สตรีแกร่งตระกูลไป๋ - ตอนที่ 153 ผิดคำสัญญา
ตอนที่ 153 ผิดคำสัญญา
เมื่อองค์หญิงใหญ่กล่าวจบ ดวงตาของเว่ยจงสั่นไหวเล็กน้อย สายตาเขาหยุดอยู่ที่รองเท้าของ
ไป๋ชิงเหยียน หันไปทางนางและก้มศีรษะคำนับ “เว่ยจงคาราวะคุณหนู!”
ตอนที่เว่ยจงเดินเข้ามา ไป๋ชิงเหยียนสังเกตลมหายใจและฝีเท้าของเขาอย่างละเอียด เขาน่าจะเป็นยอดฝีมือคนหนึ่งเลยทีเดียว
เว่ยจงอายุสี่สิบปี นิ้วมือที่แขนขวาของเขาขาดไปนิ้วหนึ่ง ร่างทั้งร่างดูสง่าภูมิฐาน น้ำเสียงเล็กกว่าบุรุษทั่วไปเล็กน้อย ไม่เคยไว้หนวดไว้เครา
นางเดาว่าเว่ยจงคงเป็นขันทีที่ติดตามท่านย่าเข้ามาอยู่ในตระกูลไป๋ตั้งแต่แรก เช่นนั้นเขาคงไม่ใช่หัวหน้าองครักษ์ลับ แค่มีหน้าที่ช่วยติดต่อพวกเขาเท่านั้น
“วันที่สิบห้าท่านย่าจะไปบำเพ็ญเพียรที่วัดเพื่อขอพรให้ราชวงศ์ รบกวนลุงเว่ยจงนัดหมายหัวหน้าองครักษ์ลับมาพบข้าด้วย” ไป๋ชิงเหยียนกล่าว
เว่ยจงยอมรับเจ้านายใหม่แล้ว ย่อมต้องฟังคำสั่งของไป๋ชิงเหยียน เขาก้มศีรษะคำนับ “ไม่กล้ากล่าวว่าเป็นการรบกวนขอรับ คุณหนูวางใจได้ขอรับ เว่ยจงจะจัดการอย่างรอบคอบ มิให้ผู้อื่นจับได้แน่นอนขอรับ”
หลังจากเว่ยจงจากไป องค์หญิงใหญ่มองดูไป๋ชิงเหยียนที่ไม่ได้ขยับมานั่งใกล้ชิดนางเลยแม้แต่น้อย ดวงตาของนางแดงก่ำ “ไปหนานเจียงจงระวังตัวให้ดี!”
ไป๋ชิงเหยียนลุกขึ้นยืนทำความเคารพ “ท่านย่าวางใจได้เจ้าค่ะ หากไม่มีสิ่งใดแล้ว ชิงเหยียนขอตัวก่อนนะเจ้าคะ”
องค์หญิงใหญ่เม้มปากแน่น ใบหน้าเศร้าสร้อย ครู่ใหญ่จึงพยักหน้าลงอย่างช้าๆ “หลายวันมานี้ อาเป่าเหนื่อยมากที่สุด อาเป่าไปพักผ่อนเถิด!”
เมื่อเห็นไป๋ชิงเหยียนทำความเคารพอย่างนอบน้อมแล้วเดินออกจากห้องไป น้ำตาที่องค์หญิงใหญ่พยายามกลั้นไว้ก็ไหลออกมาจากหางตาในที่สุด
“องค์หญิงใหญ่…” เจี่ยงหมัวมัวถือชานมแพะพุทราเดินผ่านฉากกั้นเข้ามา เมื่อแหวกม่านเดินเข้าไปด้านใน เห็นองค์หญิงใหญ่ร้องไห้ นางรีบถลาเข้าไปปลอบเสียงอ่อนโยน “ตั้งแต่ที่คุณหนูรองออกเรือนไป คุณหนูใหญ่ไม่ได้พักเลยสักวัน วันนี้เรื่องทุกอย่างเสร็จสิ้นลงหมดแล้ว คุณหนูใหญ่คงเหนื่อยเต็มทีแล้วเพคะ”
ไม่ได้ยินเสียงตอบรับขององค์หญิงใหญ่ เจี่ยงหมัวมัวเริ่มตาแดงก่ำเช่นเดียวกัน นางฝืนประคองสติพลางยิ้มออกมา “องค์หญิงใหญ่ไม่อยากรับประทานอาหารเย็น บ่าวเห็นว่าพุทราที่คุณหนูใหญ่ให้มาคราวที่แล้วยังเหลืออยู่ จึงให้คนทำชานมแพะพุทราให้องค์หญิงใหญ่เพคะ องค์หญิงใหญ่ลองชิมหน่อยดีหรือไม่เพคะ วันนี้ขนมถ้วยฟูก็ไม่เลว ให้บ่าวนำมาให้สักชิ้นดีหรือไม่เพคะ”
ผ่านไปครู่ใหญ่ องค์หญิงใหญ่ส่ายหน้า “นำไปให้อาเป่าเถิด!”
หลังจากไป๋ชิงเหยียนไปดูอาการของจี้ถิงอวี๋เสร็จ หญิงสาวเดินกลับไปยังเรือนชิงฮุยพร้อมกับเซียวรั่วไห่ที่ทำแผลเสร็จเรียบร้อยแล้ว
“เซียวรั่วเจียงนำคนล่วงหน้าไปยังหนานเจียงแล้วขอรับ เขาส่งคนขี่ม้าเร็วกลับมารายงานว่าเขาจะควบคุมสถานการณ์ทั้งหมดที่หนานเจียงให้ได้ก่อนที่คุณหนูจะเดินทางไปถึงหนานเจียงขอรับ” เซียวรั่วไห่เดินอยู่ข้างๆ ไป๋ชิงเหยียนโดยเว้นระยะห่างครึ่งก้าว เขาก้มศีรษะโค้งกายเล็กน้อยพลางกล่าวด้วยความเคารพ “อีกอย่าง เรื่องที่คุณหนูสั่งให้ไปสืบได้เรื่องแล้วขอรับ ที่ปรึกษาตู้จือเวยของจวนเหลียงอ๋องเอาตัวเข้ารับดาบแทน
เหลียงอ๋องในวันที่คุณหนูรองออกเรือน บัดนี้เสียชีวิตแล้วขอรับ”
ฝีเท้าของไป๋ชิงเหยียนชะงัก ตายแล้วอย่างนั้นหรือ!
ผ้าไหมสีขาวตรงระเบียงทางเดินสะบัดพลิ้วไปมาตามลมอยู่ตรงหน้าของหญิงสาว เมื่อนึกถึงจดหมายที่เขียนด้วยลายมือของเหลียงอ๋อง
ในที่สุดก็รู้แล้วว่าเพราะเหตุใดเหลียงอ๋องจึงทำพลาดเช่นนี้
เหลียงอ๋องผู้นี้เก่งเรื่องการแสดงละครตบตาผู้คน มีความเจ้าเล่ห์อยู่มาก ทว่า อย่างไรก็สู้ตู้จือเวยที่มีความสามารถในการควบคุมสถานการณ์และการวางแผนไม่ได้
การตายของตู้จือเวยทำให้นางรู้สึกเสียดายอยู่ไม่น้อย ดูเหมือนว่าชะตาของเหลียงอ๋องจะยังไม่ถึงคาดจริงๆ ชาติที่แล้วมีไป๋จิ่นซิ่วน้องหญิงรองของนางช่วยรับดาบแทน ชาตินี้มีตู้จือเวยสละชีพแทน เหลียงอ๋องคือผู้ที่มีชีวิตรอดทั้งสองครั้ง
หากข้างกายของเหลียงอ๋องไม่มีตู้จือเวย คนผู้นี้…นางคงไม่ต้องกังวลมากเท่าใดแล้ว
ไป๋ชิงเหยียนหันไปมองเซียวรั่วไห่ที่เปลี่ยนเครื่องแต่งกายชุดใหม่เรียบร้อยแล้ว “ลำบากหรู่ซยงทั้งสองแล้ว!”
“พวกเรายินดีทำเพื่อคุณหนูใหญ่ขอรับ!” เซียวรั่วไห่ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง สุดท้ายก็สะบัดชายเสื้อคุกเข่าลงบนพื้นแล้วก้มศีรษะแนบพื้น “วันนี้ตอนที่สู้กับยอดฝีมือเกาเซิง ข้าต้องการเกลี้ยกล่อมให้เขามารับใช้คุณหนูใหญ่จึงออมมือไปหน่อย นึกไม่ถึงเลยว่าจะทำให้สหายต้องตายไปถึงสามคน คุณหนูใหญ่โปรดลงโทษด้วยเถิดขอรับ”
ไป๋ชิงเหยียนไม่เคยโทษเซียวรั่วไห่
นางประคองเซียวรั่วไห่ให้ลุกขึ้น “หรู่ซยงเดาได้ว่าการไปหนานเจียงในครั้งนี้ ฮ่องเต้ทรงต้องการชีวิตของข้า ดังนั้นจึงอยากให้ข้างกายของข้ามีคนเก่งคอยปกป้องมากขึ้น หรู่ซยงใจร้อนต้องการดึงคนมาเป็นพวกก็เพราะอยากให้ข้าเดินทางกลับมาอย่างปลอดภัยจะได้ไม่ผิดต่อท่านพ่อ ข้ารู้ดี”
เซียวรั่วไห่โค้งกายอยู่ตลอดเวลาด้วยท่าทีนอบน้อม เมื่อได้ยินไป๋ชิงเหยียนเอ่ยถึงบิดาของนาง เขาโค้งกายต่ำลงอีกนิด ก้มหน้ากะพริบตาที่แดงก่ำโดยไม่กล่าวสิ่งใดทั้งสิ้น
“หรู่ซยงไปพักผ่อนเถิด เมื่อส่งท่านย่าไปวัดในวันที่สิบห้าเสร็จ พวกเราจะเตรียมตัวออกเดินทางไปยังหนานเจียงแล้ว” ไป๋ชิงเหยียนกล่าวเสียงแผ่วเบา
“ส่งคุณหนูใหญ่กลับถึงเรือนชิงฮุยก่อน ข้าค่อยไปพักผ่อนขอรับ” เซียวรั่วไห่ยืนกราน
ไป๋ชิงเหยียนไม่ได้ทักท้วง นางพยักหน้าน้อยๆ
เซียวรั่วไห่ยืนอยู่ไม่ห่างจากเรือนชิงฮุย มองส่งไป๋ชิงเหยียนเดินเข้าไปในเรือนชิงฮุยแล้วเขาจึงหมุนตัวเดินจากไป
ไป๋ชิงเหยียนเดินเข้าไปด้านใน ชุนเถาช่วยถอดเสื้อคลุมออกให้พลางรายงานเสียงเบา “เมื่อครู่องค์หญิงใหญ่ให้เจี่ยงหมัวมัวมาเจ้าค่ะ นางกล่าวว่าคุณหนูใหญ่รับประทานอาหารเย็นไปเพียงนิดเดียว องค์หญิงใหญ่เป็นห่วงจึงให้นางนำชานมแพะพุทราและของว่างมาให้คุณหนูใหญ่เจ้าค่ะ”
หญิงสาวยืนอยู่หน้าเตาผิง ยื่นมือไปอังไฟ สายตาเหลือบมองไปยังชานมแพะพุทราและขนมถ้วยฟูดอกเหมยซึ่งส่งกลิ่นหอมอ่อนๆ ที่วางอยู่บนโต๊ะ นางนิ่งงันไปครู่หนึ่ง สุดท้ายก็สั่งให้บ่าวมาเก็บออกไป
เว่ยจงที่ไป๋ชิงเหยียนพบเมื่อครู่คือคนขององค์หญิงใหญ่ นางไม่คิดจะใช้งาน
หลูผิงเป็นองครักษ์ของตระกูลไป๋ที่มีอำนาจและมีฝีมือมากที่สุด ต้องให้อยู่กับท่านแม่
ส่วนองครักษ์ลับ…
อีกไม่นานน้องหญิงสามไป๋จิ่นถงจะออกเดินทางไกลแล้ว แม้ข้างกายจะมีคนคอยปกป้อง ทว่า การเดินทางไกลหากมียอดฝีมือคอยปกป้องมากเท่าใดก็จะยิ่งปลอดภัยมากเท่านั้น
ชุนซิ่งแหวกผ้าม่านหนาเดินเข้ามาด้านใน ย่อกายทำความเคารพเสร็จจึงเอ่ยถาม “คุณหนูใหญ่จะให้เตรียมน้ำหรือไม่เจ้าคะ”
ยุ่งวุ่นวายมาหลายวัน ฝังร่างของวีรบุรุษตระกูลไป๋เรียบร้อย เหลียงอ๋องก็ถูกจับขังคุกแล้ว ความตึงเครียดที่อยู่ในใจของหญิงสาวผ่อนคลายลง นางรู้สึกเหนื่อยล้าไปทั้งร่าง
“เตรียมน้ำเถิด!”
ชุนซิ่งได้รับคำสั่งจึงเดินออกไปบอกให้สาวใช้จัดเตรียมน้ำ
คืนนั้น ไป๋ชิงเหยียนหลับอย่างสบาย…
นางฝันถึงสงครามที่หนานเจียง ฝันถึงท่านปู่ ท่านพ่อ บรรดาท่านอาและน้องชาย
ฝันเห็นกองเลือดมากมาย ทุกที่เต็มไปด้วยศพ เต็มไปด้วยเสียงรบราฆ่าฟัน ประกายไฟจากดาบที่ปะทะกันผ่านใบหน้านางไปไม่ถึงคืบ ทว่า นางไม่กล้ากะพริบตา
นางมองไปยังความมืดมิดบนท้องฟ้าที่อยู่ไกลออกไปทางเบื้องบน ธนูแหลมคมมากมายพุ่งตรงมาอย่างรวดเร็วราวกับตั๊กแตนที่บินลอยมาตามลมพร้อมกับเสียงฟิ้ว นางย่ำลงบนดินโคลนที่เปื้อนเลือดพลางถลาเข้าไปยังร่างร่างหนึ่งที่กำลังสู้กับศัตรูอยู่อย่างไม่ยอมแพ้ท่ามกลางศพมากมาย “ท่านพ่อ! ท่านพ่อรีบหนีไปเจ้าค่ะ!”
นางวิ่งล้มลุกคุกคลานไปถึงร่างของบิดา ยังไม่ทันจะได้สัมผัสเกราะของบิดา ก็ได้ยินเสียง “ฟิ้ว” ดังผ่านใบหูของนางไป ท่านพ่อใช้ร่างบังร่างกายของนางเอาไว้ในอ้อมกอด นางได้ยินเสียงธนูทะลุเกราะปักลงไปในร่างกายของท่านพ่อ
หญิงสาวเบิกตาโพลงอย่างหวาดกลัว มองดูท่านพ่อที่ขบกรามแน่นด้วยใบหน้าเคร่งเครียด นางจับชุดเกราะบริเวณแผ่นอกของท่านพ่อแน่น น้ำตาไหลพราก “พ่อ ท่านพ่อ!”
“อาเป่า พ่อเคยคิดว่า…เมื่อใต้หล้าสงบสุขแล้วจะพาเจ้า แม่ของเจ้าและอาอวี๋ไปท่องเที่ยวทั่วยุทธภพ ใช้ชีวิตปกติเหมือนคนธรรมดาทั่วไป! ทว่า พ่อผิดสัญญาที่ให้ไว้กับแม่ของเจ้าแล้ว ไม่อาจปกป้องเจ้าได้อีกต่อไปแล้ว!”