สตรีแกร่งตระกูลไป๋ - ตอนที่ 1147 พลการ
ตอนที่ 1147 พลการ
แม้คนเทียนเฟิ่งจะสามารถใช้เสียงขลุ่ยควบคุมช้างได้ ทว่า เมื่อช้างเหล่านั้นได้รับกลิ่นฉุนจนไม่สามารถแม้แต่จะหายใจได้ พวกมันจะไม่สนใจเสียงขลุ่ยอีกต่อไป พวกมันมีแต่จะวิ่งหนีไปมาอย่างคลุ้มคลั่งสงครามที่ภูเขาหานเหวินพิสูจน์ให้เห็นถึงข้อเท็จจริงข้อนี้อย่างชัดเจนแล้ว
“ขอเพียงต้าเยี่ยนให้ความร่วมมือกับพวกเราเป็นอย่างดี พวกเราสามารถทำให้กองทัพช้างทั้งหมดของเทียนเฟิ่งตายอยู่ที่นี่ได้แน่นอน” ไป๋จิ่นซิ่วจับดาบที่เอวแน่นพลางกล่าวเสียงจริงจัง
บัดนี้ไป๋ชิงเหยียนได้พบกับไป๋ชิงฉี ไป๋ชิงเจวี๋ย ไป๋ชิงอวี๋และกองทัพไป๋ของเว่ยจ้าวเหนียนแล้ว
ไป๋ชิงฉีพาไป๋ชิงเจวี๋ย ไป๋ชิงอวิ๋น น้องสาวทั้งสามคนและแม่ทัพเว่ยจ้าวเหนียนออกไปยืนรอต้อนรับไป๋ชิงเหยียนอยู่ที่หน้าค่ายทหาร
ไป๋จิ่นหวาซึ่งสวมชุดเกราะสีเงินร้อนใจจนแทบทนไม่ไหว “เหตุใดพี่หญิงใหญ่ยังมาไม่ถึงอีก เกิดเรื่องอันใดขึ้นระหว่างทางหรือไม่”
“นี่ๆ !” ไป๋จิ่นเจารีบกล่าวขึ้น “อย่ากล่าววาจาไร้สาระเช่นนี้สิ”
ไป๋จิ่นเซ่อขยับผ้าห่มที่ขาให้ไป๋ชิงอวิ๋นซึ่งนั่งอยู่บนรถเข็นที่ทำจากไม้ สาวน้อยกำลังจะเอ่ยถามพี่ชายเก้าของตนว่าหนาวหรือไม่ ทว่า สายตาเหลือบไปเห็นขบวนรถม้ากำลังเคลื่อนที่มาท่ามกลางหมอกหนาในฤดูหนาวเสียก่อน
“มาแล้ว! พี่ชายสาม พี่ชายเจ็ด พี่ชายเก้า มาแล้วเจ้าค่ะ!” ไป๋จิ่นเซ่อชี้ไปยังเบื้องหน้า
ไป๋จิ่นเจาคลี่ยิ้มออกมา “ท่านพี่ ข้าไปรับพี่หญิงใหญ่นะเจ้าคะ”
ไป๋จิ่นเจากล่าวจบก็ผิวปากหนึ่งครั้ง ม้าสีน้ำตาลตัวหนึ่งวิ่งออกมาจากค่ายทหาร ไป๋จิ่นเจาจับเชือกม้าและกระโดดขึ้นบนหลังม้าอย่างรวดเร็ว จากนั้นควบทะยานไปด้านหน้าทันที
เสิ่นชิงจู๋ซึ่งขี่ม้าอยู่ด้านหน้าสุดของขบวนได้ยินเสียงคนควบม้าเข้ามาใกล้ จากนั้นไม่นานจึงเห็นร่างบนหลังม้าร่างหนึ่งควบม้าเข้ามาใกล้ขึ้นเรื่อยๆ เสิ่นชิงจู๋ยังมองไม่ชัดว่าคนที่มาคือผู้ใดก็ได้ยินเสียงไป๋จิ่นเจาเรียกพี่หญิงใหญ่ดังขึ้นเสียก่อน
เสิ่นชิงจู๋คลายมือที่กำดาบออก จากนั้นหันไปกล่าวกับองครักษ์ไป๋ “ไปรายงานคุณหนูใหญ่ว่าคุณหนูห้ามารับคุณหนูใหญ่แล้ว”
องครักษ์ไป๋รับคำและขี่ม้าจากไป เขาควบม้าเข้าไปใกล้รถม้าของไป๋ชิงเหยียน จากนั้นกล่าวเสียงเบา “คุณหนูใหญ่ คุณหนูห้ามารับคุณหนูใหญ่ขอรับ…”
ไป๋ชิงเหยียนที่กำลังเอนกายอ่านตำราไม้ไผ่อยู่ในรถม้ายกยิ้มขึ้นน้อยๆ หญิงสาววางตำราไม้ไผ่ในมือลง จากนั้นกล่าวขึ้น “เชิญคุณหนูห้าขึ้นมาบนรถม้า”
“ขอรับ”
ไป๋จิ่นเจาขี่ม้าเข้ามาอย่างรวดเร็ว สาวน้อยเห็นเสิ่นชิงจู๋เป็นคนแรก ทว่า สาวน้อยขี่ม้าผ่านหญิงสาวไปอย่างรวดเร็วโดยทิ้งไว้เพียงคำทักทาย “พี่ชิงจู๋” เท่านั้น
เสิ่นชิงจู๋ยกมือส่งสัญญาณให้กองทัพหยุดเคลื่อนขบวน
“หยุด…” ไป๋จิ่นเจาขี่ม้าไปหยุดอยู่ด้านข้างรถม้าของไป๋ชิงเหยียน
ชุนจือเดินออกมาจากตัวรถม้า นางยืนมองไป๋จิ่นเจาในชุดนักรบกระโดดลงจากหลังม้าอย่างสง่างามยิ้มๆ “คุณหนูห้า!”
ไป๋จิ่นเจายิ้มให้ชุนจือ สาวน้อยโยนแส้ม้าให้องครักษ์ไป๋ จากนั้นก้าวขึ้นไปบนรถม้า “พี่หญิงใหญ่”
ไป๋ชิงเหยียนหยัดกายลุกขึ้นนั่ง เมื่อเห็นไป๋จิ่นเจาที่สูงขึ้นกว่าเดิมมากหญิงสาวจึงเลิกผ้าห่มที่ขาออก จากนั้นส่งเตาอุ่นมือของตัวเองให้ไป๋จิ่นเจาด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้ม “เสี่ยวอู่ของพวกเราสูงขึ้นกว่าเดิมเยอะเลย”
ไป๋จิ่นเจารับเตาอุ่นมือมาถือไว้ สาวน้อยกลัวว่าไอหนาวบนร่างของตัวเองจะแผ่ไปถึงพี่หญิงใหญ่จึงนั่งผิงไฟอยู่ข้างเตาผิงก่อน “ไม่เพียงแค่ข้าเท่านั้นที่สูงขึ้นนะเจ้าคะ พี่หญิงใหญ่ยังไม่พบหน้าเสี่ยวชี เด็กนั่นทนลำบากได้มากกว่าข้าและเสี่ยวลิ่วเสียอีก มาหนานเจียงได้ไม่กี่เดือนเด็กนั่นเปลี่ยนแปลงแทบทุกวันเลยเจ้าค่ะ ตอนนี้สูงกว่าข้าเสียอีกเจ้าค่ะ!”
แม้ไป๋จิ่นเจาจะผอมและคล้ำขึ้นมากหลังจากมาอยู่ที่ชายแดน ทว่า สาวน้อยดูมีความสุขมากกว่าตอนที่อยู่เมืองหลวงและซั่วหยางเสียอีก ดวงตาทั้งสองข้างเต็มไปด้วยประกายตลอดเวลา
“พี่เห็นว่าเจ้าสูงขึ้นมากเหมือนกัน” ไป๋ชิงเหยียนเอื้อมมือไปดึงร่างของน้องสาวมาใกล้ จากนั้นเอื้อมมือลูบใบหน้าที่เย็นเฉียบของน้องสาวอย่างแผ่วเบา
ไป๋ชิงเหยียนมองดูน้องสาวที่ก่อนหน้านี้เคยมัดจุกสองข้าง เคยออดอ้อนเอาใจนาง เคยเอื้อมมือไปเก็บดอกเหมยให้นาง บัดนี้น้องสาวของนางร่างสูงโปร่ง สวมชุดนักรบสง่างาม มัดผมสูงเหนือศีรษะ ดูสมกับเป็นสตรีของตระกูลนักรบมากกว่าเมื่อก่อนมาก
“คุณหนูห้าดื่มชาร้อนอุ่นร่างกายก่อนเถิดเจ้าค่ะ” ชุนจือยื่นถ้วยชาร้อนให้ไป๋จิ่นเจา
ไป๋จิ่นเจารับถ้วยชามาดื่มจนหมดถ้วย เมื่อดื่มเสร็จนางรู้สึกว่าร่างกายอุ่นขึ้นกว่าเดิมมากจริงๆ
“พี่หญิงใหญ่ ตอนนี้ยังไม่ถึงค่ายทหาร ข้าจะเล่าความลับบางอย่างให้พี่หญิงใหญ่ฟังเจ้าค่ะ” ไป๋จิ่นเจารู้สึกว่าร่างกายของตนไม่มีไอหนาวเหมือนก่อนหน้านี้อีกแล้วจึงขยับเข้าไปใกล้พี่หญิงใหญ่ จากนั้นกล่าวเสียงเบา “พี่หญิงใหญ่ ตอนที่ท่านอาหลูเดินทางมายังหนานเจียงพร้อมกับพวกเรานางช่วยชีวิตสตรีนางหนึ่งไว้ได้ระหว่างทางเจ้าค่ะ เมื่อสตรีผู้นั้นตื่นขึ้นมากลับจำสิ่งใดไม่ได้แม้แต่นามของตัวเอง ท่านอาหลูจึงรับนางไว้เป็นลูกศิษย์อีกทั้งตั้งนามให้นางว่าหลูเหลียวเฉินเจ้าค่ะ ท่านอาหลูสอนวิชาแพทย์ให้นาง นางเป็นคนฉลาดและใจดีมาก ทว่า ขี้ขลาดไปเสียหน่อย แต่ที่สำคัญคือสตรีผู้นี้…หลงรักพี่ชายสามเจ้าค่ะ!”
ไป๋จิ่นเจาแสดงท่าทีสะใจออกมา สาวน้อยเล่าความลับให้ไป๋ชิงเหยียนฟังอย่างมีความสุข “ตอนนี้ทั้งค่ายทหารต่างรับรู้ว่าสตรีนางนี้หลงรักพี่ชายสามมาก นางแสดงออกอย่างเปิดเผยว่าชอบพี่ชายสามเจ้าค่ะ ถึงแม้พี่ชายสามจะเอาแต่ทำตัวเย็นชาใส่นาง ทว่า นางไม่เคยคิดยอมแพ้เลยเจ้าค่ะ เสี่ยวชีกล่าวว่าเหลียวเฉินเหมือนไฟ ทว่า เหมาะสมกับบุรุษที่เย็นชาอย่างพี่ชายสามของเราดีเจ้าค่ะ แม้นางจะจำสิ่งใดไม่ได้แม้แต่น้อย ทว่า เครื่องประดับที่ติดตัวนางมาและกิริยาท่าทางที่นางแสดงออกแสดงให้เห็นว่านางไม่ใช่บุตรสาวจากตระกูลธรรมดา ข้าได้ยินเสี่ยวชีกล่าวเช่นนี้จึงคิดว่านางไม่เลวทีเดียวเจ้าค่ะ ตอนนี้พวกเรากำลังช่วยจับคู่นางกับพี่ชายสามอยู่เจ้าค่ะ พี่หญิงใหญ่มาถึงแล้วก็ช่วยเกลี้ยกล่อมให้พี่ชายสามอ่อนโยนกับนางบ้างนะเจ้าคะ”
ไป๋ชิงเหยียนได้ยินจึงรู้สึกสนใจขึ้นมาทันที ไป๋ชิงฉีอายุไม่น้อยแล้ว ก่อนนางจะออกเดินทางมาจากเมืองหลวงท่านแม่ยังอยากจับคู่หลานสาวของหลู่ไท่เว่ยให้อาฉีอยู่เลย ทว่า ท่านอาสะใภ้ห้ากล่าวว่าพวกนางคือเชื้อพระวงศ์ นางไม่อยากให้ตระกูลฝั่งพ่อตาของอาฉีมีฐานะสูงศักดิ์เกินไป มิเช่นนั้นขุนนางคนอื่นอาจระแวงสงสัยได้ นางแค่อยากให้อาฉีได้แต่งงานกับสตรีที่เขาถูกใจเท่านั้น
ไป๋ชิงเหยียนรู้ดีว่าท่านอาสะใภ้ห้าทำเพื่อนาง นางคือสตรีที่ได้ขึ้นครองบัลลังก์ ท่านอาสะใภ้ห้ากลัวว่าหากตระกูลพ่อตาของอาฉีโดดเด่นเกินไป หากมีคนต้องการดึงนางลงมาจากบัลลังก์พวกเขาต้องสนับสนุนคุณชายตระกูลไป๋คนอื่นขึ้นครองบัลลังก์แทนแน่
“นิสัยเหมือนไฟอย่างนั้นหรือ หากเป็นเช่นนั้นก็เหมาะสมกับพี่ชายสามของเจ้าจริงๆ ทว่า…” ไป๋ชิงเหยียนเอื้อมมือเขกศีรษะของไป๋จิ่นเจาเบาๆ “พี่ชายสามของเจ้าเป็นคนแต่งงาน เขาต้องเลือกสตรีที่เขาชอบด้วยตัวเอง พวกเจ้าอย่าคิดผูกด้ายแดงให้เขาโดยพลการเด็ดขาด!”
“ข้าคิดว่าพี่ชายสามชอบแม่นางเหลียวเฉินผู้นี้จริงๆ ทว่า แค่ปากแข็งไม่ยอมรับเท่านั้นเจ้าค่ะ โดยเฉพาะเมื่ออยู่ต่อหน้าน้องๆ อย่างพวกข้าพี่ชายสามยิ่งชอบทำเป็นวางมาดเจ้าค่ะ พี่หญิงใหญ่ต้องช่วยอบรมพี่ชายสามนะเจ้าคะ พี่ชายสามเชื่อฟังพี่หญิงใหญ่ที่สุดแล้วเจ้าค่ะ” ไป๋จิ่นเจาเขยิบเข้าไปใกล้ไป๋ชิงเหยียนราวกับเด็กน้อย “หากไม่เชื่อพี่หญิงใหญ่ลองสังเกตด้วยตัวเองก็ได้เจ้าค่ะ หากข้ากล่าวเหลวไหล พี่หญิงใหญ่ลงโทษข้าได้เลยเจ้าค่ะ”
รอยยิ้มของไป๋ชิงเหยียนกว้างขึ้นกว่าเดิม “หากเจ้าแต่งเรื่องขึ้นมาเองพี่ก็ไม่จำเป็นต้องลงโทษเจ้าหรอก แค่ส่งเจ้ากลับไปอยู่กับท่านอาสะใภ้สี่ก็พอแล้ว!”
เมื่อเข้าสู่หน้านิยายที่ถูกล็อกด้วยเหรียญระบบจะใช้เหรียญปลดล็อกตอนต่อไปโดยอัตโนมัติ
สองพี่น้องสนทนากันอย่างมีความสุข รถม้าเคลื่อนตัวไปถึงหน้าค่ายทหารจากนั้นจึงหยุดสนิทลง