สตรีแกร่งตระกูลไป๋ - ตอนที่ 249 เนรคุณ
แม่ทัพจางตวนรุ่ยกระชับมือที่กุมบังเหียนแน่น ควบม้านำขบวนเข้าไปในอำเภอเฟิง
เมื่อถึงหน้าโรงเหล้า ทหารที่ถูกสั่งให้จับตาดูความเคลื่อนไหวของโรงเหล้ารีบถลาเข้ามาทำความเคารพ “ข้าไม่อาจจองห้องรับรองที่ขนาบทั้งสองข้างของห้องแม่ทัพไป๋ได้ขอรับ ห้องทางฝั่งตะวันออกมีคนจองไปแล้วขอรับ บ่าวรับใช้ของห้องนั้นกล่าวว่าเจ้านายของพวกเขาไม่เดือดร้อนเรื่องเงิน ดังนั้นจึงไม่ยอมรับเงินแล้วจากไป ข้ากลัวแม่ทัพไป๋จะรู้ตัวจึงจองเพียงห้องเดียวขอรับ”
“มีคนไปพบแม่ทัพไป๋หรือไม่” แม่ทัพจางตวนรุ่ยถาม
ทหารผู้นั้นพยักหน้า “เข้าไปคนสองคนขอรับ”
องค์รัชทายาทสีหน้าเคร่งขรึม ขบกรามแน่น กำมือที่ไขว้อยู่ทางด้านหลังแน่น เดินเข้าไปในโรงเหล้าที่ไม่ถือว่าใหญ่โตมากนัก
เด็กรับใช้เตรียมเข้าไปต้อนรับ ทว่า เขาตกใจกับไอสังหารของกลุ่มองครักษ์จนแทบสะดุดล้ม ทำได้เพียงมององค์รัชทายาทเดินขึ้นไปชั้นสองภายใต้การคุ้มครองของกลุ่มองครักษ์อย่างหวาดกลัว
เด็กรับใช้และแขกในโรงเหล้าต่างพากันคาดเดาว่าคนสูงศักดิ์ของตระกูลใดมาเยือนถึงได้เอิกเกริกถึงเพียงนี้ เกรงว่าแม้แต่ขุนนางระดับหนึ่งก็คงเทียบไม่ติด
“คุณชาย ทางนี้ขอรับ!” แม่ทัพจางตวนรุ่ยผายมือเชิญองค์รัชทายาท
องค์รัชทายาทยืนอยู่หน้าห้องรับรอง มองไปทางห้องของไป๋ชิงเหยียนแวบหนึ่ง จากนั้นหันไปมองคนที่ลอบติดตามไป๋ชิงเหยียนมา ราวกับกำลังถามว่าไป๋ชิงเหยียนอยู่ในห้องข้างๆ นั้นใช่หรือไม่
เมื่อเห็นทหารพยักหน้า องค์รัชทายาทจึงเดินเข้าไปในห้อง นั่งลงบนเบาะนุ่มบนเก้าอี้ไม้ที่หันหลังชิดกำแพงของห้องข้างๆ สองมือกำหมัดแน่น
คนอื่นๆ เดินตามเข้าไป ปิดประตูลง ทุกคนต่างหยิบถ้วยชาแนบไปที่กำแพงเพื่อฟังความเคลื่อนไหวของห้องข้างๆ โดยพร้อมเพรียงกัน
ผนังของโรงเหล้าแห่งนี้ไม่ค่อยเก็บเสียงสักเท่าใด ขอเพียงภายในห้องรับรองเงียบสนิท เสียงของห้องข้างๆ ดังมากเพียงพอ ต่อให้ไม่ใช้วิธีแอบฟังเช่นนี้ ก็ได้ยินอยู่ดี
องค์รัชทายาทหลับตาลง กลั้นหายใจฟังบทสนทนาและความเคลื่อนไหวของห้องข้างๆ
“สถานที่เลือกเป็นภูเขาอวี้ชิงดีหรือไม่ขอรับ! แม้ที่นั่นจะเป็นทางบนภูเขา ทว่า พื้นที่กว้างขวางมาก ปล่อยมันออกมาที่นี่จะถูกจับได้ง่ายเกินไป ต่อให้องค์รัชทายาททำไม่ได้ กองทัพต้าจิ้นก็ไม่ปล่อยไม่ให้มันหนีไปได้ง่ายๆ โดยเฉพาะฝีมือการยิงธนูที่แม่นยำของคุณหนูใหญ่ แค่ดอกเดียวก็จบเรื่องแล้ว!”
เมื่อได้ยินคำว่า “องค์รัชทายาท” องค์รัชทายาทผุดลุกขึ้นยืนพลางผลักทหารคนหนึ่งที่ใช้ถ้วยชาแอบฟังผ่านกำแพงอยู่ออกห่าง จากนั้นหยิบถ้วยชามาฟังด้วยตัวเอง
“เป้าหมายของพวกเราคือให้มันไปหาองค์รัชทายาทท่ามกลางสายตาของทุกคน ศิโรราบแก่องค์รัชทายาท ให้องค์รัชทายาทจับมันไปมอบให้ฝ่าบาท ไม่ใช่สังหารมัน! หากมันเกิดตายขึ้นมา สิ่งที่พวกเราทำลงไปก็สูญเปล่ากันหมด!”
องค์รัชทายาทเหมือนจะฟังออกว่านี่คือน้ำเสียงของหรู่ซยงของไป๋ชิงเหยียน
“คุณหนูใหญ่จะไม่บอกองค์รัชทายาทจริงๆ หรือขอรับ”
“ไม่ต้องบอก องค์รัชทายาทเกรงกลัวฝ่าบาทมาก หากบอกพระองค์…เกรงว่าจะเสียเรื่อง” น้ำเสียงของไป๋ชิงเหยียนชะงักไปครู่หนึ่ง จากนั้นกล่าวต่อ “ช่วงนี้รบกวนหรู่ซยงดูแลมันไปก่อน ทำให้มันรู้ว่าเมื่อถึงเวลามันควรไปหาผู้ใด”
องค์รัชทายาทขมวดคิ้วแน่น ฟังจากสิ่งที่ไป๋ชิงเหยียนกล่าวมาดูเหมือนนางไม่ได้ต้องการทำร้ายเขา เพียงแค่อยากให้เขาจับสิ่งใดสักอย่างด้วยตัวเองที่ภูเขาอวี้ชิง
องค์รัชทายาทเต็มไปด้วยความสงสัย หญิงสาวมีผู้ใดอยู่ในกำมือกันแน่ แถมยังวางแผนให้เขาเป็นคนจับด้วยตัวเองอีก
นึกถึงคำกล่าวที่ว่า “องค์รัชทายาทหวาดกลัวฝ่าบาทมาก” องค์รัชทายาทก็เดือดดาลขึ้นมาทันที เหตุใดจึงกล่าวว่าเขาอาจทำเสียเรื่อง ในสายตาของไป๋ชิงเหยียนเขาเป็นเพียงหมากตัวหนึ่งของนางหรืออย่างไรกัน
“องค์ชาย ยังต้องจับคนหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ” แม่ทัพจางตวนรุ่ยถามเสียงเบา
องค์รัชทายาทกำถ้วยชาในมือแน่น จากนั้นเขวี้ยงลงบนโต๊ะอย่างไม่แยแส ขมับเต้นรัว เขาพยายามข่มโทสะที่มีอยู่ในใจพลางเอ่ยขึ้น “ยังไม่ต้อง! เราจะดูว่านางต้องการให้เราจับผู้ใดที่ภูเขาอวี้ชิงกันแน่!”
บัดนี้แม่ทัพใหญ่ของต้าจิ้นที่สามารถทำให้แคว้นศัตรูหวั่นเกรงได้ก็มีเพียงไป๋ชิงเหยียนเท่านั้น หากไม่จำเป็นจริงๆ องค์รัชทายาทไม่อยากฆ่าไป๋ชิงเหยียน โดยเฉพาะอย่างยิ่งตอนที่ต้าจิ้นเพิ่งลงนามทำสัญญาสงบศึกกับซีเหลียงเสร็จ ต้าจิ้นยังไม่ได้รับดินแดนและค่าเสียหายที่ซีเหลียงต้องชดใช้ให้
องค์รัชทายาทคิดอยู่ครู่หนึ่งจากนั้นหันไปมองแม่ทัพจางตวนรุ่ย “แม่ทัพจาง เจ้าจงให้คนของเจ้าปิดปากให้สนิท! ห้ามแพร่งพรายเรื่องนี้ให้ไป๋ชิงเหยียนรู้เป็นอันขาด มิเช่นนั้น หากแม่ทัพไป๋โกรธแค้นต้าจิ้นเรื่องการตายของบุรุษตระกูลไป๋ขึ้นมาจนทำเรื่องที่เป็นผลร้ายต่อแคว้นต้าจิ้น แม่ทัพจางจะกลายเป็นนักโทษของต้าจิ้นทันที!”
จู่ๆ ก็ถูกยัดเยียดข้อหาเช่นนี้ แม่ทัพจางตวนรุ่ยรีบกำหมัดรับคำ “พ่ะย่ะค่ะ!”
พอกล่าวจบ จู่ๆ ก็มีเสียงโหวกเหวกโวยวายดังมาจากนอกหน้าต่าง
องค์รัชทายาทรู้เป้าหมายของไป๋ชิงเหยียนแล้ว เขาไม่มีความจำเป็นต้องอยู่ที่นี่ต่ออีก เขาเดินออกไปจากห้องรับรอง ลงไปด้านล่าง
ก่อนขึ้นไปบนรถม้า องค์รัชทายาทหันไปมองต้นเสียงโหวกเหวกโวยวายแวบหนึ่ง
“สองแคว้นทำศึก เจ้าเคยเห็นผู้ใดสังหารทหารยอมจำนนบ้าง! ข้าว่าเสี่ยวไป๋ไซว่ของกองทัพไป๋เป็นปีศาจกลับชาติมาเกิดแน่ๆ ! ยังอ้างว่าปกป้องชาวบ้านอีก พอนางสังหารคนซีเหลียงจนหมดสิ้น นางคงหันมาสังหารพวกเจ้าเหมือนกัน!”
“นั่นสิ ทหารนับแสนเชียวนะ แม้จะเป็นแคว้นศัตรู ทว่า พวกเขายอมจำนนแล้ว พวกเขามีพ่อแม่ ลูกเมียเช่นเดียวกัน นางกลับจุดไฟเผาเช่นนี้! เปลวเพลิงที่หุบเขาเวิ่งลุกโหมอยู่ครึ่งเดือน สังหารคนไปตั้งเท่าใด แม่ทัพไป๋ช่างใจร้ายเสียจริง!”
“นี่มัน…สังหารทหารยอมจำนนก็เกินไปจริงๆ” ชาวบ้านบางคนพยักหน้าเห็นด้วย
“กล่าวบ้าบออันใด!”
องค์รัชทายาทเห็นหมอหญิงซึ่งคาดผ้าคลุมปิดหน้าที่เคยติดตามอยู่ข้างกายไป๋ชิงเหยียนโผล่ออกมาจากฝูงชน ขึ้นไปยืนบนบันไดสูง “ทุกท่านอย่าได้หลงเชื่อคำยุแยงจากผู้อื่นเลย มีครั้งใดที่ทหารซีเหลียงเหล่านั้นทำลายประตูเมืองของพวกเราแล้วไม่สังหารญาติมิตรของพวกเรา ข่มเหงย่ำยีภรรยาและบุตรสาวของพวกท่านบ้าง กองทัพไป๋สละชีพช่วยเหลือพวกเราไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง พวกเราจึงมีชีวิตอยู่จนถึงทุกวันนี้! บัดนี้แค่คนต่างถิ่นไม่กี่คนกล่าวหาว่าแม่ทัพไป๋สังหารทหารยอมจำนนอย่างโหดร้าย พวกเจ้ากลับพยักหน้าเห็นด้วยกับคำกล่าวของพวกเขา เช่นนี้ไม่เรียกว่าเนรคุณหรอกหรือ ชาวบ้านอำเภอเฟิงของพวกเรา มีผู้ใดบ้างที่ไม่เคยได้รับการช่วยเหลือจากกองทัพไป๋ ผู้อื่นสามารถตำหนิเสี่ยวไป๋ไซว่แห่งกองทัพไป๋ได้ ทว่า ชาวบ้านอำเภอเฟิงจะทำเช่นนั้นไม่ได้เด็ดขาด!”
องค์รัชทายาทจ้องมองไปยังหมอหญิงผู้นั้นด้วยสายตาล้ำลึก ขบกรามแน่นพลางขึ้นไปบนรถม้า
กองทัพไป๋ เสี่ยวไป๋ไซว่…
เขาเป็นผู้นำทัพในสงครามครั้งนี้ ทว่า ชาวบ้านจดจำได้เพียงเสี่ยวไป๋ไซว่แห่งกองทัพไป๋!
กองทัพต้าจิ้นไม่มีผู้สูญเสียชีวิตหรืออย่างไรกัน กองทัพไป๋เสียชีวิต…กองทัพต้าจิ้นไม่ได้เสียชีวิตหรืออย่างไร!
“เสี่ยวไป๋ไซว่นำกองทัพห้าหมื่นนายเผชิญหน้ากับกองทัพนับแสนของซีเหลียง ไม่สังหารทหารยอมจำนน…จะรอให้ทหารยอมจำนนของซีเหลียงวกกลับมาสังหารทหารของต้าจิ้น จากนั้นหันมาสังหารชาวบ้านไร้ทางสู้อย่างพวกเราหรืออย่างไร” ดวงตาของจี้หลางหวาแดงฉาน กัดฟันกรอด “เพื่อปกป้องชาวบ้าน เสี่ยวไป๋ไซว่ต้องสูญเสียวรยุทธ์ไป ทว่า ครั้งนี้บุรุษตระกูลไป๋เสียชีวิตทั้งตระกูล เสี่ยวไป๋ไซว่ยอมเดินทางมาที่หนานเจียงเพื่อชาวบ้าน! ตอนที่ข้าทำแผลให้เสี่ยวไป๋ไซว่ ข้าไม่เคยเห็นแม่ทัพคนใดมีบาดแผลมากเท่าเสี่ยวไป๋ไซว่มาก่อน มีทั้งแผลเก่าและแผลใหม่ ล้วนเป็นร่องรอยที่เกิดจากการปกป้องบ้านเมือง ปกป้องชาวบ้าน หากชาวบ้านที่นางปกป้องไว้ด้วยชีวิตตำหนินางเช่นนี้ นางจะเสียใจมากเพียงใดกัน!”