สตรีแกร่งตระกูลไป๋ - ตอนที่ 1139 เชื่อใจ
ตอนที่ 1139 เชื่อใจ
“วันนี้คือวันปีใหม่ ให้ทหารพักผ่อนกันอีกสักวัน ตอนนี้ซีเหลียงคงกำลังเตรียมรับมือกับพวกเราแน่นอน หากพวกเขาเห็นว่าวันนี้พวกเราไม่ยกทัพไปโจมตี พวกเขาอาจคิดว่าต้าโจวจะเริ่มบุกโจมตีพวกเขาอีกครั้งในวันที่สิบห้า เดือนหนึ่ง…” ไป๋ชิงเหยียนใช้ช้อนคนโจ๊กในถ้วยของตัวเองเบาๆ “พรุ่งนี้เช้าแบ่งทหารออกเป็นสองส่วน เสี่ยวซื่อติดตามกองทัพของแม่ทัพเสิ่นคุนหยางข้ามแม่น้ำตันสุ่ยไปโจมตีเมืองเฉวี่ยนหยาโดยไม่ให้พวกนั้นได้ทันตั้งตัว พวกเราต้องยึดเมืองอวิ๋นจิงให้ได้ก่อนต้าเยี่ยน!”
ไป๋จิ่นจื้อไม่เคยลืมว่าแม้ต้าโจวจะทำสัญญาพันธมิตรกับต้าเยี่ยน ทว่า พวกเขาถือเป็นคู่แข่งกันเช่นเดียวกัน สาวน้อยพยักหน้ารัว “พี่หญิงใหญ่ไม่ต้องห่วงเจ้าค่ะ ข้าต้องยึดอวิ๋นจิงให้ได้ก่อนต้าเยี่ยนแน่นอนเจ้าค่ะ”
ไป๋ชิงเหยียนพยักหน้าพลางมองไปทางน้องสาวของนาง จากนั้นกำชับขึ้นอีกครั้งอย่างอดไม่ได้ “ไช่เซียนเซิงไม่ได้อยู่ข้างกายเจ้า เจ้าอย่าใจร้อนวู่วามเด็ดขาด จงฟังลุงเสิ่นให้มาก อย่าเอาแต่ใจเหมือนเด็ก อย่าคิดว่าตัวเองเก่งจนประมาทความสามารถของศัตรู อย่าให้เกิดเรื่องเหมือนตอนที่เจ้าฝ่าสายฝนอ้อมไปจัดการกองทัพของศัตรูทางด้านหลังตอนสงครามยึดด่านชิงซีซานขึ้นอีก หากเจ้าเป็นอันใดไปพี่คงไม่รู้จะกลับไปเผชิญหน้ากับท่านอาสะใภ้สามเช่นไร”
“ตอนนั้นแม่ทัพหลิวหงเป็นคนสั่งให้ข้าไปนะเจ้าคะ! อีกอย่างข้าโตแล้ว…” เมื่อไป๋จิ่นจื้อเห็นสีหน้าเคร่งขรึมของพี่หญิงใหญ่จึงรีบยิ้มประจบทันที นางตบอกของตัวเองเพื่อรับประกัน “เจ้าค่ะๆ พี่หญิงใหญ่ไม่ต้องเป็นห่วง ข้าจะเป็นเด็กดีเชื่อฟังลุงเสิ่นเจ้าค่ะ หากลุงเสิ่นให้ข้าไปทางตะวันตก ข้าไม่มีทางไปทางตะวันออกแน่นอนเจ้าค่ะ”
“ห้ามไปทางเหนือและใต้ด้วย!” ไป๋ชิงอวี๋กล่าวเสริมด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
“พี่ชายห้า!” ไป๋จิ่นจื้อแสร้งทำเป็นโมโห
“พี่รู้ว่าเจ้าเป็นคนกล้าหาญ ทว่า พวกเราสูญเสียครอบครัวไปในสงครามที่หนานเจียงมากพอแล้ว พวกเราจะสูญเสียผู้ใดไปไม่ได้อีกแม้แต่คนเดียว!”
ไป๋จิ่นจื้อมองไปทางพี่ชายห้า นางรู้ว่าพี่ชายห้าเคยเห็นครอบครัวของตัวเองตายไปต่อหน้าต่อตาที่สนามรบในหนานเจียงดังนั้นจึงเข้มงวดกับนางถึงเพียงนี้ พี่ชายห้าแค่ไม่อยากให้คนในครอบครัวเป็นอันใดไปอีกเท่านั้นเอง
“เอาล่ะ พอเถิด…” ไป๋ชิงเหยียนคีบขนมเข่งใส่จานของไป๋จิ่นจื้อ “ปีนี้เสี่ยวซื่อโตขึ้นอีกปีแล้ว เจ้าคงไม่ใจร้อนวู่วามเหมือนเมื่อก่อนอีกแล้ว พี่เชื่อใจเจ้า!”
“พี่ชายห้าไม่ต้องเป็นห่วงเจ้าค่ะ เมื่อข้าบุกไปยังอวิ๋นจิงได้สำเร็จ เสี่ยวซื่อจะรอต้อนรับพี่ชายห้าอยู่ที่นั่นเจ้าค่ะ แม้ข้าไม่สามารถรับปากได้ว่าจะไม่ทำให้ตัวเองได้รับบาดเจ็บ ทว่า ข้าจะไม่ปล่อยให้ตัวเองได้รับบาดเจ็บหนักแน่นอนเจ้าค่ะ” ไป๋จิ่นจื้อกล่าว
ไป๋ชิงอวี๋พยักหน้า จากนั้นเอื้อมมือไปลูบศีรษะของไป๋จิ่นจื้ออย่างแผ่วเบา “ทานอาหารต่อเถิด”
“ให้ลุงเสิ่นพาหลี่เทียนฟู่ไปด้วย…” ไป๋ชิงเหยียนทานโจ๊กหนึ่งคำ จากนั้นหันไปกล่าวกับไป๋จิ่นจื้อต่อ “หลี่เทียนเจียวหนีไปได้ พี่กลัวว่านางจะหนีกลับไปก่อเรื่องที่อวิ๋นจิง หากนางมีความสามารถมากถึงเพียงนั้นจริง พวกเจ้าจงพาหลี่เทียนฟู่ที่ขึ้นครองราชย์เป็นจักรพรรดินีองค์ใหม่ไปด้วยเพื่อจับตัวกบฏหลี่เทียนเจียวมาให้ได้ ทำสงครามไปตลอดทางโดยอ้างว่าทำเพื่อช่วยจักรพรรดินีแห่งซีเหลียงปราบปรามกบฏ”
“ข้าเข้าใจแล้วเจ้าค่ะ ยิ่งกองทัพต้าโจวมีเหตุผลโดยชอบธรรมมากเท่าใด ชาวบ้านของซีเหลียงก็จะยิ่งยอมรับได้มากเท่านั้น ขอเพียงชาวบ้านไม่ต่อต้าน พวกเราจะทำสงครามได้ง่ายขึ้นเจ้าค่ะ” ไป๋จิ่นจื้อถือถ้วยโจ๊กไว้ในมือพลางรับคำ
ไป๋ชิงเหยียนพยักหน้า “ถูกต้องแล้ว”
การเติบโตของไป๋จิ่นจื้อทำให้ไป๋ชิงเหยียนรู้สึกภูมิใจมาก
“พี่บอกลุงเสิ่นเรียบร้อยแล้ว เมื่อทานอาหารเช้าเสร็จพี่และพี่ชายห้าของเจ้าจะพากองทัพหลักจากไปก่อน เมื่อสายลับของเมืองเฉวี่ยนหยาเห็นกองทัพหลักของพวกเรามุ่งหน้าไปทางหนานเจียง พวกเขาต้องลดความหวาดระแวงลงแน่นอน พวกเจ้าพักผ่อนต่อในเมืองผิงตู้อีกวันเพื่อเตรียมความพร้อมทั้งหมดให้เรียบร้อย พอเข้าช่วงกลางคืน…จงข้ามแม่น้ำไปโจมตีเมืองทันที!” ไป๋ชิงเหยียนกล่าว
“ข้าทราบแล้วเจ้าค่ะ” ไป๋จิ่นจื้อมองไปที่ท้องของไป๋ชิงเหยียน “ตอนนี้พี่หญิงใหญ่กำลังตั้งครรภ์อยู่ ต้องระวังตัวให้มากนะเจ้าคะ”
“เจ้าไม่ต้องเป็นห่วง” ไป๋ชิงเหยียนรับคำยิ้มๆ
เมื่อทานอาหารเช้าเสร็จไป๋ชิงเหยียนและไป๋ชิงอวี๋เตรียมพากองทัพสามหมื่นนายมุ่งหน้าไปทางหนานเจียงตามแผนที่วางไว้ ฮูหยินของเจ้าเมืองผิงหยางให้คนพาชุนจือมาส่งที่เมืองผิงตู้
ชุนจือทำความเคารพไป๋ชิงเหยียนเสร็จจึงกล่าวขึ้น “ฮูหยินของเจ้าเมืองผิงหยางกล่าวว่าคุณหนูใหญ่ไม่มีคนคอยรับใช้ในเมืองผิงตู้ดังนั้นจึงให้บุตรชายของท่านเจ้าเมืองพาบ่าวมาส่งที่นี่เจ้าค่ะ”
ไป๋ชิงเหยียนเห็นสีหน้าไม่ค่อยสู้ดีของชุนจือจึงเอ่ยถามขึ้น “เกิดเรื่องอันใดขึ้นระหว่างทางหรือไม่”
“ไม่มีอันใดเจ้าค่ะ…” ชุนจือก้มหน้าต่ำกว่าเดิม จากนั้นกล่าวเสียงเบาหวิว “คุณหนูใหญ่ไม่ต้องเป็นห่วงเจ้าค่ะ บ่าวทราบขอบเขตดีเจ้าค่ะ”
“เหตุใดจึงกล่าววาจาแปลกเช่นนี้ ขอบเขตอันใดกัน!” ไป๋ชิงเหยียนวางถ้วยชาลงบนโต๊ะพลางเอ่ยถามเสียงเบา “เจ้าจงบอกมาตามตรงว่าเกิดเรื่องอันใดขึ้นกันแน่”
สาวน้อยกัดฟันกรอดพลางขยำเสื้อของตัวเองแน่น ครู่ใหญ่จึงกล่าวขึ้น “บุตรชายของท่านเจ้าเมืองที่พาบ่าวมาส่งที่เมืองผิงตู้บอกกับบ่าวระหว่างทางว่าเขาชอบพอในตัวบ่าว ทว่า บ่าวไม่ใช่สาวงาม ไม่ใช่คุณหนูตระกูลสูงศักดิ์ สิ่งเดียวที่พอเชิดหน้าชูตาได้คือการได้ปรนนิบัติรับใช้ข้างกายคุณหนูใหญ่เท่านั้น บ่าวนึกถึงถ้อยคำที่ฮูหยินของท่านเจ้าเมืองเคยกล่าวกับบ่าวก่อนหน้านี้ขึ้นมาได้จึงรู้สึกหวาดกลัวเจ้าค่ะ”
แม้ชุนจือจะไม่ใช่คนฉลาด ทว่า นางรู้จักประมาณตน นางเป็นเพียงแค่บ่าวรับใช้คนหนึ่งเท่านั้น นางโชคดีที่ได้เรียนรู้หนังสือจากคุณหนูใหญ่ นางไม่มีดีทั้งหน้าตาและชาติตระกูล ฮูหยินและบุตรชายของท่านเจ้าเมืองพุ่งเป้าหมายมาที่นางเพราะนางคือสาวใช้ข้างกายของคุณหนูใหญ่เท่านั้น
มีชุนซิ่งเป็นตัวอย่างให้เห็นก่อนหน้านี้ ชุนจือเตือนตัวเองอยู่เสมอว่าห้ามทำผิดพลาดเช่นเดียวกับชุนซิ่ง
นางไม่เคยเล่าให้คุณหนูใหญ่ฟังว่าชุนซิ่งคิดว่าคุณชายของจวนเสนาบดีรักนางด้วยใจจริง แม้คุณหนูใหญ่จะกล่าวถึงเพียงนั้นชุนซิ่งก็ยังยืนกรานจะแต่งงานเข้าจวนเสนาบดีให้ได้อยู่ดี ต่อมาชุนซิ่งคิดว่าตัวเองจะได้แต่งเข้าไปเป็นอนุใหญ่ของจวนเสนาบดี ผลสุดท้ายปรากฏว่าเมื่อจวนเสนาบดีทราบว่าชุนซิ่งถูกขับไล่ออกจากตระกูลไป๋จึงไม่สนใจใยดีนางทันที
บิดามารดาของชุนซิ่งเป็นคนที่เห็นแก่ตัวและเห็นแก่ผลประโยชน์ เมื่อเห็นว่าชุนซิ่งไม่สามารถแต่งงานเข้าจวนเสนาบดีได้จึงตบดีด่าทอชุนซิ่ง ต่อมามารดาผู้ใจร้ายของชุนซิ่งขายนางไปเป็นอนุของพ่อค้าต่างเมืองคนหนึ่งโดยที่ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าพ่อค้าผู้นั้นค้าขายสิ่งใด
บัดนี้ชุนจือคอยรับใช้ข้างกายคุณหนูใหญ่ มีคุณหนูใหญ่คอยปกป้องคุ้มครอง นางคือสาวใช้ใหญ่ข้างกายของคุณหนูใหญ่ผู้อื่นจึงไม่กล้ารังแกนาง ที่สำคัญอีกอย่างคุณหนูใหญ่ดูแลและปฏิบัติต่อนางเป็นอย่างดี ไม่เคยดูถูกบ่าวรับใช้อย่างนางเหมือนเจ้านายทั่วๆ ไป ต่อให้นางจะไม่ได้แต่งงานออกเรือนตลอดชีวิต นางก็ไม่มีทางยอมเป็นหมากให้ผู้อื่นหลอกใช้แน่นอน
เดิมทีชุนจือคิดว่าแค่นางอยู่อย่างสงบเสงี่ยมก็คงไม่มีปัญหาแล้ว ทว่า บุตรชายของเจ้าเมืองผิงหยางที่มาส่งนางคิดแต่จ้องจะฉวยโอกาสกับนาง ต่อมาชุนจือพบว่าผ้าเช็ดหน้าของตัวเองหายไปจึงยิ่งรู้สึกหวาดกลัว หากชื่อเสียงของนางเสื่อมเสียแล้วคุณหนูใหญ่ไม่ต้องการนางอีกต่อไป นางจะทำเช่นไรดี
ไป๋ชิงเหยียนเห็นท่าทีของชุนจือจึงขมวดคิ้วพลางเอ่ยถาม “บุตรชายของเจ้าเมืองไร้มารยาทกับเจ้าอย่างนั้นหรือ”
“เขามิได้ทำสิ่งใดเจ้าค่ะ ทว่า ผ้าเช็ดหน้าของบ่าวหายไป บ่าวไม่มีหลักฐานจึงไม่กล้าไปสอบถามคุณชายของท่านเจ้าเมืองตามตรง บ่าวกลัวว่าเรื่องนี้จะกลายเป็นเรื่องใหญ่โตเจ้าค่ะ” ชุนจือกล่าวถึงตรงนี้ดวงตาของนางจึงแดงก่ำขึ้นมาทันที