล่าวไว้อย่างนั้นหรือ”
ศิษย์ของจอมเวทย์ส่ายหน้า “จักรพรรดิของกระหม่อม กระหม่อมหมายความว่าถึงแม้เทพเจ้าจะเลือกเจ้าของให้ดินแดนแห่งนี้แล้ว ทว่า พระองค์คือคนที่เทพเจ้าเลือกเช่นเดียวกัน หากพระองค์สังหารเจ้าของดินแดนแห่งนี้ เทพเจ้าอาจพิโรธ ทว่า เทพเจ้าอาจไม่ลงโทษเทียนเฟิ่งของเราพ่ะย่ะค่ะ”
ซ่าเอ่อร์เข่อฮั่นขมวดคิ้วแน่น เขาไม่ค่อยเข้าใจคำกล่าวของศิษย์ของจอมเวทย์เท่าใดนัก ศิษย์คนโตของจอมเวทย์ทำความเคารพซ่าเอ่อร์เข่อฮั่น “ฝ่าบาทได้โปรดอภัย กระหม่อมไม่อาจรับรู้เจตนารมณ์ของเทพเจ้าได้ทั้งหมดเหมือนท่านจอมเวทย์ กระหม่อมทำได้เพียงวิเคราะห์ให้ฝ่าบาทฟังเท่านั้นพ่ะย่ะค่ะ”
“เทพเจ้าจะอยู่ข้างผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดพ่ะย่ะค่ะ” ซ่าเอ่อร์เข่อฮั่นเงยหน้ามองนกอินทรีที่บินโฉบอยู่บนท้องฟ้า เขาหรี่ตาแคบลง ไม่นานจึงกล่าวขึ้น “เทียนเฟิ่งของพวกเราต้องเป็นนกอินทรี!”
ศิษย์ของจอมเวทย์ไม่กล่าวสิ่งใดทั้งสิ้น เขารับรู้การตัดสินใจที่เด็ดเดี่ยวของซ่าเอ่อร์เข่อฮั่นจากคำกล่าวเมื่อครู่แล้ว ซ่าเอ่อร์เข่อฮั่นยังคงต้องการสังหารเจ้าของดินแดนแห่งนี้
จู่ๆ นกอินทรีที่บินอยู่บนท้องฟ้าไม่หยุดก็ส่งเสียงร้องแหลมออกมา
ศิษย์คนโตของจอมเวทย์มองไปทางทิศเหนือ จากนั้นรีบกล่าวขึ้น “ฝ่าบาท…”
ซ่าเอ่อร์เข่อฮั่นหันไปมองทางทิศเหนือเช่นเดียวกัน
ท่ามกลางเกล็ดหิมะที่โปรยปราย ดินแดนที่กว้างใหญ่สุดลูกหูลูกตา ขบวนสีดำเคลื่อนตัวเข้ามาใกล้จุดนัดหมายเจรจาเชื่อมไมตรี ซ่าเอ่อร์เข่อฮั่นมองเห็นผู้ที่อยู่ด้านหน้าสุดของขบวนอย่างรวดเร็ว บุรุษสวมหน้ากากครึ่งซีกในชุดนักรบนั่งอยู่บนหลังม้าสูง ลมพัดเสื้อคลุมกันลมของเขาจนสยายขึ้นเล็กน้อย…