สตรีแกร่งตระกูลไป๋ - ตอนที่ 325 ลงโทษตามกฎหมาย
เมื่อนายอำเภอโจวได้ยินว่าไป๋ชิงเหยียนจะฟ้องร้องเขากับองค์รัชทายาท เขารีบชูหลักฐานทั้งหมดขึ้นเหนือศีรษะ
“จวิ้นจู่ตำหนิได้ถูกต้องขอรับ ไม่ใช่ว่าข้าไม่อยากทวงความยุติธรรมให้ชาวบ้าน แต่ทุกครั้งตระกูลไป๋ล้วนเตรียมพร้อมรับมือเสมอ ข้าจึงต้องตัดสินตามหลักฐานที่มีขอรับ”
“หลายปีมานี้ ข้ากินไม่อิ่มนอนไม่หลับจนในที่สุดฟ้าก็เห็นใจทำให้ข้าพบเจอหลักฐานที่ตระกูลไป๋ซื้อตัวพยานและหลักฐานการจ้างวานฆ่าคนมาได้ขอรับ จวิ้นจู่ได้โปรดตรวจสอบด้วยเถิดขอรับ!”
นายอำเภอโจวเป็นคนที่…เปลี่ยนแปลงตามอำนาจทิศทางลมได้รวดเร็วจริงๆ เขากันตัวเองออกจากเรื่องนี้ได้อย่างหมดจด
“ท่านลุงโจว ท่านเป็นสหายของท่านพ่อข้านะขอรับ” ไป๋ชิงเจี๋ยเบิกตาโพลง
นายอำเภอโจวหันไปแสยะยิ้มเย็น “ข้าเป็นคนของชาวบ้าน ผู้ใดจะเป็นสหายกับคนอวดอ้างบารมีอย่างพ่อของเจ้ากัน หลายปีมานี้ที่ข้ายอมอดกลั้นก็เพราะต้องการสืบหาหลักฐานมามัดตัวตระกูลไป๋ คืนความบริสุทธิ์ให้ชาวบ้านก็เท่านั้น!”
“เจ้า!” ไป๋ชิงเจี๋ยเดือดดาลถึงขีดสุด
ไป๋ชิงเหยียนกวาดสายตาเย็นชามองไปยังร่างของไป๋ชิงเจี๋ยแวบหนึ่ง จากนั้นกล่าวกับนายอำเภอโจวเสียงเย็น “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ นายอำเภอโจวคงจะจัดการเรื่องนี้อย่างยุติธรรม ผู้ใดจ้างวานฆ่าคน ผู้ใดบีบบังคับผู้อื่นซื้อขายกิจการ ผู้ใดฉุดคร่าหญิงสาว ผู้ใดเห็นชีวิตคนเป็นผักปลา ท่านจงสืบเรื่องเหล่านี้อย่างละเอียด ห้ามเอาความรู้สึกส่วนตัวเข้ามาเกี่ยวข้องเด็ดขาด!”
“วันนี้ไป๋ชิงเหยียนขอกล่าวไว้ตรงนี้เลยว่า หากสืบแล้วเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับตระกูลไป๋แห่งซั่วหยาง ผู้ใดเคยอวดอ้างบารมีของเจิ้นกั๋วอ๋อง เจิ้นกั๋วจวิ้นจู่รังแกชาวบ้าน หากตรวจสอบแล้วเป็นความจริง ข้าจะให้ประมุขไป๋ขับไล่คนเหล่านั้นออกจากตระกูลและให้พวกเขาชดใช้ให้กับชาวบ้านที่ถูกรังแก” ไป๋ชิงเหยียนชี้นิ้วไปยังกลุ่มของไป๋ชิงเจี๋ย “หากประมุขไป๋ไม่ยอมไล่ทายาทที่ไม่คู่ควรอยู่ในตระกูลไป๋ออกจากตระกูล ตระกูลไป๋แห่งเมืองหลวงของข้า…จะขอออกจากตระกูลไป๋เอง นับจากนี้พวกเราไม่มีอันใดเกี่ยวข้องกับตระกูลไป๋ที่ซั่วหยางอีก!”
นายอำเภอโจวเหงื่อผุดซึมที่หน้าผาก เขาเข้าใจแล้ว เจิ้นกั๋วจวิ้นจู่ต้องการตัดขาดความสัมพันธ์กับตระกูลไป๋แห่งซั่วหยาง ลำคอของนายอำเภอโจวร้อนผ่าว รู้สึกโชคดีที่ตัวเองไหวตัวทัน รีบหาข้ออ้างกันตัวเองออกมาจากเรื่องนี้เสียก่อน
ไป๋ชิงเจี๋ยคิดว่าตัวเองฟังผิดไป ไป๋ฉีอวิ๋นผู้เป็นบิดาของเขากล่าวว่าภายภาคหน้าไป๋ชิงเหยียนต้องพึ่งพาอาศัยตระกูลบรรพบุรุษดูแลยามแก่เฒ่า หญิงสาวไม่กล้าตัดขาดกับตระกูลบรรพบุรุษอย่างแน่นอน!
ในสายตาของไป๋ชิงเหยียน ตระกูลบรรพบุรุษใช้ชีวิตสุขสบายจนเคยตัวมาหลายปีเกินไปแล้ว มีชีวิตราบรื่นจนทำสิ่งใดไม่ผ่านสมอง โลภมาก เห็นแก่ตัว อีกทั้งไม่รู้ว่าพวกเขาไปเอาความมั่นใจมาจากที่ใดว่าสตรีตระกูลไป๋แห่งเมืองหลวงต้องพึ่งพาอาศัยพวกเขา ยืมจมูกพวกเขาหายใจเพื่อจะได้มีชีวิตอยู่ต่อไป
พวกเขาโง่เสียจนนางไม่ต้องเปลืองสมองวางแผนสิ่งใดทั้งสิ้น การให้ผู้ดูแลหลิวเรียกลูกหลานจากตระกูลรองต่างๆ มารวมตัวกันที่นี่ยังดูเหมือนจะเป็นการขี่ช้างจับตั๊กแตนเลย
บัดนี้เมื่อนึกย้อนดูแล้ว ตอนนั้นท่านปู่คงให้อำนาจกับประมุขตระกูลไป๋มากเกินไป พวกเขาจึงคิดว่าตัวเองเก่งกาจเหนือผู้อื่นเช่นนี้
ทว่า ไป๋ชิงเหยียนไม่ใช่ท่านปู่
ตระกูลบรรพบุรุษเช่นนี้ ไป๋ชิงเหยียนไม่อยากเสียเวลาชักจูงพวกเขาให้เดินในทางที่ถูกและไม่มีเวลาทำเช่นนั้นด้วย
ไป๋ชิงเหยียนต้องตัดตัวถ่วงอย่างตระกูลบรรพบุรุษไป๋ออกไปอย่างเด็ดขาด พวกเขาจะได้ไม่มีทางทำให้ตระกูลไป๋ต้องแปดเปื้อนได้อีก
นางก็อยากรู้เหมือนว่าผู้ใดกันแน่ที่จะอยู่ในเมืองซั่วหยางไม่ได้
ไป๋ชิงเหยียนกำหมัดคารวะชาวบ้านที่รายล้อมอยู่พลางกล่าวขึ้น “ทุกท่านได้โปรดบอกเพื่อนบ้านหรือญาติมิตรของพวกท่านต่อด้วย ผู้ใดที่เคยถูกตระกูลไป๋รังแกสามารถมาฟ้องร้องกับนายอำเภอโจวได้”
กล่าวจบ ไป๋ชิงเหยียนหันไปมองนายอำเภอโจว “นายอำเภอโจว ข้ามีแค่เงื่อนไขเดียว ติดเงินต้องคืนเงิน ฆ่าคนต้องชดใช้ด้วยชีวิต! ลงโทษตามกฎหมาย ห้ามลดหย่อนเด็ดขาด!”
“ขอรับ!” นายอำเภอโจวรีบหันไปสั่ง “มัวตะลึงอันใดอยู่! ยังไม่รีบไปจับกุมตัวพวกคนที่ลักพาตัวเด็กและแย่งชิงกิจการของผู้อื่นมาให้ข้าอีก!”
ท่ามกลางเสียงก่นด่าของไป๋ชิงเจี๋ย ไม่ว่าจะเป็นบรรดาบ่าวรับใช้หรือเจ้านายของตระกูลไป๋ล้วนถูกจับกุมตัวทั้งหมด
“ไป๋ชิงเหยียน ต่อไปเจ้าต้องพึ่งพาตระกูลบรรพบุรุษดูแลยามแก่เฒ่า เจ้ากล้าทำเช่นนี้กับข้าหรือ! ท่านปู่ของข้าคือประมุขของตระกูล ท่านจะขับไล่ข้าออกจากตระกูลเพราะเจ้าหรืออย่างไรกัน! เจ้าคอยดูเถิด…ต่อไปเจ้าได้เห็นดีกับข้าแน่!”
“ไม่ต้องรอวันหน้าหรอก! วันนี้ข้าก็จะทำให้เจ้าได้เห็นดีแล้ว”
ไป๋จิ่นจื้อตวัดแส้ออกไป ทันทีที่เสียงแส้ดังขึ้น ฟันของไป๋ชิงเจี๋ยหลุดกระเด็นออกไปหนึ่งซีก
“นายอำเภอโจวเป็นพวกเดียวกันกับตระกูลไป๋ขอรับ!” ชาวบ้านคนหนึ่งตะโกนบอกไป๋ชิงเหยียน
“นั่นสิขอรับ! จวิ้นจู่ให้เขามาตัดสิน…เขาต้องเข้าข้างตระกูลไป๋แน่ขอรับ!” ชายฉกรรจ์คนหนึ่งกล่าวจบจึงนึกขึ้นได้ว่าไป๋ชิงเหยียนก็คือคนของตระกูลไป๋เช่นเดียวกัน ชายหนุ่มหดคออย่างหวาดกลัว
ไป๋ชิงเหยียนพยักหน้าแล้วหันไปมองนายอำเภอโจว “ข้าสืบเรื่องจากครอบครัวหลายครอบครัวแล้ว ข้าให้คนจดบันทึกเรื่องชั่วร้ายที่ตระกูลไป๋กระทำตลอดหลายปีที่ผ่านมาเอาไว้แล้ว วันที่หนึ่งเดือนห้าตระกูลไป๋จากเมืองหลวงจะย้ายกลับมาอยู่ซั่วหยาง สิ่งแรกที่ข้าจะทำคือมาสอบถามความคืบหน้าในการสืบสวนของท่าน นายอำเภอโจวอย่าทำให้ชาวบ้านและข้าต้องผิดหวังเชียว หากองค์รัชทายาททรงตรัสถามถึงเรื่องนี้ ท่านสืบสวนเรื่องนี้น้อยเพียงใด โทษของท่านก็จะมากเท่านั้น ท่านเข้าใจใช่หรือไม่”
“เข้าใจขอรับ! ข้าเข้าใจดีขอรับ!” นายอำเภอโจวเสียวสันหลังวาบ
“ข้าจะได้กิจการร้านเครื่องประทินโฉมที่ตระกูลไป๋แย่งชิงไปกลับคืนมาหรือไม่เจ้าคะ” สตรีนางหนึ่งถามขึ้นอย่างไม่พอใจ “ตอนนี้ราคาของร้านสูงขึ้นกว่าเดิมถึงสามเท่าตัวแล้วด้วย!”
“ทุกท่านได้โปรดวางใจ ขอเพียงตระกูลไป๋แย่งชิงของของพวกท่านไปอย่างไม่ชอบธรรม หากตรวจสอบแล้วเป็นเรื่องจริง ไป๋ชิงเหยียนจะให้ตระกูลไป๋ชดเชยให้พวกท่านอย่างแน่นอน! หากพวกเขาไม่ยอมคืน ต่อให้ต้องล้มละลาย ไป๋ชิงเหยียนก็จะคืนให้พวกท่านทั้งหมด เพราะที่พวกท่านต้องมาลำบากกันเช่นนี้ก็เพราะตระกูลไป๋แห่งเมืองหลวงไม่ได้ตรวจสอบเรื่องนี้อย่างละเอียด ทำให้ตระกูลไป๋ที่ซั่วหยางอาศัยบารมีของเราทำเรื่องชั่วช้ามากมายถึงเพียงนี้ ไป๋ชิงเหยียนต้องขอโทษทุกท่านอีกครั้ง!”
ไป๋ชิงเหยียนกล่าวพลางโค้งกายขอขมาด้วยท่าทีอ่อนน้อมอย่างที่สุด
สำหรับตระกูลไป๋แล้ว ชื่อเสียงในเมืองซั่วหยางคือสิ่งสำคัญมาก ภายภาคหน้าไป๋ชิงเหยียนต้องการฝึกกองกำลังเพื่อปราบโจรในเมืองซั่วหยาง หญิงสาวต้องการแรงสนับสนุนและความร่วมมือจากชาวบ้าน
ดังนั้นไป๋ชิงเหยียนจึงต้องเดินทางกลับมาซั่วหยางในครั้งนี้เพื่อจัดการกับเหล่าทายาทตระกูลบรรพบุรุษไป๋ที่เหิมเกริม ไม่รู้จักที่ต่ำที่สูงเหล่านี้
ชาวบ้านเงยหน้ามองไปยังสตรีท่าทางสุขุม รัศมีไม่ธรรมดาซึ่งยืนอยู่บนบันไดสูง พวกเขาสัมผัสได้ถึงอำนาจทรงพลังบางอย่างจากร่างของหญิงสาว
ไป๋ชิงเหยียนก้าวขึ้นไปนั่งบนหลังม้า มือหนึ่งถือแส้ม้าสีดำ มือหนึ่งกุมบังเหียนม้า ก่อนจากไป หญิงสาวก้มมองไปยังนายอำเภอโจวอีกครั้ง “นายอำเภอโจว ในเมื่อท่านเป็นคนของชาวบ้าน ท่านก็ควรรักพวกเขาประหนึ่งบุตรของตัวเอง ทำเพื่อพวกเขาเป็นอันดับแรก การนั่งอยู่ในตำแหน่งเฉยๆ โดยที่ไม่ทำสิ่งใด…ไม่อาจรักษาตำแหน่งเอาไว้ได้ ท่านเข้าใจใช่หรือไม่”
“ขอรับ ข้าเข้าใจขอรับ! เข้าใจขอรับ!”
ชาวบ้านมองส่งกลุ่มของไป๋ชิงเหยียนขี่ม้าจากไป ทุกคนนิ่งเงียบครู่ใหญ่ ไม่รู้ว่าผู้ใดกล่าวออกมาประโยคหนึ่ง…
“นั่นคือเจิ้นกั๋วจวิ้นจู่หรือ ไม่เหมือน…กับที่คิดไว้เลย!”
“เมื่อครู่เจิ้นกั๋วจวิ้นจู่กล่าวว่านางเพิ่งมาถึงเมื่อคืนวาน เช้าวันนี้ออกสำรวจรอบเมือง นางกลับมาเพราะเรื่องตระกูลไป๋รังแกชาวบ้านอย่างพวกเราอย่างนั้นหรือ” เมื่อนายอำเภอโจวได้ยินว่าไป๋ชิงเหยียนจะฟ้องร้องเขากับองค์รัชทายาท เขารีบชูหลักฐานทั้งหมดขึ้นเหนือศีรษะ
“จวิ้นจู่ตำหนิได้ถูกต้องขอรับ ไม่ใช่ว่าข้าไม่อยากทวงความยุติธรรมให้ชาวบ้าน แต่ทุกครั้งตระกูลไป๋ล้วนเตรียมพร้อมรับมือเสมอ ข้าจึงต้องตัดสินตามหลักฐานที่มีขอรับ”
“หลายปีมานี้ ข้ากินไม่อิ่มนอนไม่หลับจนในที่สุดฟ้าก็เห็นใจทำให้ข้าพบเจอหลักฐานที่ตระกูลไป๋ซื้อตัวพยานและหลักฐานการจ้างวานฆ่าคนมาได้ขอรับ จวิ้นจู่ได้โปรดตรวจสอบด้วยเถิดขอรับ!”
นายอำเภอโจวเป็นคนที่…เปลี่ยนแปลงตามอำนาจทิศทางลมได้รวดเร็วจริงๆ เขากันตัวเองออกจากเรื่องนี้ได้อย่างหมดจด
“ท่านลุงโจว ท่านเป็นสหายของท่านพ่อข้านะขอรับ” ไป๋ชิงเจี๋ยเบิกตาโพลง
นายอำเภอโจวหันไปแสยะยิ้มเย็น “ข้าเป็นคนของชาวบ้าน ผู้ใดจะเป็นสหายกับคนอวดอ้างบารมีอย่างพ่อของเจ้ากัน หลายปีมานี้ที่ข้ายอมอดกลั้นก็เพราะต้องการสืบหาหลักฐานมามัดตัวตระกูลไป๋ คืนความบริสุทธิ์ให้ชาวบ้านก็เท่านั้น!”
“เจ้า!” ไป๋ชิงเจี๋ยเดือดดาลถึงขีดสุด
ไป๋ชิงเหยียนกวาดสายตาเย็นชามองไปยังร่างของไป๋ชิงเจี๋ยแวบหนึ่ง จากนั้นกล่าวกับนายอำเภอโจวเสียงเย็น “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ นายอำเภอโจวคงจะจัดการเรื่องนี้อย่างยุติธรรม ผู้ใดจ้างวานฆ่าคน ผู้ใดบีบบังคับผู้อื่นซื้อขายกิจการ ผู้ใดฉุดคร่าหญิงสาว ผู้ใดเห็นชีวิตคนเป็นผักปลา ท่านจงสืบเรื่องเหล่านี้อย่างละเอียด ห้ามเอาความรู้สึกส่วนตัวเข้ามาเกี่ยวข้องเด็ดขาด!”
“วันนี้ไป๋ชิงเหยียนขอกล่าวไว้ตรงนี้เลยว่า หากสืบแล้วเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับตระกูลไป๋แห่งซั่วหยาง ผู้ใดเคยอวดอ้างบารมีของเจิ้นกั๋วอ๋อง เจิ้นกั๋วจวิ้นจู่รังแกชาวบ้าน หากตรวจสอบแล้วเป็นความจริง ข้าจะให้ประมุขไป๋ขับไล่คนเหล่านั้นออกจากตระกูลและให้พวกเขาชดใช้ให้กับชาวบ้านที่ถูกรังแก” ไป๋ชิงเหยียนชี้นิ้วไปยังกลุ่มของไป๋ชิงเจี๋ย “หากประมุขไป๋ไม่ยอมไล่ทายาทที่ไม่คู่ควรอยู่ในตระกูลไป๋ออกจากตระกูล ตระกูลไป๋แห่งเมืองหลวงของข้า…จะขอออกจากตระกูลไป๋เอง นับจากนี้พวกเราไม่มีอันใดเกี่ยวข้องกับตระกูลไป๋ที่ซั่วหยางอีก!”
นายอำเภอโจวเหงื่อผุดซึมที่หน้าผาก เขาเข้าใจแล้ว เจิ้นกั๋วจวิ้นจู่ต้องการตัดขาดความสัมพันธ์กับตระกูลไป๋แห่งซั่วหยาง ลำคอของนายอำเภอโจวร้อนผ่าว รู้สึกโชคดีที่ตัวเองไหวตัวทัน รีบหาข้ออ้างกันตัวเองออกมาจากเรื่องนี้เสียก่อน
ไป๋ชิงเจี๋ยคิดว่าตัวเองฟังผิดไป ไป๋ฉีอวิ๋นผู้เป็นบิดาของเขากล่าวว่าภายภาคหน้าไป๋ชิงเหยียนต้องพึ่งพาอาศัยตระกูลบรรพบุรุษดูแลยามแก่เฒ่า หญิงสาวไม่กล้าตัดขาดกับตระกูลบรรพบุรุษอย่างแน่นอน!
ในสายตาของไป๋ชิงเหยียน ตระกูลบรรพบุรุษใช้ชีวิตสุขสบายจนเคยตัวมาหลายปีเกินไปแล้ว มีชีวิตราบรื่นจนทำสิ่งใดไม่ผ่านสมอง โลภมาก เห็นแก่ตัว อีกทั้งไม่รู้ว่าพวกเขาไปเอาความมั่นใจมาจากที่ใดว่าสตรีตระกูลไป๋แห่งเมืองหลวงต้องพึ่งพาอาศัยพวกเขา ยืมจมูกพวกเขาหายใจเพื่อจะได้มีชีวิตอยู่ต่อไป
พวกเขาโง่เสียจนนางไม่ต้องเปลืองสมองวางแผนสิ่งใดทั้งสิ้น การให้ผู้ดูแลหลิวเรียกลูกหลานจากตระกูลรองต่างๆ มารวมตัวกันที่นี่ยังดูเหมือนจะเป็นการขี่ช้างจับตั๊กแตนเลย
บัดนี้เมื่อนึกย้อนดูแล้ว ตอนนั้นท่านปู่คงให้อำนาจกับประมุขตระกูลไป๋มากเกินไป พวกเขาจึงคิดว่าตัวเองเก่งกาจเหนือผู้อื่นเช่นนี้
ทว่า ไป๋ชิงเหยียนไม่ใช่ท่านปู่
ตระกูลบรรพบุรุษเช่นนี้ ไป๋ชิงเหยียนไม่อยากเสียเวลาชักจูงพวกเขาให้เดินในทางที่ถูกและไม่มีเวลาทำเช่นนั้นด้วย
ไป๋ชิงเหยียนต้องตัดตัวถ่วงอย่างตระกูลบรรพบุรุษไป๋ออกไปอย่างเด็ดขาด พวกเขาจะได้ไม่มีทางทำให้ตระกูลไป๋ต้องแปดเปื้อนได้อีก
นางก็อยากรู้เหมือนว่าผู้ใดกันแน่ที่จะอยู่ในเมืองซั่วหยางไม่ได้
ไป๋ชิงเหยียนกำหมัดคารวะชาวบ้านที่รายล้อมอยู่พลางกล่าวขึ้น “ทุกท่านได้โปรดบอกเพื่อนบ้านหรือญาติมิตรของพวกท่านต่อด้วย ผู้ใดที่เคยถูกตระกูลไป๋รังแกสามารถมาฟ้องร้องกับนายอำเภอโจวได้”
กล่าวจบ ไป๋ชิงเหยียนหันไปมองนายอำเภอโจว “นายอำเภอโจว ข้ามีแค่เงื่อนไขเดียว ติดเงินต้องคืนเงิน ฆ่าคนต้องชดใช้ด้วยชีวิต! ลงโทษตามกฎหมาย ห้ามลดหย่อนเด็ดขาด!”
“ขอรับ!” นายอำเภอโจวรีบหันไปสั่ง “มัวตะลึงอันใดอยู่! ยังไม่รีบไปจับกุมตัวพวกคนที่ลักพาตัวเด็กและแย่งชิงกิจการของผู้อื่นมาให้ข้าอีก!”
ท่ามกลางเสียงก่นด่าของไป๋ชิงเจี๋ย ไม่ว่าจะเป็นบรรดาบ่าวรับใช้หรือเจ้านายของตระกูลไป๋ล้วนถูกจับกุมตัวทั้งหมด
“ไป๋ชิงเหยียน ต่อไปเจ้าต้องพึ่งพาตระกูลบรรพบุรุษดูแลยามแก่เฒ่า เจ้ากล้าทำเช่นนี้กับข้าหรือ! ท่านปู่ของข้าคือประมุขของตระกูล ท่านจะขับไล่ข้าออกจากตระกูลเพราะเจ้าหรืออย่างไรกัน! เจ้าคอยดูเถิด…ต่อไปเจ้าได้เห็นดีกับข้าแน่!”
“ไม่ต้องรอวันหน้าหรอก! วันนี้ข้าก็จะทำให้เจ้าได้เห็นดีแล้ว”
ไป๋จิ่นจื้อตวัดแส้ออกไป ทันทีที่เสียงแส้ดังขึ้น ฟันของไป๋ชิงเจี๋ยหลุดกระเด็นออกไปหนึ่งซีก
“นายอำเภอโจวเป็นพวกเดียวกันกับตระกูลไป๋ขอรับ!” ชาวบ้านคนหนึ่งตะโกนบอกไป๋ชิงเหยียน
“นั่นสิขอรับ! จวิ้นจู่ให้เขามาตัดสิน…เขาต้องเข้าข้างตระกูลไป๋แน่ขอรับ!” ชายฉกรรจ์คนหนึ่งกล่าวจบจึงนึกขึ้นได้ว่าไป๋ชิงเหยียนก็คือคนของตระกูลไป๋เช่นเดียวกัน ชายหนุ่มหดคออย่างหวาดกลัว
ไป๋ชิงเหยียนพยักหน้าแล้วหันไปมองนายอำเภอโจว “ข้าสืบเรื่องจากครอบครัวหลายครอบครัวแล้ว ข้าให้คนจดบันทึกเรื่องชั่วร้ายที่ตระกูลไป๋กระทำตลอดหลายปีที่ผ่านมาเอาไว้แล้ว วันที่หนึ่งเดือนห้าตระกูลไป๋จากเมืองหลวงจะย้ายกลับมาอยู่ซั่วหยาง สิ่งแรกที่ข้าจะทำคือมาสอบถามความคืบหน้าในการสืบสวนของท่าน นายอำเภอโจวอย่าทำให้ชาวบ้านและข้าต้องผิดหวังเชียว หากองค์รัชทายาททรงตรัสถามถึงเรื่องนี้ ท่านสืบสวนเรื่องนี้น้อยเพียงใด โทษของท่านก็จะมากเท่านั้น ท่านเข้าใจใช่หรือไม่”
“เข้าใจขอรับ! ข้าเข้าใจดีขอรับ!” นายอำเภอโจวเสียวสันหลังวาบ
“ข้าจะได้กิจการร้านเครื่องประทินโฉมที่ตระกูลไป๋แย่งชิงไปกลับคืนมาหรือไม่เจ้าคะ” สตรีนางหนึ่งถามขึ้นอย่างไม่พอใจ “ตอนนี้ราคาของร้านสูงขึ้นกว่าเดิมถึงสามเท่าตัวแล้วด้วย!”
“ทุกท่านได้โปรดวางใจ ขอเพียงตระกูลไป๋แย่งชิงของของพวกท่านไปอย่างไม่ชอบธรรม หากตรวจสอบแล้วเป็นเรื่องจริง ไป๋ชิงเหยียนจะให้ตระกูลไป๋ชดเชยให้พวกท่านอย่างแน่นอน! หากพวกเขาไม่ยอมคืน ต่อให้ต้องล้มละลาย ไป๋ชิงเหยียนก็จะคืนให้พวกท่านทั้งหมด เพราะที่พวกท่านต้องมาลำบากกันเช่นนี้ก็เพราะตระกูลไป๋แห่งเมืองหลวงไม่ได้ตรวจสอบเรื่องนี้อย่างละเอียด ทำให้ตระกูลไป๋ที่ซั่วหยางอาศัยบารมีของเราทำเรื่องชั่วช้ามากมายถึงเพียงนี้ ไป๋ชิงเหยียนต้องขอโทษทุกท่านอีกครั้ง!”
ไป๋ชิงเหยียนกล่าวพลางโค้งกายขอขมาด้วยท่าทีอ่อนน้อมอย่างที่สุด
สำหรับตระกูลไป๋แล้ว ชื่อเสียงในเมืองซั่วหยางคือสิ่งสำคัญมาก ภายภาคหน้าไป๋ชิงเหยียนต้องการฝึกกองกำลังเพื่อปราบโจรในเมืองซั่วหยาง หญิงสาวต้องการแรงสนับสนุนและความร่วมมือจากชาวบ้าน
ดังนั้นไป๋ชิงเหยียนจึงต้องเดินทางกลับมาซั่วหยางในครั้งนี้เพื่อจัดการกับเหล่าทายาทตระกูลบรรพบุรุษไป๋ที่เหิมเกริม ไม่รู้จักที่ต่ำที่สูงเหล่านี้
ชาวบ้านเงยหน้ามองไปยังสตรีท่าทางสุขุม รัศมีไม่ธรรมดาซึ่งยืนอยู่บนบันไดสูง พวกเขาสัมผัสได้ถึงอำนาจทรงพลังบางอย่างจากร่างของหญิงสาว
ไป๋ชิงเหยียนก้าวขึ้นไปนั่งบนหลังม้า มือหนึ่งถือแส้ม้าสีดำ มือหนึ่งกุมบังเหียนม้า ก่อนจากไป หญิงสาวก้มมองไปยังนายอำเภอโจวอีกครั้ง “นายอำเภอโจว ในเมื่อท่านเป็นคนของชาวบ้าน ท่านก็ควรรักพวกเขาประหนึ่งบุตรของตัวเอง ทำเพื่อพวกเขาเป็นอันดับแรก การนั่งอยู่ในตำแหน่งเฉยๆ โดยที่ไม่ทำสิ่งใด…ไม่อาจรักษาตำแหน่งเอาไว้ได้ ท่านเข้าใจใช่หรือไม่”
“ขอรับ ข้าเข้าใจขอรับ! เข้าใจขอรับ!”
ชาวบ้านมองส่งกลุ่มของไป๋ชิงเหยียนขี่ม้าจากไป ทุกคนนิ่งเงียบครู่ใหญ่ ไม่รู้ว่าผู้ใดกล่าวออกมาประโยคหนึ่ง…
“นั่นคือเจิ้นกั๋วจวิ้นจู่หรือ ไม่เหมือน…กับที่คิดไว้เลย!”
“เมื่อครู่เจิ้นกั๋วจวิ้นจู่กล่าวว่านางเพิ่งมาถึงเมื่อคืนวาน เช้าวันนี้ออกสำรวจรอบเมือง นางกลับมาเพราะเรื่องตระกูลไป๋รังแกชาวบ้านอย่างพวกเราอย่างนั้นหรือ”