สตรีแกร่งตระกูลไป๋ - ตอนที่ 110 ไม่มีวันดับสูญ
ตอนที่ 110 ไม่มีวันดับสูญ
ชุนเถาและตานจือ สาวใช้ข้างกายของไป๋จิ่นถงยืนรออยู่หน้าประตูเรือน เมื่อเห็นคุณหนูทั้งสองเดินออกมาจึงรีบกางร่มเดินเข้าไปหาคุณหนูทั้งสองอย่างรวดเร็ว
ไป๋จิ่นถงรับร่มมาจากตานจือแล้วกางให้ไป๋ชิงเหยียนพลางกล่าวขึ้น
“พวกเจ้าสองคนกลับไปก่อนเถิด ข้ากับพี่หญิงใหญ่จะเดินเล่นต่ออีกสักพัก”
“เอาโคมไฟมาให้ข้า” ไป๋ชิงเหยียนรับโคมไฟมาจากมือของชุนเถา
สองพี่น้องเดินสนทนาไปตามทางเดินซึ่งปูด้วยหินสีเขียวอ่อนที่เต็มไปด้วยหิมะปกคลุมไปยังศาลาอี้เฟิง
“พี่ได้ยินท่านย่าบอกว่าท่านหาฐานะที่เหมาะสมสำหรับเจ้ามาให้เจ้าแล้ว เจ้าเลือกแล้วหรือไม่” ไป๋ชิงเหยียนเอ่ยถาม
“เลือกแล้วเจ้าค่ะ ข้าเลือกนามชุยเฟิ่งเหนียน รู้สึกว่าไพเราะดีเจ้าค่ะ อีกอย่างตระกูลชุยก็เป็นตระกูลพ่อค้าอยู่แล้ว เพียงแต่ล้มละลายไปเมื่อสิบปีก่อน ตระกูลชุยมีย่าที่ตาบอด และสติไม่สมประกอบอยู่คนหนึ่ง ผู้อื่นจะได้ไม่สงสัยฐานะของข้ามากนัก”
หญิงสาวพยักหน้า “พี่ตั้งใจจะให้คนที่ลุงผิงเลือกมาไปคอยติดตามรับใช้เจ้าหลังจากที่พวกเขาจัดการเรื่องนี้เสร็จ”
“พี่หญิงใหญ่ ท่านย่ามอบคนให้ข้ามากมายแล้วเจ้าค่ะ” ไป๋จิ่นถงกล่าว
ไป๋ชิงเหยียนชะงักฝีเท้า หันกลับไปมองหน้าไป๋จิ่นถงนิ่ง
“คนพวกนั้นเป็นคนที่ท่านย่ามอบให้ เจ้าต้องใช้ และใช้อย่างคุ้มค่า ทว่าหากมีบางเรื่องที่เจ้าต้องมอบให้คนที่ฟังคำสั่งของเจ้าเพียงคนเดียวไปจัดการ เจ้าจะไม่มีคนของตัวเองไว้คอยรับใช้!”
ไป๋จิ่นถงเม้มปากแน่น คาดเดาว่าพี่หญิงใหญ่ต้องการเตือนนางอย่างอ้อมๆ ให้คอยระวังท่านย่าใช่หรือไม่
“เจ้าอย่าคิดมาก พี่แค่ไม่อยากให้ท่านย่าเสียใจ” หญิงสาวจับมือไป๋จิ่นถงเดินต่อไปข้างหน้า
“ท่านย่าอายุมากแล้ว ท่านอยากเห็นจวนเจิ้นกั๋วกงและราชวงศ์หลินรักใคร่ปรองดองสามัคคีกัน บางเรื่อง หากเจ้าทำเกินความคาดหมายของท่านย่า ท่านย่าต้องไม่ยอมอยู่นิ่งอย่างแน่นอน เจ้าต้องไม่ลืมว่าท่านย่าเป็นท่านย่าของเรา แต่ก็เป็นองค์หญิงใหญ่ของแคว้นต้าจิ้นด้วย”
“ข้าทราบแล้วเจ้าค่ะพี่หญิงใหญ่ ข้าจะให้ท่านย่าเห็นเฉพาะสิ่งที่ท่านต้องการเห็นเท่านั้นเจ้าค่ะ” ไป๋จิ่นถงกล่าว
ลูกน้องที่หลูผิงไว้ได้ และรู้พื้นเพ เบื้องลึกเบื้องหลังเป็นอย่างดีมีเพียงสิบกว่าคนเท่านั้น เขาคัดเลือกผู้ที่เก็บความลับได้ดีที่สุดออกมาสิบคนจากนั้นนำรายชื่อไปรายงานให้ไป๋ชิงเหยียนทราบ
ไป๋ชิงเหยียนส่งรายชื่อให้ไป๋จิ่นถง “ต่อไปคนพวกนี้คือคนของเจ้า เจ้าจะไปพบพวกเขาสักหน่อยหรือไม่”
“ข้าเชื่อใจคนที่ลุงผิงเลือกเจ้าค่ะ ไม่จำเป็นต้องไปพบล่วงหน้าหรอกเจ้าค่ะ ถึงเวลาก็ต้องได้เจอกันอยู่ดี” ไป๋จิ่นถงกล่าว
หญิงสาวพยักหน้า หันไปมองหลูผิง ดวงตาคมกริบ น้ำเสียงรวดเร็วหนักแน่น
“ในเมื่อเป็นโจรก็จงปลอมตัวให้เนียนที่สุด อย่าส่อพิรุธใดๆ เด็ดขาด ไม่ต้องจงใจไว้ชีวิตไป๋ฉีอวิ๋น และพรรคพวกหลังเสร็จเรื่องไม่ต้องกลับมารายงาน ให้แยกเป็นสองกลุ่ม กลุ่มหนึ่งมุ่งหน้าไปยังเขาอู่เต้า อ้างชื่อของท่านพ่อของข้าเชิญหลิวเจิ้งอวี๋เซียนเซิงแห่งตระกูลหลิวออกมาจากเขา อีกกลุ่มปลอมตัวเป็นผู้ดูแลร้านค้า และบ่าวรับใช้เข้าไปในเมืองซั่วหยางก่อนเกิดเรื่องเพื่อตกลงเรื่องการค้าขายใบชาขาวทางทะเลแทนชุยเฟิ่งเหนียนผู้เป็นเจ้านาย จากนั้นให้พวกเขาคอยติดตามรับใช้คุณหนูสาม…”
“ขอรับ!” หลูผิงก้มศีรษะรับคำ
ยามจื่อ ด้านนอกเรือนฉางโซ่ว เจี่ยงหมัวมัวฟังรายงานจากหญิงชราที่ดูแลจวนนอกจบจึงตบรางวัลให้หญิงชราผู้นั้นเป็นเงินหนึ่งถุง จากนั้นถลกชายกระโปรงเดินเข้าไปในเรือนอย่างรีบร้อน
องค์หญิงใหญ่ซึ่งผมขาวโพลนนั่งหลับตาเอนพิงหมอนลายดอกไม้มงคลคู่อยู่บนเตียง ห่มผ้านวมลายดอกไม้สีม่วง มือนับลูกประคำ ผ้าม่านยังไม่ได้ถูกปลดลง ร่างครึ่งท่อนขององค์หญิงใหญ่ซ่อนอยู่ในมุมมืดซึ่งแสงเทียนส่องไปไม่ถึง
“องค์หญิงใหญ่…” เจี่ยงหมัวมัวเดินไปหยุดอยู่ข้างกายองค์หญิงใหญ่ เอ่ยเสียงแผ่วเบา
“บุตรอนุของท่านชายรองไปถึงหมู่บ้านอย่างปลอดภัยแล้วเพคะ สิ่งใดควรบอกก็บอกกับพวกเขาไปหมดแล้ว บัดนี้เป็นช่วงปีใหม่ พวกเขาสองแม่ลูกไม่มีที่ไป เมื่อองค์หญิงใหญ่สัญญาว่าจะคุ้มครองเขาให้ปลอดภัย อีกทั้งเขาถือว่าตัวเองเป็นสายเลือดที่เหลืออยู่เพียงคนเดียวของจวนเจิ้นกั๋วกง เขาย่อมรู้ดีว่าการพักอยู่ที่หมู่บ้านส่งผลดีต่อเขามากกว่า เมื่อพวกเขาตัดสินใจพักอยู่ที่หมู่บ้านนั่นแล้ว สตรีวัยกลางคนผู้นั้นจะไม่อาจมีชีวิตรอดกลับออกมาได้อีกเพคะ”
องค์หญิงใหญ่ถอนหายใจเฮือกใหญ่
“อย่าให้อาเป่ารู้เรื่องนี้นะ!”
เมื่อได้ยินคำกล่าวนี้ เจี่ยงหมัวมัวขอบตาร้อนผ่าวทันที
“ความจริง คุณหนูใหญ่ไม่ได้ต้องการจะเอาชีวิตบุตรอนุผู้นี้นะเพคะ”
องค์หญิงใหญ่หลับตาที่เปียกชื้อของตัวเองลง
“ข้าไม่ได้ทำเพราะกลัวอาเป่าจะเอาชีวิตลูกอนุของตารอง ข้าแค่ไม่อยากให้อาเป่ามือเปื้อนเลือดของสตรีกลางคนผู้นั้น! อาเป่าเป็นเพียงเด็กคนหนึ่งเท่านั้น นางทำเพื่อตระกูลนี้มามากแล้ว เรื่องขัดต่อศีลธรรมเช่นนี้ให้หญิงแก่ใกล้ตายอย่างข้าเป็นคนลงมือเถิด!”
เจี่ยงหมัวมัวรับคำพลางคุกเข่าลงข้างกายองค์หญิงใหญ่ จับมือของนางอย่างแผ่วเบา
“บ่าวทราบแล้วเพคะ องค์หญิงใหญ่รักคุณหนูใหญ่มากที่สุดอยู่แล้ว”
เช้าวันรุ่งขึ้น เป็นดังที่ไป๋ชิงเหยียนคาดไว้จริงๆ ไป๋ฉีอวิ๋นนำตั๋วเงินจำนวนจำนวนสี่แสนห้าหมื่นตำลึงเดินทางออกจากเมืองหลวงมุ่งตรงไปยังซั่วหยางพร้อมกับคนของเขา
ก่อนเดินทาง ไป๋ฉีอวิ๋นสั่งกับญาติผู้น้องทั้งสองคนให้ไปที่จวนเจิ้นกั๋วกงอีกรอบ พรุ่งนี้ต้องเดินทางกลับซั่วหยางทันที
ไม่ถึงเที่ยงวัน ฮ่องเต้ทรงมีราชโองการออกมาถึงสี่ราชโองการ เนื้อหาที่อยู่ในราชโองการทำให้ชาวบ้านคุกเข่าลงศีรษะคำนับแนบพื้น ชมเชยว่าฮ่องเต้ทรงปราดเปรื่อง
ราชโองการแรก ฮ่องเต้ทรงมีพระราชโองการให้ผู้พิพากษาของศาลต้าหลี่จับกุมตัวจงหย่งโหวฉินเต๋อเจา และสืบเรื่องเสบียงอาหารที่ส่งไปที่หนานเจียงอย่างละเอียด
ราชโองการที่สอง หลิวฮ่วนจางกบฏ สั่งประหารทั้งตระกูล
ราชโองการที่สาม ซิ่นอ๋องถูกถอดยศกลายเป็นเพียงสามัญชน เนรเทศไปอยู่ที่หย่งโจวห้ามกลับมาเมืองหลวงอีกเลยตลอดชีวิต ทายาทของซิ่นอ๋องถูกถอดยศกลายเป็นสามัญชน โดนกักบริเวณอยู่แต่ในจวนซิ่น
ราชโองการที่สี่ แต่งตั้งเจิ้นกั๋วกงเป็นเจิ้นกั๋วอ๋อง แต่งตั้งเจิ้นกั๋วกงซื่อจื่อเป็นเจิ้นกั๋วกง
องค์หญิงใหญ่นำบรรดาสตรีตระกูลไป๋คุกเข่ารับพระราชโองการอยู่หน้าประตูจวนเจิ้นกั๋วกง ท่านชายบุตรอนุที่ยังไม่ได้เดินทางกลับซั่วหยางหน้าซีดเผือด มองสบตากัน ในใจเต็มไปด้วยความหวาดกลัว
ฮ่องเต้ทรงแต่งตั้งเจิ้นกั๋วกงเป็นเจิ้นกั๋วอ๋อง แสดงว่าฮ่องเต้ไม่เพียงไม่เกลียดจวนเจิ้นกั๋วกง แต่กลับยกย่องให้อีกต่างหาก
แต่งตั้งเป็นอ๋องเชียวนะ อ๋องคนละแซ่! แม้เป็นเพียงการแต่งตั้งเพื่อยกย่องให้แก่ผู้ที่เสียชีวิตแล้ว ทว่าก็ถือเป็นเกียรติยศอันสูงส่งอยู่ดี!
ไป๋ชิงเหยียนคุกเข่าอยู่หน้าศพจุดธูปบอกกล่าวเจิ้นกั๋วกงหนึ่งดอก ก้มศีรษะคำนับแนบพื้น เงยหน้าขึ้นมาทั้งน้ำตา เจ็บปวดทรมานใจเป็นอย่างมาก
“ท่านปู่ ท่านพ่อ หลิวฮ่วนจางผู้ทรยศโดนประหารทั้งตระกูล ซิ่นอ๋องถูกถอดยศกลายเป็นเพียงสามัญชน โดนเนรเทศไปที่หย่งโจว ห้ามกลับมาเมืองหลวงอีกเลยตลอดชีวิต สวรรค์คืนความบริสุทธิ์ให้ตระกูลไป๋แล้วเจ้าค่ะ บุรุษตระกูลไป๋ของเราล้วนเป็นวีรบุรุษ เป็นวิญญูชนผู้ภักดีที่ไม่เคยทำผิดต่อชาวบ้าน แม้ร่างกายจะตายไปแล้ว ทว่า จิตวิญญาณไม่มีวันดับสูญ ท่านอาและน้องชายทุกคนหลับให้สบายได้แล้วนะเจ้าคะ!”
หญิงสาวก้มศีรษะคำนับแนบพื้น
พี่น้องตระกูลไป๋คุกเข่าน้ำตานองหน้าอยู่ด้านหลังไป๋ชิงเหยียน ก้มศีรษะแนบพื้น
ชาวบ้านที่อยู่ด้านนอกได้ยินคำว่า ‘หลับให้สบาย’ ก็ทุบอกร้องไห้ออกมาทันที ความเจ็บปวดที่ซ่อนอยู่ในใจแผ่ออกมาจนทุกคนรู้สึกสะเทือนใจไปตามๆ กัน เสียงร้องไห้ดังระงมไปทั่ว
ชาตินี้ นางไม่ได้ปล่อยให้ท่านปู่ถูกตราหน้าว่าดึงดันออกรบ ถูกฝังอย่างเหยียดหยาม และถูกข้อครหาจากทุกคนอีกแล้ว
ทว่า ต่อให้ได้รับการแต่งตั้งเป็นอ๋องแล้วอย่างไรกัน บุรุษที่จงรักภักดีของตระกูลไป๋ฟื้นคืนชีพขึ้นมาได้หรือไม่
นางจะไม่ฝากความหวัง เกียรติยศของตระกูลไป๋ไว้ในมือของผู้อื่นอีกต่อไปแล้ว
นางต้องการอำนาจและการบารมี!
นางจะไม่ยอมให้ชีวิตของตระกูลไป๋ตกอยู่ในมือของผู้อื่นอีกต่อไปแล้ว
การลงโทษซิ่นอ๋องของฮ่องเต้ในครั้งนี้ร้ายแรงกว่าที่ฮ่องเต้ตรัสกับนางในท้องพระโรงวันนั้นเสียอีก
นางกล้าพนันได้เลยว่าฮ่องเต้ทรงตัดสินพระทัยให้นางเดินทางไปยังหนานเจียงแล้ว พระองค์จึงทรงแสดงท่าทีเป็นมิตร กระทั่งทรงยอมอ่อนข้อให้นางเช่นนี้
———————————————
[1] ยามจื่อ หมายถึง ช่วงเวลาระหว่าง 11.00-01.00 นาฬิกา