สตรีแกร่งตระกูลไป๋ - ตอนที่ 326 ทอดทิ้งตระกูลบรรพบุรุษ
“หรือว่าก่อนหน้านี้ตระกูลไป๋จากเมืองหลวงจะไม่รู้เรื่องที่ตระกูลบรรพบุรุษไป๋ที่ซั่วหยางทำจริงๆ”
ก่อนหน้านี้ชาวบ้านในเมืองซั่วหยางมักได้ยินคนต่างถิ่นกล่าวชมเจิ้นกั๋วอ๋องไป๋เวยถิงว่าสูงส่ง ทรงคุณธรรมและซื่อตรงมาก ชาวบ้านในซั่วหยางได้แต่เบ้ปากอย่างดูถูก
ต่อมา ชาวบ้านในซั่วหยางรับรู้เรื่องที่ไป๋ชิงเหยียนลงโทษบุตรอนุของตระกูลไป๋และเรื่องที่หญิงสาวกล่าวกลางงานเลี้ยงในวังหลวง ชาวบ้านบางส่วนในเมืองซั่วหยางเริ่มชื่นชมจิตใจรักชาวบ้านที่สืบทอดกันมาของตระกูลไป๋ ทว่า ชาวบ้านที่เคยถูกตระกูลไป๋รังแกต่างเกลียดตระกูลบรรพบุรุษไป๋และตระกูลไป๋ในเมืองหลวงเข้ากระดูกดำ คิดว่าตระกูลไป๋เพียงแค่แสดลงละครตบตาทุกคนเท่านั้น!
กระทั่งตอนที่ข่าวการเสียชีวิตของบุรุษตระกูลไป๋แพร่มาถึงเมืองซั่วหยาง ชาวบ้านบางคนยังลอบสะใจ
ทว่า บัดนี้เมื่อชาวบ้านเห็นความตรงไปตรงมาและคุณธรรมของไป๋ชิงเหยียน พวกเขาเริ่มจินตนาการถึงความทรงคุณธรรมของเจิ้นกั๋วอ๋องไป๋เวยถิงได้แล้ว บางทีตระกูลไป๋แห่งเมืองหลวงอาจไม่รับรู้การกระทำของตระกูลบรรพบุรุษไป๋จริงๆ ก็ได้
“ตระกูลไป๋จากเมืองหลวงรู้หรือไม่รู้เรื่องนี้ก็ต้องดูว่านายอำเภอโจวนั่นจะจัดการกับเรื่องนี้อย่างยุติธรรมจริงหรือไม่ ดูว่าเจิ้นกั๋วจวิ้นจู่จะทำให้ตระกูลไป๋คืนของที่แย่งชิงไปจากพวกเรากลับมาได้หรือไม่!”
หลังจากไป๋ชิงเหยียนจากไป สถานการณ์ในเมืองซั่วหยางเปลี่ยนแปลงในทันที นายอำเภอโจวราวกับเปลี่ยนเป็นคนละคน ไม่เพียงจับกุมตัวทายาทตระกูลไป๋ที่มาก่อเรื่องที่หอเทียนเซียงเอาไว้เท่านั้น เขายังส่งคนไปจับกุมตัวคุณชายตระกูลไป๋และผู้ดูแลซึ่งเกี่ยวข้องกับคดีฆ่าคนตาย ฉุดคร่าหญิงสาวถึงที่จวนอีกด้วย
ตระกูลไป๋ในซั่วหยางวุ่นวายเป็นพัลวัน สตรีวัยกลางคนร้องไห้อ้อนวอนให้สามีไปฟ้องประมุขของตระกูล
“ท่านประมุข! แย่แล้วขอรับท่านประมุข จวนว่าการส่งคนมาจับตัวอาจินไปแล้วขอรับ!”
“คนจากจวนว่าการบุกเข้าไปในจวนของข้าแล้วจับตัวอาหรงของข้าไปเลยขอรับ ท่านประมุข ท่านต้องช่วยเด็กพวกนั้นออกมานะขอรับ!”
บัดนี้ประมุขตระกูลไป๋รู้สึกปวดศีรษะมาก ไป๋ฉีอวิ๋นนำของกำนัลชิ้นใหญ่ไปให้นายอำเภอโจวด้วยตัวเอง ขอให้เขาปล่อยตัวกลุ่มของไป๋ชิงเจี๋ยออกมา ทว่า ผู้ใดจะคิดว่าไป๋ฉีอวิ๋นไม่ได้พบนายอำเภอโจว แต่นายอำเภอโจวกลับฝากถ้อยคำบอกไว้ว่าถูกเขาหลอกมาหลายปี บัดนี้ได้เวลาคิดบัญชีแล้ว
ตอนแรกไป๋ฉีอวิ๋นยังจับต้นชนปลายไม่ถูก พอกลับมาถึงจวนแล้ว รายงานเรื่องนี้กับประมุขไป๋ ประมุขไป๋ถึงกับทรุดตัวลงนั่งบนเก้าอี้ ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดจู่ๆ เขาจึงนึกถึงถ้อยคำก่อนจากไปของไป๋จิ่นจื้อขึ้นมาได้ นางกล่าวว่าให้เขาระวังตัวให้ดี อย่ามาขอร้องอ้อนวอนไป๋ชิงเหยียนก็แล้วกัน!
ไป๋ชิงเหยียนต้องการตัดขาดกับตระกูลบรรพบุรุษจริงๆ หรือนี่!
ทว่า หนึ่งลำดับขีดสร้างอักษรสองตัวขึ้นมาไม่ได้ ตระกูลบรรพบุรุษไป๋แห่งซั่วหยางและตระกูลไป๋แห่งเมืองหลวงคือสายเลือดเดียวกัน เจริญรุ่งเรืองไปพร้อมกัน หากล่มจมก็ต้องล่มจมไปด้วยกัน ไป๋ชิงเหยียนกล้าทำเช่นนี้ได้อย่างไร!
ต่อให้เป็นไป๋เวยถิงซึ่งเป็นท่านปู่ของไป๋ชิงเหยียนก็ยังไม่กล้าทำเรื่องให้ตระกูลไป๋ต้องอับอายขายหน้าถึงเพียงนี้เลย หญิงสาวเป็นเพียงสตรีตัวเล็กนางหนึ่งเท่านั้น…เหตุใดจึงใจกล้าเพียงนี้
นางนึกถึงหนทางข้างหน้าของตัวเองเลยหรืออย่างไร นางไม่นึกบ้างหรือว่านอกจากตระกูลบรรพบุรุษแล้ว…ผู้ใดจะคอยเลี้ยงดูนางยามแก่เฒ่า หลังจากนางเสียชีวิตไปแล้ว นางไม่ต้องการให้ตระกูลบรรพบุรุษจุดธูปบูชานางหรืออย่างไรกัน
ทว่า…สิ่งที่ตระกูลบรรพบุรุษไป๋สามารถนำมาข่มขู่ไป๋ชิงเหยียนได้มีเพียงสองเรื่องนี้เท่านั้น แต่ตระกูลบรรพบุรุษยังต้องอาศัยบารมีเจิ้นกั๋วจวิ้นจู่ของไป๋ชิงเหยียนเพื่อใช้ชีวิตอยู่ในซั่วหยางอย่างมีเกียรติ
“พี่ใหญ่! พี่ใหญ่!”
ผู้เฒ่าห้าซึ่งเป็นน้องชายแท้ๆ ของประมุขไป๋พาภรรยาที่ยังร้องไห้ไม่หยุดบุกเข้ามาด้านใน “พี่ใหญ่! เลี่ยงเอ๋อร์ถูกทางการจับตัวไปแล้วขอรับ!”
เมื่อผู้เฒ่าห้าเห็นหน้าของประมุขไป๋จึงกล่าวออกมาอย่างร้อนรน
“นายอำเภอโจวที่สนิทสนมกับไป๋ฉีอวิ๋นผู้นั้นให้คนมาจับตัวเลี่ยงเอ๋อร์ไปขอรับ ฉีอวิ๋น...เจ้าไปล่วงเกินอันใดนายอำเภอโจวหรือไม่ นายอำเภอโจวจึงจับเลี่ยงเอ๋อร์ของข้าไปเชือดไก่ให้ลิงดูเช่นนี้”
เมื่อประมุขไป๋เห็นผู้เฒ่าห้า เขาก็เดือดดาลขึ้นมาทันที
“เจ้ายังมีหน้ากล่าวอีก! หากไม่ใช่เพราะเจ้ายึดครองจวนบรรพบุรุษไป๋เอาไว้อย่างหน้าด้านๆ เช่นนี้ เรื่องจะมาถึงขั้นนี้หรือ เจ้ายังมีหน้ามาถามว่าฉีอวิ๋นล่วงเกินอันใดนายอำเภอโจว! เจ้านั่นแหละที่ล่วงเกินไป๋ชิงเหยียน ทายาทคนอื่นๆ ของตระกูลไป๋จึงพลอยเดือดร้อนตามคนสารเลวอย่างเจ้าไปด้วย!”
สีหน้าเขียวคล้ำของผู้เฒ่าห้าขาวซีดในทันที “แต่ว่าท่านพี่เป็นคนอนุญาตให้ข้ายึดครองจวนบรรพบุรุษไป๋เองนี่ขอรับ!”
ประมุขไป๋ถลึงตาใส่ผู้เฒ่าห้า ผู้เฒ่าห้าหลบสายตาของประมุขไป๋ด้วยสีหน้าย่ำแย่ ทรุดตัวลงนั่งบนเก้าอี้ ตบโต๊ะอย่างโมโห “ไป๋ชิงเหยียนช่างเนรคุณเสียจริง!”
ผู้เฒ่าห้าฉุนเฉียว “คราวที่แล้วที่ฉีอวิ๋นถูกปล้นนางก็ไม่สนใจใยดี! คราวนี้นางถึงกับทำให้ลูกหลานตระกูลไป๋ถูกทางการจับตัวไปเช่นนี้! ตระกูลไป๋แห่งเมืองหลวงไม่มีบุรุษหลงเหลืออยู่แล้ว ตามหลักแล้วสมบัติทั้งหมดควรกลับคืนสู่ตระกูลบรรพบุรุษ ข้ายังเหลือที่พักให้พวกนางอาศัยเกือบครึ่ง นางยังกล้าเนรคุณเช่นนี้อีก!”
“ท่านลุงห้า ในเมื่อท่านคิดว่าจวนบรรพบุรุษควรกลับคืนสู่ตระกูล เหตุใดท่านจึงไม่กล่าวออกมาต่อหน้าทุกคนตั้งแต่แรก เหตุใดต้องรอจนพวกนางซ่อมแซมจวนจนเสร็จ ท่านจึงย้ายเข้าไปอาศัยอยู่เช่นนี้เล่าเจ้าคะ ผู้ใดในตระกูลไม่รู้บ้างว่าท่านกำลังเอาเปรียบสตรีตระกูลไป๋อยู่ ตอนนี้พวกท่านได้เปรียบแล้ว ทว่า เหตุใดต้องให้ลูกหลานของพวกเรามารับผิดชอบในสิ่งที่ท่านทำด้วยเจ้าคะ!” สตรีนางหนึ่งในตระกูลไป๋ตะคอกใส่ผู้เฒ่าห้าอย่างโมโห
ประมุขไป๋ได้ยินเสียงแหลมสูงของสตรีกลางคนผู้นั้น ศีรษะของเขามึนตึบ กระแทกไม้เท้าลงไปบนพื้นอย่างแรง
“โวยวายอันใดกัน ตอนนี้ไม่ใช่เวลามาโทษกล่าวโทษกันเองนะ เราควรคิดหาวิธีช่วยพวกเด็กๆ ออกมาก่อน!”
“นั่นสิ ท่านประมุขกล่าวถูกแล้ว สิ่งสำคัญที่สุดในตอนนี้คือช่วยเด็กพวกนั้นออกมาก่อน!” ลูกสะใภ้คนโตของประมุขไป๋ใช้ผ้าเช็ดหน้าปิดปากร้องไห้
“พวกเด็กๆ เคยลำบากแบบนี้ที่ใดกัน นี่มันเวรกรรมอันใดกันนะ!”
“นั่นนะสิ ท่านประมุข เราต้องไปขอคำอธิบายจากตระกูลไป๋ที่เมืองหลวงนะขอรับ ให้พวกนางยอมปล่อยเด็กๆ ออกมา! ที่สำคัญพวกนางต้องชดใช้ที่ทำให้พวกเด็กๆ ต้องเข้าไปทรมานในคุกด้วยขอรับ มิเช่นนั้นอย่าหาว่าข้าไม่เกรงใจนะขอรับ!” ผู้เฒ่าห้าขบกรามแน่น
ไป๋ชิงผิงที่ยืนอยู่ที่หน้าประตูมาโดยตลอดขบกรามแน่น เขารู้สึกผิดหวังในตัวท่านปู่และตระกูลบรรพบุรุษอย่างที่สุด
ชายหนุ่มแหวกม่านเดินเกาะขอบประตูเข้าไปด้านในพลางกล่าวขึ้น
“ทายาทตระกูลไป๋แห่งเมืองหลวงไปฝึกประสบการณ์ในสนามรบจริงตั้งแต่อายุสิบขวบ ญาติผู้พี่ผู้น้องเอาแต่ดื่มเล่นเที่ยวกินไปวันๆ บัดนี้ก็แค่เข้าไปชดใช้ความผิดที่ตัวเองก่อไว้ในคุกเท่านั้น เหตุใดจะทนไม่ได้ขอรับ ทุกท่านไม่ทบทวนตัวเอง แต่กลับมานั่งปรึกษากันว่าจะไปข่มขู่เจิ้นกั๋วจวิ้นจู่ให้ยอมปล่อยคนออกมาอย่างไร ให้นางชดใช้ให้พวกท่านอย่างไรหรือขอรับ!”
ไป๋ชิงผิงรู้สึกเดือดดาลมาก ตระกูลบรรพบุรุษไป๋เปลี่ยนเป็นคนโลภมาก เห็นแก่ตัว ไม่เห็นหัวผู้อื่นและโง่เง่าจนน่าปวดศีรษะขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อใดกันนะ
ไป๋ชิงผิงกวาดสายตามองไปยังบรรดาผู้ใหญ่ที่ต่างตะลึงงันไปเพราะเสียงตะคอกของเขา “บัดนี้ท่านปู่และทุกท่านยังไม่ทราบอีกหรือขอรับว่าตระกูลบรรพบุรุษไป๋ทำสิ่งใดผิดไป!”
“ที่ตระกูลไป๋สามารถใช้ชีวิตอย่างเหิมเกริมอยู่ในซั่วหยางได้เป็นเพราะอาศัยบารมีของตระกูลไป๋จากเมืองหลวงทั้งนั้น! เรื่องนี้เป็นเพียงการเตือน! เดิมทีสิ่งที่เจิ้นกั๋วจวิ้นจู่ต้องการมีเพียงโฉนดจวนบรรพบุรุษเท่านั้น ทว่า ท่านปู่ไม่ยอมคืนให้นาง ดังนั้น…จวิ้นจู่จึงไม่อนุญาตให้ตระกูลบรรพบุรุษไป๋ยืมอำนาจของตระกูลไป๋แห่งเมืองหลวงอีกต่อไป! นี่คือการเตือนของเจิ้นกั๋วจวิ้นจู่ หากตระกูลบรรพบุรุษยังทำตัวไม่รู้จักที่ต่ำที่สูงต่อไป เจิ้นกั๋วจวิ้นจู่คงทอดทิ้งตระกูลบรรพบุรุษอย่างจริงจัง ถึงเวลานั้น…รอดูกันได้เลยว่าตระกูลบรรพบุรุษไป๋จะกลายเป็นเช่นไรขอรับ!”