สตรีแกร่งตระกูลไป๋ - ตอนที่ 306 ขุนนางคนสำคัญในราชสำนัก
เช้าตรู่วันต่อมา ไป๋ชิงเหยียนฝึกยกหอกเงินหงอิงอยู่ที่เรือนชิงฮุยเสร็จ ถงหมัวมัวไปที่จัดการเรื่องให้ไป๋ชิงเหยียนก็เดินเข้ามาพอดี นางนำรายชื่อมาให้ไป๋ชิงเหยียนสองฉบับ
“ฉบับนี้คือรายชื่อผู้เข้าสอบที่มีความสามารถแต่สอบไม่ผ่าน และไม่พอใจผลสอบครั้งนี้ซึ่งพักอยู่ตามโรงเตี้ยมต่างๆ เจ้าค่ะ ที่วงกลมไว้คือผู้เข้าสอบที่ไปจากเมืองหลวงแล้ว ส่วนที่ไม่ได้วงคือผู้เข้าสอบที่ยังอยู่ในเมืองหลวงเจ้าค่ะ พวกเขาคงอยากรอดูผลสอบว่าผู้ใดสอบผ่านบ้างเจ้าค่ะ”
ถงหมัวคลี่รายชื่ออีกฉบับหนึ่งออก
“ส่วนนี่คือสถานการณ์การจับจ่ายใช้สอยของแต่ละตระกูลที่หลูผิงเป็นคนไปสืบมาด้วยตัวเองเจ้าค่ะ…”
ไป๋ชิงเหยียนรับผ้าขนหนูจากชุนเถามาเช็ดเหงื่อตามใบหน้าและลำคอ จากนั้นส่งให้ชุนเถาเตรียมน้ำ
ชุนเถายื่นชาที่อุณหภูมิไม่ร้อนไม่เย็นส่งให้ไป๋ชิงเหยียน จากนั้นหมุนตัวไปเตรียมน้ำที่โรงครัว
“ว่าไปแล้วก็บังเอิญเหมือนกันเจ้าค่ะ เช้าวันนี้หลูผิงไปยังร้านขายข้าวสารที่ใหญ่ที่สุดในเมืองหลวง ยังไม่ทันจะเอ่ยปากสืบอันใด คนงานในร้านก็จำหลูผิงได้ นึกว่าคุณหนูรองใช้ให้หลูผิงมาซื้อข้าวสารให้ท่านเขยรอง คนงานคนนั้นยิ้มพลางกล่าวว่าหลูผิงเป็นคนรอบคอบดี จวนหลู่เซียง จวนราชครู จวนอู่ของรองเสนาบดีกรมโยธา และจวนจางของท่านแม่ทัพใหญ่ฝู่ล้วนส่งคนมาซื้อข้าวสาร กระดาษแดงและพลุจำนวนมากเพื่อเตรียมบริจาคทานตั้งแต่การสอบสิ้นสุดลงแล้วเจ้าค่ะ“
“ทว่า จวนของคุณหนูรองไม่มีความเคลื่อนไหวใดๆ ทั้งสิ้น พอออกมาซื้อข้าวสารสำหรับบริจาคทานกลับซื้อไม่ถึงครึ่งของจำนวนที่จวนหลู่เซียงและจวนราชครูซื้อเลย! เขาถามหลูผิงยิ้มๆ ว่าฮูหยินสองทราบเรื่องนี้จึงให้หลูผิงมาซื้อไปตุนเพิ่มใช่หรือไม่เจ้าค่ะ”
ผู้ที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ล้วนเป็นขุนนางคนสำคัญในราชสำนักทั้งสิ้น…
จวนของจางตวนรุ่ยก็สั่งคนซื้อของไว้ล่วงหน้าเหมือนกันหรือ
ไป๋ชิงเหยียนยื่นชาในมือให้ถงหมัวมัว รับรายชื่อมาดู บุตรชายคนโตของจางตวนรุ่ยอายุเพียงสิบเอ็ดขวบเท่านั้น เขาเข้าร่วมการสอบหน้าพระที่นั่งเหมือนกันหรือ จางตวนรุ่ยไม่เห็นเอ่ยถึงเรื่องนี้เลย…
ถงหมัวมัวเห็นสายตาของไป๋ชิงเหยียนหยุดอยู่ที่รายชื่อของจวนจางจึงรีบกล่าวขึ้น “พี่ชายของแม่ทัพใหญ่ฝู่เสียชีวิตนานแล้ว ครั้งนี้พี่สะใภ้ของท่านแม่ทัพใหญ่ฝู่พาบุตรชายคนโตมาสอบและพักอยู่ที่จวนจางเจ้าค่ะ หลานชายของท่านแม่ทัพใหญ่ก็เข้าร่วมการสอบในครั้งนี้ด้วยเจ้าค่ะ รายชื่อด้านล่างล้วนเป็นรายชื่อของผู้เข้าสอบที่เดินทางมาซื้อจวนที่เมืองหลวงหรือพักตามจวนขุนนางของญาติสนิทตัวเองเจ้าค่ะ”
คำนวณดูแล้ว ตอนนี้ผู้คุมสอบคงยังไม่ได้ปรึกษาการจัดลำดับรายชื่อกับฮ่องเต้
ไป๋ชิงเหยียนยื่นรายชื่อของจวนที่จัดหาซื้อของฉลองล่วงหน้าให้ถงหมัวมัว “ให้คนลอบปล่อยรายชื่อเหล่านี้ออกไปเงียบๆ กล่าวว่าจวนขุนนางสูงศักดิ์เหล่านี้ติดสินบนผู้คุมสอบ ดังนั้นพวกเขาจึงมั่นใจว่าคนเหล่านี้ต้องมีชื่อติดหนึ่งในสิบอันดับแรกแน่นอน!”
“จากนั้นให้คนปลอมกายเป็นพ่อค้าหรือบัณฑิตแพร่งกระจายข่าวนี้ออกไปให้ทั่วทั้งเมืองหลวง!” ไป๋ชิงเหยียนชี้ไปที่รายชื่อ “ต้องกระจายไปให้ถึงหูของผู้เข้าสอบที่สอบไม่ผ่านให้ได้ ทำอย่างรวดเร็วที่สุด ให้หลูผิงส่งคนไปยุให้พวกเขาไปตีกลองเติงเหวินก่อนที่รายชื่อจะประกาศออกมาเพื่อทวงคืนความยุติธรรมจากฮ่องเต้!”
ไป๋ชิงเหยียนคิดพลางกล่าวขึ้น “เมื่อเสียงกลองดังขึ้น ฮ่องเต้ต้องตรวจสอบเรื่องการทุจริตในการสอบครั้งนี้อย่างแน่นอน หากก่อนที่จะประกาศผลคะแนนแล้วคนเหล่านั้นมีรายชื่อติดสิบดับแรกขึ้นมาจริง ฮ่องเต้ต้องทรงให้ความสำคัญกับเรื่องนี้และตรวจสอบอย่างละเอียดแน่นอน! ต้องดูแล้วว่าผู้เข้าสอบเหล่านี้จะยอมทวงความยุติธรรมให้ตัวเองอย่างเต็มที่ให้สมกับที่อ่านตำราอย่างยากลำบากมาหลายสิบปีหรือจะยอมจำนนให้แก่อำนาจเงินและบารมีกันแน่”
“เจ้าค่ะ!” ถงหมัวมัวรับคำพลางเดินออกไปสั่งการหลูผิง
ถงหมัวมัวไม่ได้ถามแม้แต่คำเดียวว่าคุณหนูใหญ่ต้องการจะทำสิ่งใด
แม้ก่อนหน้านี้ถงหมัวมัวจะเอาแต่กล่าวโน้มน้าวให้คุณหนูใหญ่ทำตัวเป็นกุลสตรีที่เพียบพร้อม ทว่า บัดนี้ตระกูลไป๋เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่ ถงหมัวมัวทราบดีว่าตระกูลไป๋ต้องพึ่งพาคุณหนูใหญ่ เพราะคุณหนูใหญ่คือพี่สาวคนโต…คือหลานสาวคนโต คุณหนูใหญ่จำต้องแบกรับภาระนี้เอาไว้
หลังจากงานเลี้ยงเฉลิมฉลองวันคล้ายวันประสูติของฮ่องเต้จบลง คนในเมืองหลวงต่างหันมาให้ความสนใจกับเรื่องการสอบหน้าพระที่นั่งในครั้งนี้แทน ต่างคาดเดาว่าตำแหน่งจ้วงหยวนจะตกเป็นของจวนราชครู จวนหลู่เซียงหรือผู้เข้าสอบยากจนตระกูลใดจะคว้าตำแหน่งนี้ไปครอบครองกันแน่
บ่อนพนันเริ่มมีการพนันเรื่องนี้กันแล้ว
ไม่รู้ว่าผู้ใดแพร่งพรายรายชื่อเจ็ดในสิบอันดับแรกของการสอบครั้งนี้ออกมา หลู่หยวนชิ่ง หลู่หยวนเป่า เฉินเจาลู่ อู่อันปัง จางรั่วไหว หลินเฉาตงและวังเฉิงอวี้ล้วนเป็นลูกหลานของขุนนางตระกูลสูงศักดิ์ จวนของคนทั้งเจ็ดล้วนติดสินบนกับเหวินเจิ้นคังแห่งสำนักฮั่นหลินไว้แล้ว
บางคนกล่าวว่าจางรั่วไหวสอบวัดระดับขุนนางอยู่หลายครั้งถึงจะผ่าน เหตุใดจึงได้ลำดับดีในการสอบหน้าพระที่นั่งในครั้งนี้กัน
สหายจากบ้านเกิดเดียวกันของวังเฉิงอวี้กล่าวว่าบุตรชายของผู้ตรวจการเมืองอิ๋งโจวผู้นี้เป็นคนหยาบคาย ไม่มีสมอง เขากลายเป็นตัวตลกทุกครั้งที่มีการชุมนุมของเหล่าบัณฑิตผู้มากความสามารถ หากคนเช่นนี้ติดหนึ่งในสิบ คงกลายเป็นเรื่องตลกของใต้หล้าอย่างแน่นอน
นอกจากหลานชายสองคนของหลู่เซียงและหลานชายของราชครูเฉินที่ไม่มีผู้ใดข้องใจในความสามารถ คนที่เหลืออีกสี่คนถูกเปิดโปงจนไม่เหลือชิ้นดี
ภายในโรงเตี้ยมหรูหราแห่งหนึ่ง เซวียเหรินอี้ซึ่งมีชื่อเสียงมากในหมู่ผู้เข้าสอบด้วยไม่พอใจและไม่ยอมรับที่ตัวเองสอบไม่ติด เขาดื่มเหล้าอย่างเอาเป็นเอาตาย ยืนกรานจะอยู่เมืองหลวงจนกว่าผลประกาศจะออกมา
เขาคิดว่าต่อให้ตัวเองจะไม่ได้ที่หนึ่ง ทว่า ต้องติดหนึ่งในสิบอันดับแรกแน่นอน ไม่มีทางสอบไม่ติด! เมื่อได้ยินว่ามีการแพร่งพรายรายชื่อสิบอันดับแรกออกมา เขาจึงบ่นว่าการสอบครั้งนี้ไม่โปร่งใสจริงๆ ด้วย “วังเฉิงอวี้เป็นคนเช่นไร นั่นมันขยะไร้ความสามารถ ข้าสอบไม่ติด แต่เขาติดอย่างนั้นหรือ ผู้ใดเชื่อเรื่องนี้กัน!”
สหายของเซวียเหรินอี้ปลอบใจชายหนุ่ม
ชายฉกรรจ์ที่นั่งดื่มเหล้าอยู่ข้างๆ กล่าวขึ้น “พวกเจ้าบ่นอยู่ที่นี่จะมีประโยชน์อันใดกัน หากกล้าก็ควรไปตีกลองร้องทุกข์ของความยุติธรรมดังเช่นที่เจิ้นกั๋วจวิ้นจู่เคยทำสิ ตอนที่เจิ้นกั๋วจวิ้นจู่ตีกลอง ฮ่องเต้ทรงลดฐานะของซิ่นอ่องจนกลายเป็นสามัญชนธรรมดา และเนรเทศไปอยู่หย่งโจวเชียวนะ!”
สหายที่กำลังปลอบใจเซวียเหรินอี้อยู่หันไปมอง เขารู้สึกหงุดหงิดที่ชายคนนั้นเติมน้ำมันลงในไฟ “เจิ้นกั๋วจวิ้นจู่มีหลักฐานเป็นม้วนไม้ไผ่บันทึกสถานการณ์รบ พวกเราไม่มีหลักฐานใดๆ ทั้งสิ้น…”
“เหตุใดจะไม่มีหลักฐานเล่า รายชื่อเหล่านี้ไงหลักฐาน หากพวกเจ้ากล้าใช้ชีวิตทวงคืนความยุติธรรมให้ตัวเองก็ไปตีกลองสิ! หากมีคนกล้าเสียสละชีวิตของตัวเองเพื่อตีกลองร้องทุกข์ ฮ่องเต้ต้องทรงพิจารณาเรื่องนี้อย่างแน่นอน หากเจ็ดคนนี้อยู่ในรายชื่อสิบอันดับแรกทั้งๆ ที่ยังไม่ได้มีการประกาศผลสอบจริงๆ ฮ่องเต้ต้องร้อนพระทัยอย่างแน่นอน บัณฑิตอย่างพวกเจ้าคิดไม่ได้หรืออย่างไรกัน”
ชายฉกรรจ์ผู้นั้นหรี่ตายิ้มพลางยกเหล้าขึ้นจิบ ดูเหมือนจะเมามายมากแล้ว “ขอแค่พวกเจ้าไปตีกลองก่อนที่ผลประกาศจะออกมา กระทั่งก่อนที่ผู้คุมสอบและรองผู้คุมสอบจะออกมาจากวังหลวง รายชื่อที่ถูกแพร่งพรายออกมาเหล่านี้ถึงจะมีประโยชน์สูงสุด!”
บรรดาบัณฑิตที่สอบไม่ติดต่างมองหน้ากันไปมา รู้สึกว่าชายที่เมามายผู้นี้กล่าวมีเหตุผล
“ดูสิ…พวกเจ้ากลัวล่วงเกินขุนนางชั้นสูงจึงไม่กล้าใช่หรือไม่” ชายผู้นั้นวางตะเกียบในมือลง ใช้มือลูบปากเล็กน้อย
“ข้าก็มาจากครอบครัวยากจนเช่นเดียวกัน ข้าเกลียดพวกขุนนางที่ชอบใช้อำนาจรังแกผู้อื่นที่สุด!”