สตรีแกร่งตระกูลไป๋ - ตอนที่ 293 ใจร้าย
เมื่อไป๋ชิงเหยียนกลับไปเปลี่ยนชุดที่เรือนชิงฮุยแล้วกลับไปยังเรือนของฮูหยินห้าอีกครั้ง ฮูหยินห้าฉีซื่อถูกย้ายออกมาจากห้องคลอดแล้ว
เจี่ยงหมัวมัวเห็นหน้าเด็กแล้วจึงนั่งรถม้ากลับไปรายงานข่าวให้องค์หญิงใหญ่ที่อยู่ที่วัดของราชวงศ์ทราบ
บัดนี้ ฮูหยินห้าฉีซื่อเอนกายพิงหัวเตียงพลางจิบน้ำแกงกระตุ้นน้ำนมอยู่
หลิวซื่อมองดูเด็กน้อยที่ผล็อยหลับไปแล้วแวบหนึ่ง จากนั้นนั่งลงที่ปลายเตียง มองดูน้ำแกงกระตุ้นน้ำนมในมือของฉีซื่อ “น้องสะใภ้จะให้นมลูกเองจริงๆ หรือ”
แม้เพิ่งคลอดบุตรออกมา ทว่า สภาพร่างกายของฉีซื่อยังดูแข็งแรงอยู่ นางมองไปยังบุตรสาวที่นอนหลับอยู่ด้านข้างยิ้มๆ ใบหน้าเต็มไปด้วยความรัก
นี่คือความเมตตาจากสวรรค์ แม้สามีและบุตรชายของนางจะเสียชีวิตไปแล้ว ทว่า สวรรค์มอบบุตรสาวที่น่าเอ็นดูคนนี้ให้แก่นาง
“เจ้าค่ะ ชีวิตนี้ข้ามีเพียงนางคนเดียวแล้ว! ข้าอยากเลี้ยงดูนางด้วยตัวเองเจ้าค่ะ” ขอบตาของฉีซื่อร้อนผ่าว ก้มหน้าจิบน้ำแกงที่ไม่มีรสชาติใดๆ ทั้งสิ้นสองสามคำ ขมวดคิ้วเล็กน้อย จากนั้นทนดื่มต่ออีกหน่อย
เมื่อได้ยินบ่าวรับใช้ด้านนอกรายงานว่าคุณหนูใหญ่ คุณหนูรอง คุณหนูสี่ คุณหนูห้า คุณหนูหกและคุณหนูเจ็ดมา ฉีซื่อยื่นชามน้ำแกงให้ตี๋หมัวมัว จากนั้นใช้ผ้าเช็ดหน้าเช็ดมุมปาก
ไป๋ชิงเหยียนทำความเคารพ นั่งลงตรงขอบเตียงพลางมองไปยังน้องสาวคนที่แปดที่หลับอยู่ข้างกายของท่านอาสะใภ้ห้า หญิงสาวยิ้มน้อยๆ พลางสั่งให้ชุนเถาวางจี้ล้ำค่าที่ทำมาจากทองคำแท้ไว้ข้างกายของน้องหญิงแปด ใบหน้าเต็มไปด้วยความรักและเอ็นดู กล่าวเสียงแผ่วเบา “เสี่ยวปา…พี่คือพี่หญิงใหญ่ ขอบคุณที่เจ้ามาเกิดในตระกูลไป๋อย่างปลอดภัยนะ”
ไป๋จิ่นซิ่วมอบของขวัญให้ด้วยรอยยิ้มเช่นเดียวกัน หญิงสาวยืนมองเสี่ยวปาอย่างตั้งใจอยู่ข้างเตียง “เสี่ยวปาน่าเอ็นดูจริง!”
“ข้ารู้สึกว่าจมูกน้องเหมือนท่านอาสะใภ้ห้ามากเลย” คุณหนูห้าไป๋จิ่นเจายิ้มพลางมองไปยังน้องสาวฝาแฝดไป๋จิ่นหวา “เจ้าคิดเช่นนั้นหรือไม่”
คุณหนูเจ็ดไป๋จิ่นเซ่อมองดูพลางกล่าวขึ้น “ข้ารู้สึกว่าปากเหมือนท่านอาห้า!”
“เหตุใดข้าถึงรู้สึกว่าเหมือนลิงมากกว่า!” ไป๋จิ่นจื้อพิจารณาอยู่ครู่หนึ่งจากนั้นสรุปออกมา
ฮูหยินสามก้าวเข้าไปเขกศีรษะของบุตรสาว ถลึงตาใส่นาง “เด็กเพิ่งคลอดก็เป็นเช่นนี้ทั้งนั้น เสี่ยวปาน่าเอ็นดูกว่าตอนเจ้าคลอดมากนัก ตอนเจ้าคลอดออกมาใบหน้ายับยู่ยี่ไปหมด แถมดำอีกต่างหาก แบบนั้นถึงจะเหมือนลิง!”
“ท่านแม่กล่าวเหลวไหล!” ไป๋จิ่นจื้อหน้าแดงก่ำ
ฮูหยินสามหลี่ซื่อเห็นท่าทางโมโหของไป๋จิ่นจื้อจึงใช้ผ้าเช็ดหน้าปิดปากหัวเราะออกมา
ไป๋ชิงเหยียนเงยหน้าขึ้น แววตาเต็มไปด้วยรอยยิ้มอันอบอุ่น
ฮูหยินห้าเงยหน้ามองไปทางไป๋ชิงเหยียนที่ใบหน้ามีรอยยิ้มอย่างอ่อนโยน กล่าวเสียงเบา “อาอยากตั้งชื่อเด็กคนนี้ว่าไป๋หว่านชิง…หวังว่าเสี่ยวปาจะแข็งแกร่งเด็ดเดี่ยวเหมือนดั่งพี่หญิงใหญ่ของนางและโดดเด่นเหมือนดั่งบรรดาพี่ชายของนาง!”
ไป๋ชิงเหยียนตะลึง บรรดาน้องชายโดดเด่นมากจริงๆ ทว่า นางไม่คิดเลยว่าในสายตาของท่านอาสะใภ้ห้า นางจะเป็นคนแข็งแกร่ง…
ต่งซื่อเอื้อมมือลูบไปที่ศีรษะของไป๋ชิงเหยียน “ท่านอาสะใภ้ห้าของเจ้าบอกเรื่องนี้กับพวกเราก่อนที่เจ้ากับเสี่ยวซื่อจะกลับมาแล้ว”
ไป๋ชิงเหยียนพยักหน้า ก้มหน้ามองไป๋หว่านชิงที่กำลังทำปากขมุบขมิบ “หากท่านอาสะใภ้ห้าคิดว่าดีก็ดีเจ้าค่ะ!”
ไป๋จิ่นซิ่วโน้มกายหยอกล้อกับริมฝีปากเล็กของไป๋หว่านชิง “เสี่ยวหว่านชิง พี่คือพี่หญิงรองของเจ้านะ”
“พี่คือพี่หญิงสี่!”
คุณหนูเจ็ดไป๋จิ่นเซ่อที่คลานอยู่ปลายเตียงใช้มือสัมผัสไปยังใบหน้าเล็กที่เพิ่งคลอดออกมาได้ไม่นานอย่างอดไม่ได้ เด็กสาวหัวเราะออกมา “ในที่สุดข้าก็ไม่ได้เด็กที่สุดอีกต่อไปแล้ว!”
หมอกควันที่ปกคลุมตระกูลไป๋อยู่ราวกับจะสลายหายไปเพราะการเกิดของเสี่ยวปา ท่ามกลางแสงแดดอันอบอุ่นที่สาดส่องเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะและสนทนาอย่างมีความสุขของคนตระกูลไป๋
เช้าตรู่วันรุ่งขึ้น ข่าวการคลอดบุตรสาวของฮูหยินห้าฉีซื่อแห่งตระกูลไป๋แพร่สะพัดไปทั่วทั้งเมืองหลวง
ผู้ที่มาเยี่ยมเป็นคนแรกคือคนจากตระกูลฝั่งมารดาของฉีซื่อ ไม่เพียงพี่สะใภ้ทั้งสองคนของฉีซื่อ แม้กระทั่งพี่ชายแท้ๆ ของฉีซื่อก็มาด้วย
ทว่า พี่ชายของฉีซื่อไม่ได้เข้าไปในเรือนของฉีซื่อ เขานั่งอยู่ที่เรือนรับรองด้านหน้าโดยมีพ่อบ้านเหาคอยต้อนรับ
ไม่นาน ฉีเหล่าไท่จวินใช้ผ้าเช็ดหน้าซับน้ำตาพลางกระชับผ้าห่มให้บุตรสาว ให้บุตรสาวพักผ่อนอย่างเต็มที่ จากนั้นพาลูกสะใภ้ทั้งสองเดินตามต่งซื่อออกมาจากห้องของฉีซื่อ
ฉีเหล่าไท่จวินจับมือของต่งซื่อยิ้มๆ กล่าวกับต่งซื่อ “ฮูหยิน ข้ามีเรื่องอยากจะกล่าวกับฮูหยิน ไม่ทราบว่าข้าขอไปนั่งจิบชาที่เรือนฮูหยินสักพักได้หรือไม่”
ต่งซื่อเป็นคนฉลาด จะดูไม่ออกได้อย่างไรว่าฉีเหล่าไท่จวินต้องการจะกล่าวเรื่องที่เกี่ยวข้องกับฉีซื่อ
“เหล่าไท่จวินเป็นผู้ใหญ่ เหตุใดต้องกล่าวเกรงใจเช่นนี้เจ้าคะ เหล่าไท่จวินให้เกียรติไปดื่มชาที่เรือนข้า ข้าต้องดีใจสิเจ้าคะ” น้ำเสียงของต่งซื่ออ่อนโยน แฝงไปด้วยความสนิทสนมที่เด็กควรมีต่อผู้ใหญ่
ต่งซื่อพาฉีเหล่าไท่จวินและลูกสะใภ้ทั้งสองไปที่เรือนของนาง เมื่อฉินหมัวมัวรินชาให้แล้ว ฉีเหล่าไท่จวินกลับไม่ดื่มชา แสดงกิริยาอ้อนวอนและขอร้องต่งซื่ออย่างจริงใจที่สุด
เช่นนี้ ต่งซื่อก็เข้าใจได้ทันทีว่ามารดาของฉีซื่ออยากได้หนังสือหย่าจากนาง
เพราะอย่างไรเสียบุรุษตระกูลไป๋ก็เสียชีวิตลงหมดแล้ว พี่สะใภ้คนโตเป็นดั่งมารดา…นอกจากองค์หญิงใหญ่แล้ว ก็มีต่งซื่อที่มีอำนาจตัดสินใจเรื่องนี้
ภายในห้องมีเพียงฉีเหล่าไท่จวินและต่งซื่อ ฉินหมัวมัวคอยดูแลลูกสะใภ้ทั้งสองของฉีเหล่าไท่จวินที่จิบชาอยู่ด้านนอก
ฉีเหล่าไท่จวินยังไม่ทันกล่าวสิ่งใดน้ำตาก็ไหลออกมาก่อน “ฮูหยิน ข้าไม่อยากปิดบังท่าน ที่ข้าบากหน้ามาหาท่านในวันนี้ก็เพราะอยากได้หนังสือหย่าจากท่าน!”
เป็นดังที่คิดจริงๆ ต่งซื่อยังคงรอยยิ้มบนใบหน้าเช่นเดิม รอให้ฉีเหล่าไท่จวินกล่าวต่อ
“ข้าไม่ได้แล้งน้ำใจ ข้ามีเพียงลูกชายและลูกสาวแท้ๆ อย่างละคนเท่านั้น ลูกสาวเป็นคนเล็ก นางเป็นดังแก้วตาดวงใจของข้า ก่อนหน้านี้นางตั้งท้องสายเลือดของตระกูลไป๋อยู่ ข้าจึงไม่คิดเข้ามาก้าวก่าย ทว่า บัดนี้ลูกของข้าคลอดลูกสาวให้แก่ตระกูลไป๋แล้ว ไม่ทราบว่าตระกูลไป๋จะปล่อยนางไปได้หรือไม่”
ก่อนหน้านี้ต่งเหล่าไท่จวินมารดาของต่งซื่อก็อยากให้ต่งซื่อกลับไปอยู่บ้านเช่นเดียวกัน แม่ทุกคนบนโลกใบนี้ล้วนเป็นห่วงลูกของตัวเอง ในฐานะที่เป็นลูกสาว เป็นแม่ ต่งซื่อเข้าใจความรู้สึกของฉีเหล่าไท่จวินดี
ต่งซื่อถามเสียงเบา “เหล่าไท่จวิน น้องสะใภ้ห้าทราบเรื่องนี้หรือไม่เจ้าคะ”
แม้จะรู้ดีว่านี่ไม่ใช่ความต้องการของน้องสะใภ้ห้า ทว่า ต่งซื่อก็ต้องถามออกไป
ฉีเหล่าไท่จวินส่ายหน้า “เด็กโง่นั้นไม่ยอม แต่ว่านางยังสาวอยู่ จะให้นางใช้ชีวิตเป็นหม้ายเช่นนี้ไปตลอดชีวิตหรืออย่างไรกัน นี่มันเท่ากับฆ่าแม่อย่างข้าให้ตายทั้งเป็นเลยนะ ก่อนข้ามาที่นี่ข้าปรึกษากับบรรดาพี่ชายของนางแล้ว พวกข้าไม่เอาสินเดิมที่แต่งเข้าตระกูลไป๋ หากพวกเจ้ายอมยกหว่านชิงให้ตระกูลฉีเป็นคนดูแล ตระกูลฉีพร้อมคุกเข่าขอบคุณพวกเจ้า!”
“ทว่า หากตระกูลไป๋ไม่ยอมยกหว่านชิงให้ตระกูลฉี เช่นนั้นข้าขอยกสินเดิมทั้งหมดของลูกสาวข้าให้แก่หลานสาวผู้น่าสงสารคนนี้! หากต่อไปภายภาคหน้าหลานสาวของข้าไม่โกรธเคืองตระกูลฉี พวกเราจะไปมาหาสู่กันดังญาติมิตรเช่นเดิม ข้าจะรักนางดั่งแก้วตาดวงใจ ชดเชยสิ่งที่ติดค้างให้นางทั้งหมด! หากนางไม่ยอมรับยายคนนี้ ก็ให้นางถือเสียว่าไม่เคยมียายที่ใจร้ายผู้นี้ก็แล้วกัน!”
ฉีเหล่าไท่จวินกล่าวถึงตรงนี้ก็ยิ่งรู้สึกผิดกับหลานสาวที่เพิ่งเกิดมาลืมตาดูโลกได้ไม่นาน นางร้องไห้สะอึกสะอื้น รู้สึกปวดใจเป็นอย่างมาก