สตรีแกร่งตระกูลไป๋ - ตอนที่ 1238 ลางดี
ตอนที่ 1238 ลางดี
ตระกูลไป๋เผชิญกับปัญหาใหญ่เพียงชั่วข้ามคืน ไป๋ชิงเหยียนไม่เพียงปกป้องตระกูลไป๋ไว้ได้ นางยังคว้าโอกาสในการไปออกรบในสนามรบไว้ได้อีกด้วย
ตอนนี้เมื่อเสิ่นจิ้งจงนึกถึงการกระทำที่น่าตะลึงของไป๋ชิงเหยียนในตอนนั้นเขายังรู้สึกทึ่งจนถึงทุกวันนี้
เสิ่นจิ้งจงได้สติจึงเห็นหลู่ไท่เว่ยหมุนตัวเดินจากไปอย่างรวดเร็วเขาจึงรีบตะโกนถาม
“หลู่ไท่เว่ยจะไปที่ใด!”
“ทำตามราชโองการของฝ่าบาท ข้าจะกลับไปปรึกษาเรื่องเสบียงอาหารกับเสนาบดีการคลังที่จวน”
หลู่ไท่เว่ยกล่าวตอบโดยไม่หันกลับมามองแม้แต่น้อย
เคลื่อนเสบียงก่อนเคลื่อนทัพคือหลักการของการออกรบ
ไม่ว่าไป๋ชิงเหยียนจะสั่งให้ยกทัพไปประชิดชายแดนต้าเยี่ยนเพื่อข่มขู่หรือต้องการทำสงครามจริงพวกเขาก็ต้องเตรียมพร้อมไว้ล่วงหน้า
ตอนนี้ไป๋ชิงเหยียนกำลังทรมานกับการคลอดลูก นางกำลังยื้อชีวิตของตัวเองอยู่ นี่ไม่ใช่เวลาที่ขุนนางอย่างพวกเขาจะมาถกเถียงกันว่าไป๋ชิงเหยียนทำถูกต้องหรือไม่
ที่สำคัญไป๋ชิงเหยียนคือจักรพรรดินีแห่งต้าโจว คำกล่าวของนางคือประกาศิตสูงสุด เมื่อกล่าวออกไปแล้วไม่มีทางเอากลับคืน หลู่ไท่เว่ยได้รับความไว้วางใจจากไป๋ชิงเหยียนให้ดำรงตำแหน่งไท่เว่ยเขาก็ควรต้องช่วยแบ่งเบาภาระของหญิงสาว!
เป็นดั่งที่เว่ยจงกล่าว ตอนที่ข่าวการเสียชีวิตของบุรุษตระกูลไป๋ถูกส่งมายังเมืองหลวงไป๋ชิงเหยียนยังไม่เคยทำสิ่งใดผิดพลาดเพียงเพราะความโกรธ เขาเชื่อใจจักรพรรดินีที่เขาจงรักภักดีด้วย
ตอนนี้ทุกคนในราชสำนักต่างให้ความสนใจกับเด็กในท้องของไป๋ชิงเหยียน พวกเขาไม่ห่วงว่าเด็กในท้องจะเป็นบุรุษหรือสตรีเพราะไป๋ชิงเหยียนคือจักรพรรดินี ถึงแม้นางจะคลอดองค์หญิงออกมา องค์หญิงก็คือรัชทายาทของแคว้นอยู่ดี สิ่งที่ทุกคนในราชสำนักกังวลก็คือไป๋ชิงเหยียนคลอดลูกก่อนกำหนด ทุกคนเป็นห่วงความปลอดภัยของนาง
ตอนนั้นขุนนางส่วนใหญ่ในราชสำนักต่างหวั่นไหวไปกับคำกล่าวของไป๋ชิงเหยียนที่กล่าวตอนขึ้นครองราชย์ว่าจะรวบรวมใต้หล้าให้เป็นหนึ่ง
หากยกตัวอย่างตำแหน่งซื่อหลางขึ้นมาเปรียบเทียบ การเป็นซื่อหลางของแคว้นต้าโจวกับการเป็นซื่อหลางของใต้หล้าช่างแตกต่างกันลิบลับ แม้จะเป็นขุนนางระดับเดียวกัน ทว่า ความหมายมันแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง
ผู้เข้ารับราชการเป็นขุนนางล้วนเป็นคนมีสติปัญญา คนมีสติปัญญาล้วนรู้ดีว่าหากไป๋ชิงเหยียนเป็นอันใดไปในตอนนี้ความหวังที่จะรวบรวมใต้หล้าให้เป็นหนึ่งคงดับสูญไปต่อหน้า ชาตินี้พวกเขาคงไม่มีทางเห็นวันที่ใต้หล้ารวมเป็นหนึ่งแล้ว
ทว่า ตอนนี้พวกเขายังมีชีวิตอยู่ พวกเขาคือขุนนางในราชสำนัก ทุกคนล้วนอยากเห็นวันที่ใต้หล้ารวมเป็นหนึ่งกับตาของตัวเองทั้งสิ้น
ต่งเหล่าไท่จวินที่อาศัยอยู่ในจวนต่งกระวนกระวายเช่นเดียวกัน นางคุกเข่าขอพรสิ่งศักดิ์สิทธิ์พลางนับลูกประคำในมือตลอดเวลา
เดิมทีซ่งซื่อมาหาต่งเหล่าไท่จวินเพราะต้องการเข้าไปดูสถานการณ์ในวังหลวงด้วยตัวเอง ทว่า ต่งเหล่าไท่จวินไม่อยากเข้าวังไปสร้างปัญหาเพิ่มจึงตัดสินใจอยู่ขอพรให้ไป๋ชิงเหยียนในจวนต่งแทน
ต่งเหล่าไท่จวินคุกเข่าขอพรให้ไป๋ชิงเหยียนทั้งคืน หมัวมัวข้างกายของต่งเหล่าไท่จวินไม่กล้าเกลี้ยกล่อมให้ต่งเหล่าไท่จวินไปพักผ่อน นางทำได้เพียงคุกเข่าเป็นเพื่อนต่งเหล่าไท่จวินเท่านั้น
แม่สามีไม่ยอมพักผ่อนซ่งซื่อจึงเป็นกังวลทั้งคืน นางดื่มชาเข้มประคองสติไม่รู้กี่ถ้วยต่อกี่ถ้วย นั่งรอฟังข่าวจากต่งชิงผิงอยู่ที่โถงรับรองหน้าด้วยความกระวนกระวาย
ต่งถิงเจินที่กำลังเตรียมตัวสอบขุนนางก็อยู่ไม่เป็นสุขเช่นเดียวกัน นางเดินมาถามข่าวจากมารดาที่โถงรับรองหน้าทุกๆ หนึ่งชั่วยาม
แสงอรุณแรกของวันโผล่ออกมาจากก้อนเมฆ แสงสีทองส่องกระทบลงบนหลังคากระเบื้องในเมืองหลวง แสงสว่างสีม่วงอมทองปรากฏชัดอยู่บนก้อนเมฆจนชาวบ้านในเมืองหลวงต่างเงยหน้ามองบนท้องฟ้า ไม่รู้ว่าเหตุใดวันนี้จึงมีปรากฏการณ์เช่นนี้เกิดขึ้น
ขุนนางของสำนักโหรหลวงวิ่งขึ้นไปบนตึกสูงอย่างรวดเร็ว เขามองเห็นแสงสีม่วงอมทองซึ่งเป็นลางดีปรากฏขึ้นที่ท้องฟ้าฝั่งตะวันออกจึงนึกถึงไป๋ชิงเหยียนที่กำลังให้กำเนิดทายาทอยู่ในวังหลวงขึ้นมาทันที
“ลางดี นี่เป็นลางดีมาก!” ขุนนางของสำนักโหรหลวงตะโกนขึ้นเสียงดัง
“นี่คือสัญญาณบ่งบอกว่าผู้มีบุญญาธิการกำลังจะถือกำเนิดขึ้น!”
วังหลวง
“คลอดแล้ว! คลอดแล้ว!”
เสียงดีใจของชุนเถาและชุนจือดังออกมาจากด้านในตำหนัก
“คุณหนูใหญ่คลอดแล้ว!”
ฮูหยินห้าฉีซื่อซึ่งรออยู่นอกห้องคลอดตลอดเวลารีบวางถ้วยชาในมือลงและผุดลุกขึ้นยืนทันที นางเดินไปหยุดอยู่หน้าห้องคลอดพร้อมกับหลิวซื่อและหลี่ซื่อ
“อาเป่าปลอดภัยดีหรือไม่!”
“ปลอดภัยทั้งแม่ทั้งลูกหรือไม่ คือองค์ชายหรือองค์หญิง!”
“พี่สะใภ้ใหญ่ อาเป่าปลอดภัยดีหรือไม่เจ้าคะ”
ฮูหยินทั้งสามถามออกมาแทบพร้อมเพรียงกัน
“ปลอดภัยทั้งแม่ทั้งลูก ได้เด็กผู้ชาย!” เสียงโล่งใจของต่งซื่อดังออกมาจากด้านใน
สิ้นเสียงของต่งซื่อทุกคนได้ยินเสียงร้องอย่างเจ็บปวดของอาเป่าดังขึ้นอีกครั้ง ฮูหยินทั้งสามเครียดขึ้นมาทันที
“พี่สะใภ้ใหญ่ อาเป่าเป็นอันใดไปเจ้าคะ”
ฮูหยินห้าฉีซื่อเอ่ยถามเสียงดัง นางเกาะขอบฉากกั้นแน่น นางอยากพุ่งตัวเข้าไปด้านในจนแทบทนไม่ไหว
หมอตำแยคลำท้องของไป๋ชิงเหยียนพลางกล่าวขึ้นเสียงดัง
“ยังมีอีกคน ในท้องของฝ่าบาทยังมีเด็กอยู่อีกคน!”
“แฝด!” ฮูหยินห้าฉีซื่อกำมือแน่น นางกลัวว่าอาเป่าจะไม่มีแรงเพราะออกแรงเบ่งคลอดมาทั้งคืนแล้ว นางเอ่ยถามเสียงดัง “อาเป่ายังมีแรงหรือไม่”
“เร็ว นำน้ำแกงโสมที่ต้มมาทั้งคืนมาให้อาเป่าเร็วเข้า!” หลิวซื่อหันไปตะโกนสั่งหลัวหมัวมัว
ไป๋ชิงเหยียนเจ็บมาทั้งคืน ตอนนี้สมองของนางขาวโพลนไปหมด ทว่า เมื่อนึกถึงอาอวี๋ นึกถึงร่างโชกเลือดของอาอวี๋ในความฝัน นึกถึงเสี่ยวชีที่หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย นางจึงกัดฟันออกแรงเบ่งอย่างเต็มที่
“อุแว้…”
ภายในห้อง องค์ชายน้อยกำลังดูดนมจากเต้าของแม่นม องค์หญิงน้อยซึ่งส่งเสียงร้องเบาราวกับแมวเพิ่งลืมตาขึ้นดูโลก
ไป๋ชิงเหยียนฟุบหน้าลงกับเตียงด้วยความอ่อนเพลีย
หมอตำแยทำความสะอาดร่างกายขององค์หญิงน้อยจนสะอาด นางใช้ผ้าอ้อมสะอาดที่เตรียมไว้นานแล้วพันร่างขององค์หญิงน้อยและส่งให้แม่นมป้อนนม
ต่งซื่อไม่มีเวลาสนใจหลานชายและหลานสาวตัวน้อยของตัวเอง นางรีบใช้ผ้าเช็ดหน้าเช็ดเหงื่อบนหน้าให้ไป๋ชิงเหยียน จากนั้นกล่าวเสียงสะอื้นทั้งน้ำตา
“ดีแล้ว เด็กคลอดออกมาหมดแล้ว!”
ไป๋ชิงเหยียนหอบอยู่พักหนึ่ง นางเหนื่อยจนแทบทนไม่ไหว นางมองไปทางลูกของตัวเองทั้งสองคนแวบหนึ่ง จากนั้นเอ่ยถามเสียงแหบพร่า
“ให้คนที่นำรายงานสถานการณ์รบมาส่งมาพบข้าที่ตำหนักโดยเร็ว ข้ามีเรื่องจะถามเขาเจ้าค่ะ!”
ต่งซื่อรู้ว่าบุตรสาวเป็นห่วงน้องชายและน้องสาวของนาง ต่งซื่อเองก็เช่นเดียวกันนางจึงทำเพียงกอดร่างของบุตรสาวไว้แนบอกเท่านั้น นางได้แต่ภาวนาขอร้องไม่ให้สวรรค์ใจร้ายกับนางถึงเพียงนี้ บุตรชายของนางเพิ่งกลับมา พวกนางสองแม่ลูกยังไม่ได้พบหน้ากันอย่างเป็นทางการเลย สวรรค์ได้โปรดอย่าให้พวกนางต้องพรากจากกันไปอยู่คนละโลกเช่นนี้เลย
หมอตำแยทำความสะอาดแผลให้ไป๋ชิงเหยียน จากนั้นย้ายตัวหญิงสาวจากห้องคลอดไปยังตำหนักของนาง
เมื่อแม่นมป้อนนมให้เด็กท้องสองเสร็จ บรรดาอาสะใภ้ของไป๋ชิงเหยียนอุ้มเด็กทั้งสองไว้ในอ้อมกอด
ฮูหยินสี่หวังซื่ออุ้มองค์หญิงน้อย จากนั้นมองไปทางองค์ชายน้อยที่อยู่ในอ้อมแขนของหลิวซื่อแวบหนึ่ง นางกล่าวออกมาอย่างไม่อยากเชื่อ
“เด็กน้อยสองคนนี้ช่างน่ารักเสียจริง! ข้าไม่เคยเห็นเด็กทารกที่น่ารักตั้งแต่แรกเกิดเช่นนี้มาก่อนเลย!”
“นั่นน่ะสิ น่ารักกว่าตอนอาเป่าเกิดเสียอีก!”
ฮูหยินห้าฉีซื่อกล่าวยิ้มๆ พลางมองไปทางไป๋ชิงเหยียน เมื่อเห็นไป๋ชิงเหยียนมีสีหน้าเคร่งเครียดจึงนึกขึ้นได้ว่าเมื่อไป๋ชิงเหยียนคลอดลูกออกมาเสร็จนางสั่งให้ทหารยกทัพไปทำลายซีเหลียงทันที เมื่อนึกถึงตอนที่ไป๋ชิงเหยียนตกจากรถม้าหลังอ่านรายงานสถานการณ์รบจึงเริ่มสงสัยทันที นางเอ่ยถามอย่างกล้าๆ กลัวๆ
“พี่สะใภ้ใหญ่ เกิดเรื่องอันใดขึ้นกับเด็กๆ ที่ซีเหลียงหรือไม่เจ้าคะ…”
สิ้นเสียงของฮูหยินห้าฉีซื่อ ฮูหยินคนอื่นๆ ต่างเครียดตามขึ้นทันที