สตรีแกร่งตระกูลไป๋ - ตอนที่ 1224 ในด่านเทียนเหมิน
ตอนที่ 1224 ในด่านเทียนเหมิน
ไป๋ชิงเหยียนกล่าวพลางวางถ้วยชาในมือลงแล้วลุกขึ้นยืน
“ขอบคุณจี้เซียนเซิงมากที่บอกเรื่องเหล่านี้ให้ข้ารับรู้ ข้าจะไปสำรวจอำเภอเฟิงสักหน่อย คงไม่รบกวนจี้เซียนเซิงแล้ว”
หมอจี้พยักหน้าจากนั้นหลีกทางให้ ทว่า อดเตือนขึ้นอย่างเป็นห่วงไม่ได้
“คำนวณจากเวลาฝ่าบาทน่าจะใกล้ประสูติในสองสามเดือนนี้แล้ว ระหว่างเดินทางกลับเมืองหลวงอย่าทรงหักโหมมากนัก ทรงพักผ่อนให้มากนะพ่ะย่ะค่ะ”
“ได้ ข้าจะจำไว้” ไป๋ชิงเหยียนจับมือชุนจือเดินออกไปด้านนอก
“จี้เซียนเซิงไม่ต้องไปส่งหรอก”
หมอจี้ออกไปส่งไป๋ชิงเหยียนที่นอกจวน เขามองแผ่นหลังที่เดินจากไปของไป๋ชิงเหยียนพลางโค้งกายคำนับอีกครั้ง เมื่อหยัดกายขึ้นก็อดรู้สึกนับถือไม่ได้ เขาไม่เคยพบจักรพรรดิเช่นไป๋ชิงเหยียนมาก่อน หญิงสาวไม่ได้วางมาดความเป็นจักรพรรดินีแม้แต่น้อย อีกทั้งยังมาสำรวจความเป็นอยู่ของชาวบ้านในอำเภอเฟิงทั้งๆ ที่ตั้งครรภ์อยู่เช่นนี้อีก
หมอจี้นึกถึงจดหมายที่จี้หลางหวาเขียนมาถึงเขาตอนที่ไป๋ชิงเหยียนขึ้นครองราชย์ใหม่ๆ ว่าไป๋ชิงเหยียนต้องเป็นจักรพรรดินีที่ดีแน่นอน ตอนนี้เขาเชื่อแล้ว…
หมอจี้คิดว่าหากจักรพรรดิองค์ต่อๆ ไปของต้าโจวเป็นเหมือนไป๋ชิงเหยียน ต้าโจวคงเจริญรุ่งเรืองไปอีกนานแสนนาน
ชุนจือประคองไป๋ชิงเหยียนขึ้นไปบนรถม้า เมื่อแหวกม่านออกจึงเห็นว่าหมอจี้ยังคงยืนอยู่ที่หน้าประตู นางจึงหันไปกล่าวกับไป๋ชิงเหยียนเสียงเบา
“เหตุใดคุณหนูใหญ่จึงไม่เชิญจี้เซียนเซิงกลับไปเมืองหลวงพร้อมพวกเราเจ้าคะ หากให้จี้เซียนเซิงไปเป็นหมอหลวงในสำนักหมอหลวงเขาจะได้อยู่พร้อมหน้าพร้อมตากับแม่นางจี้ คุณหนูใหญ่จะได้มีคนใช้งานเพิ่มเจ้าค่ะ”
ไป๋ชิงเหยียนเอนกายพิงหมอนอิงพลางกล่าวออกมาเบาๆ
“ตอนนั้นครอบครัวของหมอจี้มีส่วนสำคัญในคดีเก่าของผู้ตรวจการสูงสุด หากครอบครัวของเขากลับไปยังเมืองหลวง หากจี้เซียนเซิงรับตำแหน่งหมอหลวงแล้วถูกคนรื้อคดีนี้ขึ้นมาพวกเขาจะอยู่ในเมืองหลวงต่อไปได้เช่นไร ผู้อื่นจะมองพวกเขาเช่นไร ครอบครัวของผู้ตรวจการสูงสุดที่จงรักภักดีต่อราชวงศ์ถูกประหารทั้งตระกูล ทว่า ทายาทของคนที่มีส่วนทำให้เขาเป็นเช่นนี้กลับได้เข้ารับตำแหน่งเป็นหมอหลวงในวัง นี่คงทำให้ผู้คนผิดหวัง…”
“ที่สำคัญจี้เซียนเซิงมีฝีมือในการรักษามาก การที่เขาอยู่รักษาคนในอำเภอเฟิงที่ห่างไกลเช่นนี้มีประโยชน์มากกว่าไปเป็นหมอหลวงในสำนักหมอหลวงมาก ข้าเชื่อว่าที่เขาตัดสินใจมาเป็นหมอที่อำเภอเฟิงก็เพราะต้องการชดใช้ความผิดให้แก่บรรพบุรุษของเขา” ไป๋ชิงเหยียนก้มหน้ากล่าวยิ้มๆ
ชุนจือพยักหน้า “คุณหนูใหญ่กล่าวถูกต้องทุกอย่างเจ้าค่ะ”
ไป๋ชิงเหยียนมองดูชุนจือที่ดูซื่อบื้อไม่แตกต่างจากชุนเถาจึงกล่าวออกมายิ้มๆ
“หากข้าส่งเจ้าไปขายก็ยังถูกหรือ”
ชุนจือนิ่งคิด จากนั้นตอบไป๋ชิงเหยียนอย่างจริงจัง
“หากคุณหนูใหญ่ขายชุนจือแสดงว่าคุณหนูใหญ่กำลังเจอเรื่องลำบาก คุณหนูใหญ่ขายชุนจือเพื่อตัวชุนจือเอง ไม่อยากให้ชุนจือเดือดร้อนไปด้วย พี่ชุนเถาบอกว่าคุณหนูใหญ่เป็นคนดีเช่นนี้เจ้าค่ะ!”
ไป๋ชิงเหยียนหัวเราะกับคำกล่าวของชุนจือ
“ดูสิว่าชุนเถาสอนเจ้าจนกลายเป็นคนเช่นไร เจ้ากลายเป็นคนซื่อบื้ออย่างชุนเถาอีกคนแล้ว!”
ไป๋ชิงเหยียนเดินสำรวจรอบอำเภอเฟิง ชีวิตของชาวบ้านในอำเภอเฟิงดูดีขึ้นกว่าเมื่อก่อนเล็กน้อย ทว่า หากต้องการเห็นผลของระบอบการปกครองใหม่อย่างชัดเจนคงต้องใช้เวลาประมาณสองปี
องครักษ์ไป๋ เว่ยจงและชุนจือเดินซื้อเล่นในตลาดเป็นเพื่อนไป๋ชิงเหยียน ไป๋ชิงเหยียนเข้าไปสนทนากับชาวบ้านเป็นพักๆ นอกจากนี้ยังสั่งให้ชุนจือไปขอน้ำจากคนสวนที่จับกลุ่มสนทนากันอยู่ด้วย คนสวนเห็นไป๋ชิงเหยียนกำลังตั้งครรภ์จึงมอบน้ำให้อย่างมีน้ำใจ
เมื่อดื่มน้ำเสร็จไป๋ชิงเหยียนจึงสั่งให้องครักษ์มอบเงินให้คนเหล่านั้น จากนั้นนั่งลงบนตอไม้เพื่อสนทนากับกลุ่มสตรีที่กำลังถักรองเท้าอยู่เกี่ยวกับสภาพความเป็นอยู่ในอำเภอเฟิงที่นางเคยเห็นก่อนหน้านี้อย่างไม่รังเกียจ
เมื่อเอ่ยถึงเรื่องนี้สตรีกลุ่มนั้นจึงยิ้มไม่หุบ
“ฮูหยินกล่าวถูกแล้ว เมื่อก่อนพวกเราไม่มีเสื้อผ้าดีๆ เช่นนี้สวมใส่หรอก! ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นเพราะระบอบการปกครองใหม่ของฝ่าบาททั้งสิ้น!”
หญิงชราคนหนึ่งกล่าวพลางถักเชือกรองเท้าในมือต่ออย่างคล่องแคล่ว
“กองทัพไป๋คือคนที่สวรรค์ส่งมาคุ้มครองชาวบ้านในอำเภอเฟิงอย่างพวกเรา! ก่อนหน้านี้กองทัพไป๋คอยคุ้มครองพวกเราชาวอำเภอเฟิง ตอนนี้ฝ่าบาทเป็นจักรพรรดินีแล้ว นางส่งเสริมการปกครองระบอบใหม่เพื่อชาวบ้านอย่างพวกเรา ไช่เซียนเซิงผู้นั้นกล่าวไว้ว่าอย่างไรนะ…”
หญิงชราหันไปถามลูกสะใภ้ของนาง
“ท่านแม่ ไช่เซียนเซิงกล่าวว่าระบอบการปกครองใหม่ของฝ่าบาทลดผลประโยชน์ของตระกูลสูงศักดิ์ลง เพิ่มผลประโยชน์ให้ชาวบ้านธรรมดาอย่างพวกเราเจ้าค่ะ ดังนั้นพวกที่ไม่สนับสนุนการปกครองระบอบใหม่ หาว่าการปกครองระบอบใหม่ไม่ดีล้วนเป็นคนจากตระกูลสูงศักดิ์เจ้าค่ะ…” ลูกสะใภ้ของหญิงชรากล่าวยิ้มๆ
“ใช่แล้วๆ เขากล่าวเช่นนี้แหล่ะ!” ใบหน้าของหญิงชราเต็มไปด้วยรอยยิ้ม “ตอนนี้ครอบครัวของพวกเราไม่ขาดแคลนคนจึงให้ลูกสาวคนที่สองพาน้องชายของนางไปเรียนหนังสือ ราชสำนักเป็นคนออกเงินให้พวกเราเชียวนะ! เมื่อก่อนพวกเราไม่มีปัญญาจ่ายค่าเล่าเรียน หมู่บ้านของพวกเรามีคนรู้หนังสือเพียงแค่หนึ่งในสิบก็ดีมากแล้ว ทว่า ตอนนี้เด็กทุกคนได้เรียนหนังสือแล้วเป็นเรื่องที่ดีมากจริงๆ!”
“นั่นน่ะสิ! หากเรียนได้ดีจนสอบติดขุนนาง ครอบครัวของพวกเราคงได้ลืมตาอ้าปากเสียที”
สตรีปากเก่งคนหนึ่งกล่าวแทรกขึ้น
“ไช่เซียนเซิงบอกว่าหากคนยากจนอย่างพวกเราอยากมีโอกาสลืมตาอ้าปาก การสอบติดขุนนางเป็นเพียงทางเดียวเท่านั้น ตอนนี้ฝ่าบาททรงเปิดทางให้พวกเราแล้ว ขอเพียงพวกเราหาเวลาให้เด็กได้เรียนหนังสือก็พอแล้ว ถือเป็นเรื่องที่ดีมากจริงๆ”
ตอนแรกที่ชาวบ้านส่งเด็กไปเรียนหนังสือที่สำนักศึกษาเพราะเมื่อก่อนไม่มีปัญญาส่งพวกเขาไปเรียน ตอนนี้ราชสำนักออกเงินให้พวกเขาจึงคิดว่าตัวเองกำลังได้เปรียบ ต่อมาพบว่าเมื่อพวกเขาส่งเด็กไปเรียนหนังสือพวกเขาขาดแรงงานในบ้านไปดังนั้นจึงลากตัวเด็กเหล่านั้นกลับมาทำงานต่อ ไม่ให้ไปเรียนอีกต่อไป
ทว่า เมื่อไช่เซียนเซิงเดินทางมายังอำเภอเฟิงและอธิบายสิ่งเหล่านี้ให้ชาวบ้านฟังชาวบ้านจึงเข้าใจว่ามีเพียงให้เด็กๆ เรียนหนังสือพวกเขาจึงจะมีอนาคตที่ดีกว่านี้
ผู้ใดไม่อยากให้ลูกของตัวเองสอบติดจอหงวนบ้าง เมื่อก่อนไม่มีปัญญาจ่ายค่าเรียน ตอนนี้ไม่อยากขาดแรงงานในบ้านจึงไม่ส่งเด็กไปเรียน การทำเช่นนี้เท่ากับเป็นการตัดอนาคตอันสดใสของเด็กเหล่านี้
“แม่นางกู้ เอ้อหู่ของข้ากำลังจะกลับมาจากสำนักศึกษาแล้ว ข้าต้องกลับไปทำอาหารให้เขา ไปก่อนนะ!” สตรีกลางคนแบกตะกร้าของตัวขึ้นพลางกล่าวอำลาหญิงชราผู้นั้น นางหันมาพยักหน้าให้ไป๋ชิงเหยียนเล็กน้อยอย่างเขินอาย จากนั้นเดินหน้าแดงจากไปทันที ให้ตายเถิด…ตั้งแต่นางเกิดมายังไม่เคยเจอผู้ใดงดงามราวกับนางฟ้าลงมาจุติอย่างสตรีผู้นี้มาก่อนเลย ที่สำคัญหญิงสาวยังไม่ถือตัวอีกต่างหาก
เมื่อสนทนากับชาวบ้านกลุ่มนี้ได้พอสมควรแล้วไป๋ชิงเหยียนจึงลุกขึ้นพลางบอกว่านางอยากไปเดินเล่นที่อื่นในอำเภอเฟิงต่อ
“น่าแปลก มีกิจการของแคว้นต้าเยี่ยนอยู่ที่นี่ด้วยหรือ…”
ไป๋ชิงเหยียนมองเห็นป้ายกิจการของแคว้นต้าเยี่ยนบนถนน
“เหตุใดต้าเยี่ยนจึงมาเปิดกิจการที่อำเภอเฟิงกัน”
ตามหลักแล้วพ่อค้าของต้าเยี่ยนมักจะไปเปิดกิจการที่เมืองที่เจริญรุ่งเรืองถึงจะถูก อย่างน้อยก็ควรไปเปิดในด่านเทียนเหมิน