สตรีแกร่งตระกูลไป๋ - ตอนที่ 291 ทำผิด
ทุกคนควรมีเรื่องทำ เมื่อมีเรื่องทำแล้ว…จะได้ไม่คิดฟุ้งซ่าน
ไป๋ชิงเหยียนก้มหน้าลง ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งจากนั้นกล่าวขึ้น “ลุงผิง ถงหมัวมัว ชุนเถา พวกเจ้าออกไปรอด้านนอกก่อน ข้ามีเรื่องต้องคุยกับจี้ถิงอวี๋ตามลำพัง”
“เจ้าค่ะ!” ถงหมัวมัวและหลูผิงทำความเคารพจากนั้นเดินออกไปด้านนอก
ชุนเถาเดินออกไปเป็นคนสุดท้าย นางปิดประตูให้ไป๋ชิงเหยียน
“จี้ถิงอวี๋ ข้ามีเรื่องวานให้เจ้าไปทำ” ไป๋ชิงเหยียนไม่ได้ปกปิดไป๋จิ่นจื้อ กล่าวกับจี้ถิงอวี๋อย่างจริงจัง “ข้าอยากให้เจ้าไปที่ภูเขาถงกู่ ช่วยอาเจวี๋ยน้องชายเจ็ดของข้าสร้างกองทัพไป๋ขึ้นมาอีกครั้ง!”
จี้ถิงอวี๋เบิกตาโพลงมองไปยังไป๋ชิงเหยียนที่มีสีหน้าเคร่งขรึมสงบนิ่ง
คุณชายเจ็ด?
คุณชายเจ็ดยังมีชีวิตอยู่อย่างนั้นหรือ!
จี้ถิงอวี๋รู้สึกว่าขาและใบหน้าของตนเองชาวาบไปหมด “คุณชายเจ็ดยังมีชีวิตอยู่หรือขอรับ”
ไป๋ชิงเหยียนพยักหน้า “การเดินทางไปหนานเจียงครั้งนี้ได้รับผลกำไรที่ยิ่งใหญ่นั่นก็คือเจอตัวอาเจวี๋ยและช่วยชีวิตอาอวิ๋นเอาไว้ได้ เรื่องนี้…ข้าไม่ได้บอกผู้ใดแม้แต่ท่านแม่ของข้า มีเพียงข้าและเสี่ยวซื่อเท่านั้นที่รับรู้เรื่องนี้ บัดนี้ตระกูลไป๋ตกอยู่ในอันตราย หากฮ่องเต้ทรงทราบว่าน้องชายทั้งสองของข้ายังมีชีวิตอยู่ เกรงว่าคงเกิดปัญหาใหญ่ตามมาอย่างแน่นอน”
จี้ถิงอวี๋อ้าปากค้าง รู้ว่าไป๋ชิงเหยียนฟังออกว่าเมื่อครู่เขากล่าวตัดพ้อออกมาอย่างไม่พอใจ หญิงสาวจึงบอกเรื่องนี้กับเขา ฝากเรื่องที่หนานเจียงไว้ที่เขา ทว่า เขากลายเป็นเช่นนี้…
จี้ถิงอวี๋จับแขนเสื้อข้างที่ว่างเปล่าแน่น จากนั้นส่ายหน้าออกมาเล็กน้อย “คุณหนูใหญ่ไม่ได้ต้องการให้ข้าทำเรื่องนี้ เพียงแค่อยากให้ข้ายืนหยัดขึ้นอีกครั้ง ไม่กล่าวโทษตัวเองอีก ดังนั้นจึงบอกเรื่องสำคัญเช่นนี้ให้จี้ถิงอวี๋ทราบ จี้ถิงอวี๋รู้ดีขอรับ! ทว่า ต่อให้ไปที่นั่น ข้าเป็นเช่นนี้ มีแต่จะเป็นภาระเสียเปล่าๆ ขอรับ”
เมื่อเห็นว่าไป๋ชิงเหยียนจะกล่าวสิ่งใดอีก จี้ถิงอวี๋รีบคุกเข่าลงพลางกล่าวขึ้น “หากคุณหนูใหญ่ยังยินดีให้จี้ถิงอวี๋รับใช้ โปรดให้เวลาข้าอีกสักนิด คุณหนูใหญ่สามารถยกธนูเซ่อรื้อขึ้นได้อีกครั้งหลังได้รับบาดเจ็บหนัก แม้สูญเสียแขนข้างขวาไปแล้ว ทว่า จี้ถิงอวี๋ก็จะใช้มือซ้ายของตัวเองจับดาบขึ้นมาอีกครั้งให้ได้ขอรับ!”
ในที่สุดไป๋ชิงเหยียนก็ถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก ขอเพียงจี้ถิงอวี๋ยังไม่สิ้นหวังก็เพียงพอแล้ว
“ได้ ข้าจะรอเจ้า!” ไป๋ชิงเหยียนพยักหน้า พยุงจี้ถิงอวี๋ให้ลุกขึ้นด้วยตัวเอง “วันที่หนึ่ง เดือนห้า พวกข้าจะเดินทางกลับไปยังซั่วหยาง เจ้ายินดีกลับไปกับข้าหรือไม่”
จี้ถิงอวี๋มองไป๋ชิงเหยียน กล่าวออกมาอย่างหนักแน่น “จี้ถิงอวี๋ไม่มีห่วงอันใดแล้ว นับแต่นี้เป็นต้นไปขอสาบานว่าจะติดตามรับใช้คุณหนูใหญ่ไปจนวันตายขอรับ!”
ไป๋ชิงเหยียนรู้สึกร้อนผ่าว นี่คือบ่าวผู้ซื่อสัตย์ของตระกูลไป๋ที่ท่านย่าทำผิดต่อเขา…
“เช่นนั้นก็เตรียมตัวให้พร้อม ปลายเดือนสี่กลับไปที่จวนไป๋ก่อน”
“ขอรับ!” จี้ถิงอวี๋พยักหน้า
…
หอเป่าเซียง เมืองกู่ผิง
เซียวหรงเหยี่ยนเดินลงมาจากรถม้า หันไปรับตัวมู่หรงลี่ที่แต่งกายด้วยชุดธรรมดาลงมาจากรถม้าด้วยตัวเอง
มู่หรงลี่ก้าวขึ้นไปบนบันไดสองก้าว จากนั้นหันไปมองงานวัดของเมืองกู่ผิง ภาพตรงหน้าคือความเจริญรุ่งเรือง ผู้คนขวักไขว่ไปมา บรรดาพ่อค้าแม่ค้าตั้งแผงลอยตะโกนขายของแข่งกันดังระงมไปทั่ว
ตอนที่มู่หรงลี่อยู่ที่ต้าเยี่ยน เขาไม่เคยเห็นความครื้นเครงเช่นนี้มาก่อน สายตามองไปยังชาวบ้านของแคว้นต้าจิ้น แม้สวมเสื้อผ้าเนื้อหยาบ ทว่า ไม่ได้ขาดซอมซ่อ เด็กน้อยขี่คอผู้เป็นบิดา มือชูผลไม้เคลือบน้ำตาลขึ้นสูง มองไปยังนักแสดงบนเวทีที่อยู่ไกลออกมา ปรบมือชมว่าดี
คนเดินเบียดเสียดกันไปมาตามสองข้างทางที่เต็มไปด้วยแผงลอย ทุกที่เต็มไปด้วยเสียงหัวเราะพูดคุยและเสียงตะโกนต่อรองราคาของชาวบ้านและพ่อค้าแม่ค้าที่ดังมาจากในงานวัด
มู่หรงลี่รู้สึกอิจฉาความครื้นเครงเช่นนี้ยิ่งนัก
เขาหวังว่าสักวันหนึ่ง ชาวบ้านแคว้นต้าเยี่ยนของเขาจะมีชีวิตที่สุขสบายดังเช่นชาวบ้านแคว้นต้าจิ้น ไม่ต้องทนลำบากเพราะสงครามอีกต่อไป
“ดูสิ่งใดอยู่” เซียวหรงเหยี่ยนถามมู่หรงลี่ยิ้มๆ
“อิจฉาความร่ำรวยของต้าจิ้นขอรับ…” มู่หรงลี่ตอบเซียวหรงเหยี่ยนตามความจริง
เซียวหรงเหยี่ยนยิ้มน้อยๆ เอ่ยกับมู่หรงลี่อย่างไม่รีบร้อน “อีกไม่กี่ปี ต้าเยี่ยนของเราก็จะเป็นเช่นนี้เหมือนกัน อย่าได้ร้อนใจไป…”
“ข้าเชื่อเสด็จพ่อ เชื่อเสด็จอาเก้าขอรับ!” แววตาสดใสชัดเจนของมู่หรงลี่มองไปทางเซียวหรงเหยี่ยน
เซียวหรงเหยี่ยนรู้ว่ามีคนสะกดรอยตามมา เขาจึงแสร้งปฏิบัติต่อมู่หรงลี่อย่างนอบน้อม ผายมือเชิญมู่หรงลี่และเฝิงเย่าให้เข้าไปในหอเป่าเซียงก่อน
มู่หรงลี่กำลังจะเดินเข้าไปในหอเป่าเซียงก็เห็นรถม้าคันหนึ่งหยุดอยู่ที่หน้าหอเป่าเซียงเสียก่อน ไป๋จิ่นจื้อลงมาจากรถม้าอย่างรวดเร็ว เด็กชายชะงักฝีเท้าทันที “นั่นใช่เกาอี้เซี่ยนจู่หรือไม่ขอรับ”
เซียวหรงเหยี่ยนมองตามสายตาของมู่หรงลี่ไป เห็นไป๋จิ่นจื้อหมุนตัวผายมือไปด้านในรถม้า ไป๋ชิงเหยียนโน้มกายออกมาจากด้านในตัวรถ จับมือของไป๋จิ่นจื้อพลางเดินลงมาจากรถม้า
ริมฝีปากของเซียวหรงเหยี่ยนขยับเล็กน้อย นึกไม่ถึงว่าจะบังเอิญเจอกับหญิงสาวที่นี่
ชายหนุ่มยืนมองไป๋ชิงเหยียนอยู่ที่เดิม
เมื่อเงยหน้าขึ้น ไป๋ชิงเหยียนสบกับสายตาลึกล้ำแฝงไปด้วยรอยยิ้มของเซียวหรงเหยี่ยน หญิงสาวตะลึงงันไปเล็กน้อย สายตาหยุดอยู่ที่องค์ชายสี่มู่หรงลี่แห่งต้าเยี่ยน
มู่หรงลี่เหมือนคุณชายตระกูลสูงศักดิ์ที่ได้รับการอบรมสั่งสอนมาอย่างดีของแคว้นต้าจิ้น เด็กชายคำนับทำความเคารพไป๋ชิงเหยียนด้วยรอยยิ้ม
สำหรับมู่หรงลี่แล้ว ไป๋ชิงเหยียนไม่เพียงแต่เป็นเสี่ยวไป๋ไซว่ที่เขานับถือ แต่คือท่านอาสะใภ้เก้าในอนาคตของเขา เขาย่อมต้องเคารพและนอบน้อมต่อหญิงสาวเป็นอย่างมาก
ไป๋ชิงเหยียนและไป๋จิ่นจื้อทำความเคารพกลับ จากนั้นก้าวขึ้นไปบนบันไดของหอเป่าเซียง
“เจิ้นกั๋วจวิ้นจู่ เกาอี้เซี่ยนจู่!” เซียวหรงเหยี่ยนทำความเคารพ
“เจิ้นกั๋วจวิ้นจู่และเกาอี้เซี่ยนจู่ก็มาทานเป็ดเป่าเซียงเหมือนกันหรือขอรับ” แม้มู่หรงลี่จะเป็นเพียงเด็กคนหนึ่ง ทว่า เขามีท่าทีสุขุมราวกับผู้ใหญ่ เด็กชายเอ่ยชวนอย่างจริงจัง “เซียวเซียนเซิงจองห้องรับรองไว้ล่วงหน้าแล้ว ไม่ทราบว่าเจิ้นกั๋วจวิ้นจู่และเกาอี้เซี่ยนจู่จะให้เกียรติร่วมทานอาหารด้วยกันได้หรือไม่ขอรับ คราวที่แล้วเสด็จพ่อของข้าล่วงเกินพวกท่าน มู่หรงลี่ขอถือโอกาสนี้เลี้ยงไถ่โทษท่านทั้งสองแทนเสด็จพ่อได้หรือไม่ขอรับ”
กล่าวจบ มู่หรงลี่ทำความเคารพอีกครั้ง
ไป๋จิ่นจื้อมองเซียวหรงเหยี่ยนแวบหนึ่ง กล่าวยิ้มๆ “พี่หญิงใหญ่ พวกเรามาอย่างกะทันหัน ไม่ได้จองห้องไว้ ตอนนี้ห้องคงเต็มหมดแล้ว พวกเราคงไม่นั่งทานด้านล่างหรอกนะเจ้าคะ”
“จวิ้นจู่ ในเมื่อบังเอิญพบกันเช่นนี้ เหยี่ยนมีเรื่องอยากขอร้องจวิ้นจู่พอดี ไปคุยกันต่อในห้องรับรองเถิดขอรับ”
สีหน้าของเซียวหรงเหยี่ยนจริงจัง ไป๋ชิงเหยียนจึงพยักหน้า “เช่นนั้นคงต้องรบกวนเซียวเซียนเซิงและองค์ชายสี่แล้วเพคะ”
ห้องรับรองที่เซียวหรงเหยี่ยนจองไว้คือห้องที่มีตำแหน่งดีที่สุดในหอเป่าเซียง เปิดหน้าต่างออกก็จะเห็นบรรยากาศครึกครื้นของงานวัด
มู่หรงลี่สนใจเรื่องของกองทัพไป๋เป็นอย่างมาก เขาเกาะอยู่ที่ขอบหน้าต่างกับไป๋จิ่นจื้อเหมือนกับเด็กคนหนึ่ง มองดูบรรยากาศครึกครื้นนอกหน้าต่างพลางกล่าวเรื่องของกองทัพไป๋
ไป๋จิ่นจื้อทำตัวราวกับนักเล่าเรื่อง เล่ารายละเอียดเรื่องสงครามที่หนานเจียงซึ่งตนได้ติดตามไป๋ชิงเหยียนไปด้วยให้เด็กชายฟังอย่างตั้งใจ มีอรรถรสยิ่งกว่าตอนที่เล่าในจวนไป๋ครั้งที่แล้วเสียอีก มู่หรงลี่ฟังจนดวงตาเป็นประกาย ส่งเสียงอุทานอย่างตกตะลึงออกมาเป็นระยะ
เซียวหรงเหยี่ยนและไป๋ชิงเหยียนนั่งอยู่ตรงโต๊ะไม้ทรงกลม ชายหนุ่มรินน้ำชาให้ไป๋ชิงเหยียน จากนั้นเอ่ยขึ้นด้วยเสียงแหบพร่าอย่างแผ่วเบา “เรื่องบนเรือในคราวที่แล้ว จักรพรรดิต้าเยี่ยนรู้ตัวว่าล่วงเกินจวิ้นจู่ไป หวังว่าจวิ้นจู่จะไม่ถือสานะขอรับ”
“ไม่เป็นอันใด ขอแค่จักรพรรดิต้าเยี่ยนไม่มาวุ่นวายกับสตรีตระกูลไป๋ก็ไม่ถือเป็นการล่วงเกินอันใด” ไป๋ชิงเหยียนยกถ้วยชาขึ้น
“ทุกคนมีเขตหวงห้ามของตัวเอง จวิ้นจู่เป็นพี่หญิงคนโต จักรพรรดิต้าเยี่ยนก็เป็นพี่ชายคนโต คิดเพียงนิดเดียวก็รู้แล้วว่าเหตุใดจวิ้นจู่จึงโมโหถึงเพียงนี้” เซียวหรงเหยี่ยนถือถ้วยชาไว้ในมือ หันไปมองไป๋ชิงเหยียนพลางเอ่ยขึ้นอย่างไม่รีบร้อน “เหยี่ยนมีเรื่องอยากขอความช่วยเหลือจากคุณหนูใหญ่ไป๋ หวังว่าคุณหนูใหญ่ไป๋จะไม่ปฏิเสธขอรับ”
เป็นครั้งแรกที่ไป๋ชิงเหยียนเห็นเซียวหรงเหยี่ยนมีสีหน้าจริงจังเช่นนี้ หญิงสาววางถ้วยชาในมือลง