สตรีแกร่งตระกูลไป๋ - ตอนที่ 1123 รังแก
ตอนที่ 1123 รังแก
เฉิงหย่วนจื้อตะโกนจบจึงร้องไห้โฮออกมาด้วยความเจ็บปวดอย่างทนต่อไปไม่ไหว…ในที่สุดเขาก็แก้แค้นให้ทุกคนสำเร็จแล้ว!
ไป๋ชิงเหยียนพยายามควบคุมอารมณ์อ่อนไหวของตัวเอง พยายามข่มน้ำตาที่คลออยู่ในดวงตาแดงก่ำไม่ให้ไหลออกมา นางมองไปทางสนามรบที่หนานเจียง กำบังเหียนในมือแน่น ในที่สุดนางก็ได้ชำระแค้นส่วนตัวเสียที!
ท่านปู่ ท่านพ่อ ท่านอา น้องชายและทหารกองทัพไป๋ทุกคนจะได้นอนตายตาหลับเสียที
ต่อจากนี้นางจะสานต่อปณิธานของตระกูลไป๋…รวมรวบใต้หล้าให้เป็นหนึ่งให้สำเร็จ!
นางจะทำให้ใต้หล้าแห่งนี้มีแต่ทหารที่ไม่ต้องทำสงครามอีกต่อไป!
ไป๋ชิงเหยียนกระตุกบังเหียนม้าในมืออย่างแรงพลางหันไปกล่าวกับเสิ่นเหลียงอวี้ “เสิ่นเหลียงอวี้! รีบนำคนไปจับตัวหลี่เทียนเจียวในป่าลึกของภูเขาไหลอันมาเดี๋ยวนี้!”
“เสิ่นเหลียงอวี้รับบัญชาพ่ะย่ะค่ะ!” เสิ่นเหลียงอวี้รับคำแล้วขี่ม้าจากไปทันที
ณ หุบเขาหานเหวินซึ่งอยู่ไกลออกไป
ซ่าเอ่อร์เข่อฮั่นไม่นึกมาก่อนเลยว่ากองทัพใหญ่ของต้าโจวจะดักซุ่มอยู่ในหุบเขาหานเหวินล่วงหน้าเช่นนี้ ลูกธนูไฟและน้ำมันเพลิงพุ่งออกมาจากหน้าผาทั้งสองด้าน กองทัพช้างยักษ์ถูกไฟเผาจนวิ่งชนกันเอง พวกมันวิ่งชนจนหน้าผาสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง
อากาศเต็มไปด้วยเปลวเพลิงและกลิ่นฉุนแสบจมูกของพริกไทยและพริกแห้งเผา ดูเหมือนกองทัพต้าโจวจะขนเชื้อเพลิงที่สามารถจุดไฟได้ทุกชนิดมาที่นี่เพื่อหวังทำลายกองทัพช้างของพวกเขาจนสิ้นซากโดยไม่สนว่าต้องแลกด้วยสิ่งใด! ดฮณ๊ฯดฯฌซ,
กองทัพต้าโจวยืนอยู่บนภูเขาสูงไม่ยอมลงมาด้านล่าง พวกเขาโจมตีกองทัพช้างด้วยธนูไฟและน้ำมันเพลิงเท่านั้น แคว้นเทียนเฟิ่งที่มั่นใจในกองทัพช้างของตัวเองมาโดยตลอดเริ่มหวาดกลัวขึ้นมาทันที
กลิ่นไหม้ลอยคลุ้งไปทั่วบริเวณ แม้คนเทียนเฟิ่งจะสวมเสื้อเกราะที่แข็งแกร่งและทนทานไว้บนลำตัวของช้างศึก ทว่า ลำตัวก็ไหม้เกรียมเพราะโดนความร้อนจากเสื้อเกราะเหล็กที่มันสวมใส่อยู่ดี กลิ่นที่ฉุนแสบจมูกทำให้ช้างที่มีประสาทรับกลิ่นเร็วกว่าผู้อื่นวิ่งชนกันเองอย่างคลุ้มคลั่ง
ซ่าเอ่อร์เข่อฮั่นสำลักกลิ่นฉุนจนน้ำตาไหล เครื่องแต่งกายสีขาวล้วนที่สวมใส่อยู่เปื้อนเขม่าไฟจนร่างของซ่าเอ่อร์เข่อฮั่นดูสะบักสะบอมมาก ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยเหงื่อ คราบน้ำตาและเขม่าควัน แสงเพลิงจากธนูไฟที่ยิงลงมาไม่หยุดสะท้อนใบหน้าของซ่าเอ่อร์เข่อฮั่นจนกลายเป็นสีส้มอ่อน ราวกับใบหน้าของเขากำลังถูกไฟลวกเช่นเดียวกัน
ทุกที่เต็มไปด้วยเสียงโอดครวญอย่างเจ็บปวดของทหารเทียนเฟิ่งและเสียงร้องอย่างเจ็บปวดและคลุ้มคลั่งของกองทัพช้าง
การถอยทัพกลับไปยังเมืองผิงตู้คือทางตัน ม้าศึกที่อยู่ในเมืองผิงตู้ถูกเผาจนเปลวเพลิงลุกโหม ถึงแม้จะให้ช้างศึกเสียสละพังประตูเมืองเข้าไปด้านใน ทว่า เมืองผิงตู้ตกอยู่ในการควบคุมของต้าโจวแล้ว ตอนนี้พวกเขาทำได้เพียงข้ามแม่น้ำตันสุ่ยไปยังอีกฝั่งเท่านั้น
ช้างศึกสามารถข้ามแม่น้ำตันสุ่ยไปได้ ทว่า กองทัพต้าโจวทำไม่ได้!
ลูกธนูไฟถูกยิงลงมาจากที่สูงอย่างต่อเนื่อง ซ่าเอ่อร์เข่อฮั่นเหลือเวลาคิดทบทวนไม่มากแล้ว
เมื่อตัดสินใจได้ซ่าเอ่อร์เข่อฮั่นจึงตะโกนขึ้นเสียงดังลั่นอย่างไม่ลังเล “รีบข้ามแม่น้ำตันสุ่ยไปเร็ว เร็วเข้า!”
เสียงขลุ่ยดังขึ้นอีกครั้ง ช้างบรรทุกของหนักที่ยังไม่ถูกไฟเผาทั้งลำตัวจนเสียสติและทหารกองทัพเทียนเฟิ่งบุกไปด้านหน้าอย่างไม่คิดชีวิตราวกับเบื้องหน้าคือแสงสว่างเพียงหนึ่งเดียวในอุโมงค์ที่มืดทึบ คือทางรอดเพียงหนึ่งเดียวของพวกเขา
หลู่หยวนเผิงกะพริบตาอย่างแรง น้ำตาไหลออกจากดวงตาของเขาไม่หยุดหย่อน เขารู้สึกแสบตามากจริงๆ…
ตอนที่เขาพบหน้าไป๋ชิงอวี๋คุณชายห้าของกองทัพไป๋เขาดีใจจนไม่รู้จะกล่าวออกมาเป็นถ้อยคำเช่นไร เมื่อรู้ว่าไป๋ชิงอวี๋จะไปออกรบเขาจึงไปหาไป๋ชิงอวี๋ ขอให้ชายหนุ่มมอบหน้าที่ที่สำคัญที่สุดให้แก่เขา ดังนั้นเจ้าชั่วไป๋ชิงอวี๋ผู้นั้นจึงรับปากว่าจะมอบหน้าที่ที่สำคัญที่สุดให้แก่เขาด้วยสีหน้าจริงจัง
ผลสุดท้ายปรากฏว่าเจ้านั่นมอบหมายให้เขาพาทหารขนพริกแห้งและพริกไทยเผามาดักซุ่มโจมตีกองทัพช้างของเทียนเฟิ่งอยู่ที่นี่!
แม้แต่ซือหม่าผิงยังสามารถนำพลทหารหน้าไม้บุกไปโจมตีกองทัพช้างของเทียนเฟิ่งที่ด่านหน้า ทว่า เขากลับต้องจมอยู่ที่นี่กับพริกไทยและพริกแห้งเผาที่มีกลิ่นฉุนแสบจมูกเช่นนี้! เจ้าคนโกหกไป๋ชิงอวี๋…รังแกกันมากเกินไปแล้วจริงๆ !
ทว่า เมื่อคิดอีกแง่หนึ่งหลู่หยวนเผิงคิดว่าไป๋ชิงอวี๋อาจยังมองเขาเป็นคุณชายเจ้าสำราญที่ไม่ได้เรื่องคนเดิมอยู่ แต่เขาได้รับหอกเงินหงอิงจากพี่สาวไป๋แล้วนี่นา เขาได้รับการยอมรับจากพี่สาวไป๋แล้ว! เหตุใดคุณชายห้าจึงมอบหมายงานเช่นนี้ให้เขาทำอีก!
“ประเด็นสำคัญคือมันแสบตามากจริงๆ…” หลู่หยวนเผิงใช้แขนเสื้อเช็ดน้ำตา จากนั้นสูดหายใจเข้าปอดลึกอีกครั้ง
กองทัพช้างของเทียนเฟิ่งที่หลบหนีออกมาจากเมืองผิงตู้ถูกกองทัพของไป๋ชิงอวี๋ทำลายจนเสียหายกว่าครึ่ง บัดนี้พวกที่เหลือกำลังมุ่งหน้าไปยังสถานที่ที่เสิ่นคุนหยางดักซุ่มโจมตีอยู่
หลู่หยวนเผิงสั่งให้คนหยุดโปรยพริกไทยและพริกแห้งเผา เขาชะโงกหน้ามองไปเบื้องหน้า เขาเห็นกองทัพย่อยซึ่งนำโดยซือหม่าผิงกำลังสังหารช้างตัวสุดท้ายที่พยายามต่อสู้อย่างสุดชีวิตให้ตาย
เมื่อเห็นทหารในสังกัดของพวกเขายังคงโยนพริกแห้งและพริกไทยเปียกลงไปในเตาผิง หลู่หยวนเผิงแสบตาจนแทบจะลืมไม่ขึ้น
“ทุกอย่างยุติลงแล้ว! หยุดเผาของนั่นเสียที…” หลู่หยวนเผิงตะโกนสั่งด้วยน้ำเสียงขึ้นจมูกราวกับคนเพิ่งผ่านการร้องไห้มา สาเหตุเป็นเพราะน้ำตาของเขาไหลมากเกินไป
ภารกิจด่านแรกสำเร็จลุล่วงไปด้วยดี ไป๋ชิงอวี๋หยุดการโจมตี จากนั้นสั่งให้ทหารขนย้ายสิ่งของทั้งหมดไปด้านหน้า ชายหนุ่มจะไปดักซุ่มโจมตีต่อที่กลางหุบเขาหานเหวิน
อีกสักพักกองทัพช้างของเทียนเฟิ่งจะเผชิญหน้ากับกองทัพของเสิ่นคุนหยาง หากตอนนั้นกองทัพช้างย้อนกลับเข้าไปในหุบเขาหานเหวินเพราะเห็นว่าหนีออกไปไม่ได้ เขาจะได้สังหารพวกมันให้สิ้นซากอีกครั้ง
ไป๋ชิงอวี๋ก้มมองดูซากศพของกองทัพช้างที่กองเป็นภูเขาอยู่บนหุบเขาสูง ช้างบางตัวลื่นล้มเพราะพื้นน้ำแข็งที่ลื่น ช้างบางตัววิ่งกระแทกกับฝูงของมันเองเพราะกลิ่นฉุนของพริกจนล้มลงบนพื้นและถูกช้างตัวอื่นในฝูงล้มทับต่อ
กล่าวได้ว่าตอนนี้ไฟ พริกแห้ง พริกไทยเผาและพื้นน้ำแข็งที่ลื่นคืออาวุธที่แข็งแกร่งที่สุดในการกำจัดช้างศึกของเทียนเฟิ่ง!
แคว้นเทียนเฟิ่งสูญเสียกองทัพช้างกว่าครึ่งที่ชายแดนซีเหลียง ตอนนี้ทางฝั่งตะวันออกเฉียงใต้ของต้าโจวยังมีกองทัพช้างอยู่อีกฝูง หวังว่าพี่ชายสามไป๋ชิงฉีของเขาจะรับมือกับกองทัพช้างเหล่านั้นได้!
หน้ากากสีเงินครึ่งซีกของไป๋ชิงอวี๋สะท้อนเปลวเพลิงจนส่องแสงเป็นประกาย ชายหนุ่มรู้ดีว่าหากกองทัพของเสิ่นคุนหยางซึ่งซุ่มโจมตีอยู่ด้านหน้าสามารถสังหารกองทัพช้างของเทียนเฟิ่งเหล่านั้นจนเกลี้ยงได้ ความสามารถของแคว้นเทียนเฟิ่งจะลดลงกว่าครึ่ง ไม่แน่พวกเขาอาจสามารถขับไล่คนเทียนเฟิ่งกลับไปยังดินแดนของพวกมันได้ก่อนที่ฤดูหนาวจะสิ้นสุดลงด้วยซ้ำ
หากไม่มีกองทัพช้าง อย่างน้อยภายในสิบปีนี้เทียนเฟิ่งก็คงไม่กล้าบุกมารุกรานดินแดนของพวกเขาอีก
ซือหม่าผิงควบม้าขึ้นไปบนเนินเขาสูง เขาปลดผ้าคลุมหน้าเปียกที่คาดอยู่บนใบหน้าด้วยอาการเหนื่อยหอบ จากนั้นเช็ดไปบนใบหน้าที่ดำจนเห็นเพียงดวงตาขาวเท่านั้นของตัวเอง ซือหม่าผิงหันกลับไปเห็นหลู่หยวนเผิงที่ดวงตาแดงก่ำ น้ำมูกไหลอยู่ตลอดเวลาหนีบหอกเงินหงอิงไว้ที่แขนพลางแบกพริกไทยและพริกแห้งที่ส่งกลิ่นฉุนแสบจมูกเหล่านั้นขึ้นมาบนเนินเขา ซือหม่าผิงจึงรีบสั่งให้ลูกน้องของตัวเองไปช่วยพวกของหลู่หยวนเผิงขนของขึ้นมา
ซือหม่าผิงเดินไปหยุดอยู่ข้างกายหลู่หยวนเผิงที่ตาบวมก่ำราวกับเมล็ดถั่ว เมื่อเห็นหลู่หยวนเผิงกำลังเอ่ยสั่งงานลูกน้องของตัวเองด้วยน้ำเสียงที่ขึ้นจมูก ซือหม่าผิงเอนกายพิงต้นไม้พลางกล่าวยิ้มๆ “ร้องไห้จนตาแดงก่ำเช่นนี้เพราะคิดว่าข้าจะลงไปตายหรืออย่างไร!”
หลู่หยวนเผิงหันกลับไปมอง “หืม เจ้าบุกลงไปด้วยอย่างนั้นหรือ!”
ซือหม่าผิง “…”
“เช่นนั้นเหตุใดเจ้าจึงร้องไห้”
“เจ้าเป็นบ้าไปแล้วหรืออย่างไร! ข้าร้องไห้เมื่อใดกัน! ขนาดตอนที่ข้าโดนท่านปู่โบยด้วยกฎของตระกูลข้ายังไม่เคยร้องไห้สักนิด!” หลู่หยวนเผิงปักหอกเงินหงอิงซึ่งหนีบไว้ที่แขนลงไปบนดินบริเวณใกล้ปลายเท้า จากนั้นกำด้ามของหอกอิงไว้ด้วยท่าทีภูมิใจ “พริกแห้งและพริกไทยพวกนี้แสบตาเกินไป มิน่ากองทัพช้างเหล่านั้นถึงคลุ้มคลั่งถึงเพียงนี้…”