สตรีแกร่งตระกูลไป๋ - ตอนที่ 339 ชาวบ้าน
เว่ยจงทำความเคารพไป๋ชิงเหยียนเสร็จจึงถอยกลับไปยืนอยู่ด้านหลังเจี่ยงหมัวมัว
ไป๋ชิงเหยียนมองเว่ยจงที่ก้มหน้าอย่างสงบเสงี่ยม รู้ดีว่าท่านย่าต้องการให้นางเห็นความสามารถของเว่ยจงและรับเขาไว้ทำงาน
“เว่ยกงกงทำงานได้ดีมาก มีท่านคอยอยู่ดูแลข้างกายท่านย่า พวกข้ากลับไปอยู่ซั่วหยางคงไม่ต้องเป็นกังวลมากนัก” ไป๋ชิงเหยียนกล่าว
เจี่ยงหมัวมัวขยับริมฝีปาก ยังไม่ทันกล่าวคำกล่าวขององค์หญิงใหญ่ให้ไป๋ชิงเหยียนฟังก็ถูกหญิงสาวดักทางเสียก่อน เจี่ยงหมัวมัวจึงได้แต่พาเว่ยจงกลับไป
“พี่หญิงใหญ่…” ไป๋จิ่นจื้อหันไปมองไป๋ชิงเหยียนอย่างไม่ค่อยเข้าใจ “ข่าวที่พี่หญิงรองส่งมาไม่ได้ละเอียดเท่าที่เว่ยจงสืบได้ ในเมื่อเขาเก่งถึงเพียงนี้ เหตุใดพี่หญิงใหญ่ไม่เก็บเขาไว้ใช้งานเจ้าคะ”
“มีคำกล่าวว่าบ่าวผู้ซื่อสัตย์จงรักภักดีต่อนายเพียงคนเดียว เว่ยจง…เป็นคนซื่อสัตย์ รับเขาไว้ใช้งานมีประโยชน์แน่ เพียงแค่กลัวว่าเมื่อถึงช่วงสำคัญเขาอาจทำเสียเรื่องได้ อย่าเก็บสิ่งใดที่ไม่แน่นอนไว้ข้างกายจะดีกว่า” ไป๋ชิงเหยียนยกถ้วยชาขึ้นเป่าใบชาที่ลอยอยู่เหนือน้ำชาในถ้วย
ที่สำคัญเสี่ยวชีไป๋จิ่นเซ่อจะคอยอยู่รับใช้ข้างกายท่านย่า มีคนเก่งกาจอย่างเว่ยจงอยู่ เสี่ยวชีจะได้มีคนมีฝีมือไว้ใช้งานได้
ไป๋ชิงเหยียนไม่ได้วางแผนให้ไป๋จิ่นเซ่อทำเรื่องที่สั่นคลอนราชวงศ์หลิน น้องสาวอยู่ข้างกายของท่านย่าย่อมปลอดภัยอย่างแน่นอน
ตอนนี้ สิ่งที่นางกังวลที่สุดก็คือปัญหาความอดอยากที่เมืองเยี่ยนว่อ
ชาติที่แล้วนางไม่เคยได้ยินเรื่องนี้
นายอำเภอของผิงหยาง กว่างหลิง ลั่วหงและหูสุ่ยรายงานเข้ามาโดยพร้อมเพรียงกัน แสดงว่าภัยครั้งนี้ร้ายแรงจนชาวบ้านอดอยากล้มตายไม่รู้ตั้งเท่าใดแล้ว
สิ่งสำคัญที่สุดในตอนนี้คือแก้ปัญหาความอดอยากในครั้งนี้
ทว่า จะเลือกผู้ใดไปแก้ปัญหาภัยในครั้งนี้ดี ภัยอดอยากยากแค้นในครั้งนี้สั่นคลอนจิตใจของชาวบ้านได้อย่างง่ายดาย หากทำผิดพลาดแม้แต่นิดเดียว ผู้ที่รับผิดชอบเรื่องนี้คงมีจุดจบไม่น่าดูอย่างแน่นอน
ภายในวังหลวง ฮ่องเต้ใช้ผ้าเย็นวางทับอยู่บนหน้าผาก ฟังคนรายงานสถานการณ์ย่ำแย่ของเมืองเยี่ยนว่อ เขาปวดศีรษะจนลืมตาไม่ขึ้น โมโหจนหน้าอกสั่นไหวอย่างรุนแรง
“ตั้งแต่ปีที่แล้วจนถึงตอนนี้ ไม่มีวันใดที่ไม่เกิดเรื่อง! เราไม่ได้ใช้ชีวิตอย่างสงบสุขเลยสักวัน!” ฮ่องเต้เขวี้ยงผ้าเย็นในมือทิ้ง ผุดลุกขึ้นยืนอย่างโมโห “ปิดบังสถานการณ์เลวร้ายเพื่อให้ตัวเองได้เลื่อนตำแหน่ง ช่างน่ารังเกียจเสียจริง! ประหาร! จับหมิ่นจงเซิ่งไปประหารเดี๋ยวนี้!”
เสนาบดีกรมการคลังฉู่จงซิ่งก้าวเข้าไปด้านหน้าเพื่อทำความเคารพแล้วกล่าวขึ้น “ฝ่าบาท กระหม่อมคิดว่าสิ่งสำคัญที่สุดในตอนนี้คือการแก้ไขปัญหาและส่งคนไปบรรเทาทุกข์ที่นั่นพ่ะย่ะค่ะ ปัญหาความอดอยากในครั้งนี้ลุกลามใหญ่โต เกรงว่าฝ่าบาทคงต้องส่งคนของราชวงศ์ไปกอบกู้สถานการณ์ถึงจะปลอบขวัญชาวบ้านได้พ่ะย่ะค่ะ!”
องค์รัชทายาททำเพียงพยักหน้า ทว่า ไม่ได้เสนอตัวไปแก้ปัญหาสถานการณ์ในครั้งนี้
การช่วยเหลือผู้ประสบภัยในครั้งนี้ไม่เหมือนปีก่อนๆ …เป็นภาระที่หนักอึ้ง
ปัญหาความอดอยากในเยี่ยนว่อทวีความรุนแรงมากยิ่งขึ้น ชาวบ้านอพยพถิ่นฐานหนี ถือเป็นการสงเคราะห์ผู้ประสบภัย…บรรเทาทุกข์ชาวบ้าน ต้องจัดการเรื่องทุกอย่างอย่างรอบคอบ หากทำผิดพลาดแม้แต่นิดเดียว สิ่งที่ตามมาคือความไม่พอใจของชาวบ้าน องค์รัชทายาทไม่กล้ารับภาระในครั้งนี้
“เสด็จพ่อ ลูกคิดว่าควรให้เสด็จลุงสามลองดูพ่ะย่ะค่ะ” องค์รัชทายาทกล่าวกับฮ่องเต้เสียงเบาหวิว “เสด็จลุงสามเป็นคนรอบคอบและมีเมตตา ชาวบ้านประสบปัญหา ท่านต้องช่วยบรรเทาทุกข์ชาวบ้านอย่างเต็มที่ ไม่ปล่อยให้ผู้อื่นถือโอกาสนี้ยักยอกเสบียงหรือเงินแน่นอนพ่ะย่ะค่ะ”
“องค์รัชทายาทกล่าวมีเหตุผล ทว่า กระหม่อมคิดว่าครั้งนี้องค์รัชทายาทควรเสด็จไปสงเคราะห์ผู้ประสบภัยด้วยพระองค์เองจึงจะปลอบขวัญชาวบ้านได้พ่ะย่ะค่ะ” ฉู่จงซิ่งกล่าวถึงตรงนี้ก็เปลี่ยนเรื่อง “ทว่า องค์รัชทายาทเป็นถึงรัชทายาทผู้สืบทอด ปัญหาความอดอยากครั้งนี้รุนแรงมาก หากผิดพลาดแม้แต่นิดเดียวจนชาวบ้านอาละวาดขึ้นมา เกรงว่าอาจเป็นอันตรายต่อองค์รัชทายาทได้พ่ะย่ะค่ะ”
องค์รัชทายาทใจกระตุกวูบ รีบกล่าวกับฮ่องเต้ “ลูกไม่ได้กลัวมีอันตรายมาถึงตัวนะพ่ะย่ะค่ะ เพียงแต่ลูกไม่มีประสบการณ์ในการบรรเทาทุกข์ชาวบ้าน สถานการณ์ครั้งนี้เลวร้าย ลูกกลัวว่าจะทำได้ไม่ดีพอ ลูกคิดว่าหากส่งคนที่มีประสบการณ์ไปเป็นผู้นำคงจัดการได้เหมาะสมกว่าลูก เป็นจริงดังที่เสนาบดีฉู่กล่าว หากมีคนของราชวงศ์ไปด้วย ชาวบ้านคงอุ่นใจ ลูกยินดีตามไปเป็นผู้ช่วยในการบรรเทาทุกข์ในครั้งนี้เพื่อแบ่งเบาภาระของเสด็จพ่อพ่ะย่ะค่ะ”
คำกล่าวขององค์รัชทายาทแสดงให้เห็นความจริงใจว่าเขายินดีเอาตัวไปเสี่ยงเพื่อฮ่องเต้จริงๆ อีกทั้งออกตัวไว้ก่อนว่าเขาไม่มีประสบการณ์ในการช่วยเหลือผู้ประสบภัย หากไปก็เป็นได้เพียงตัวประกอบเท่านั้น ไม่ว่าสุดท้ายผลจะออกมาเป็นเช่นไรก็โทษเขาไม่ได้ ถือได้ว่าฉลาดมาก
ทว่า ฮ่องเต้กลับหลงกล เขานั่งอยู่บนบัลลังก์มังกร รับผ้าเย็นจากมือของเกาเต๋อเม่ามาวางไว้บนหน้าผาก หลับตาพลางตรัสขึ้น “องค์รัชทายาทเป็นรัชทายาทผู้สืบทอด เป็นรากฐานของแคว้น จะเอาตัวไปเสี่ยงไม่ได้เด็ดขาด!”
ฉู่จงซิ่งเงียบไปครู่หนึ่งจากนั้นกล่าวขึ้น “กระหม่อมมีคนอยากนำเสนออยู่บ้างพ่ะย่ะค่ะ ทว่า ตั้งแต่สถาปนาแคว้นขึ้นมา แทบไม่เคยเกิดภัยพิบัติที่ร้ายแรงเช่นนี้มาก่อน เกรงว่าคงไม่อาจทำให้ทุกฝ่ายพอใจได้ทั้งหมดพ่ะย่ะค่ะ”
ยี่สิบปีมานี้ ภัยพิบัติครั้งรุนแรงที่สุดเท่าที่เคยเกิดขึ้นก็คือภัยโรคระบาดที่เมืองเจียวโจว ปีนั้นไป๋ฉีซานเดินทางไปช่วยเหลือผู้ประสบภัยด้วยตัวเอง เขาให้กองทัพไป๋ปิดตายเมืองเจียวโจว ไป๋ซู่ชิวเข้าไปช่วยเหลือคนในเมือง สถานการณ์โรคระบาดค่อยๆ ดีขึ้น ชาวบ้านหายดีเป็นปกติ ทว่า ไป๋ซู่ชิวกลับต้องจบชีวิตลงที่เจียวโจว
ฮ่องเต้ขอบพระเนตรร้อนผ่าว ความโกรธแปรเปลี่ยนเป็นความเศร้าโศก เขาหลับพระเนตรลง “ทั้งราชสำนักไม่มีคนที่เหมาะสมเลยหรืออย่างไรกัน”
เดิมทีสามารถรอให้ถึงตอนว่าราชการในวันพรุ่งนี้เช้าแล้วค่อยปรึกษาเลือกคนที่จะไปช่วยเหลือผู้ประสบภัยก็ได้ ทว่า บัดนี้สถานการณ์เร่งด่วน หากยิ่งยื้อเวลา…สถานการณ์อาจเลวร้ายลงกว่าเดิมได้
จู่ๆ องค์รัชทายาทก็นึกถึงเหลียงอ๋องขึ้นมา ซิ่นอ๋องถูกปลดแล้ว บัดนี้โอรสที่โตเป็นหนุ่มแล้วนอกจากเขาก็มีเหลียงอ๋อง
“เสด็จพ่อ ครั้งนี้นอกจากคัดเลือกผู้นำที่จะไปช่วยเหลือผู้ประสบภัยแล้ว เราต้องส่งคนของราชวงศ์ไปด้วย ในเมื่อลูกไปไม่ได้ ลูกอยากเสนอคนคนหนึ่งให้เสด็จพ่อพ่ะย่ะค่ะ หวังว่าเสด็จพ่อจะไม่ทรงกริ้ว” องค์รัชทายาทกล่าวขึ้นอย่างไม่รีบร้อน “ก่อนหน้านี้เหลียงอ๋องหวังใส่ร้ายป้ายสีเจิ้นกั๋วอ๋องจนทำให้เสด็จพ่อต้องเสียพระทัย บัดนี้เขาสำนึกผิดอยู่ในจวนของตัวเองมาโดยตลอด วันพระราชสมภพของเสด็จพ่อก็ใส่ใจถึงเพียงนี้ ลูกอยากทูลขอโอกาสให้เหลียงอ๋องได้ไถ่โทษความผิดในครั้งนี้พ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้หันไปมององค์รัชทายาทที่กำลังคุกเข่าขอร้องแทนเหลียงอ๋อง ยังไม่ทันไตร่ตรองให้ละเอียด เสนาบดีกรมการคลังก็เอ่ยสนับสนุนขึ้น “องค์รัชทายาทกล่าวมีเหตุผลพ่ะย่ะค่ะ เหลียงอ๋องคือโอรสของฝ่าบาท สามารถปลอบขวัญชาวบ้านได้ดีกว่าท่านอ๋องสามพ่ะย่ะค่ะ”
เกาเต๋อเม่าก้าวเข้าไปเปลี่ยนผ้าเย็นให้ฮ่องเต้ ฮ่องเต้ขมวดคิ้วพลางพยักหน้า “เช่นนั้นก็ให้เหลียงอ๋องไป แล้วผู้นำเล่า คิดว่าผู้ใดเหมาะสม”
“ผู้นำในการช่วยเหลือผู้ประสบภัยในครั้งนี้ กระหม่อมคิดว่าควรส่งไปทั้งขุนนางฝ่ายบุ๋นและบู๊พ่ะย่ะค่ะ แม่ทัพดูน่าเกรงขาม บัดนี้แม่ทัพจางตวนรุ่ยนำกองทัพไปยังภูเขาชุนมู่ กระหม่อมคิดว่าแม่ทัพสือพานซานที่มีความดีความชอบจากสงครามหนานเจียงเหมาะสมพ่ะย่ะค่ะ ส่วนขุนนางฝ่ายบุ๋น ผู้ที่มีประสบการณ์ในการช่วยเหลือผู้ประสบภัยและทำได้ดี” ฉู่จงซิ่งกำหมัดแน่น ก้มหน้าลง กล่าวอย่างจริงจัง “กระหม่อมคิดว่าหลี่หมิงรุ่ยบุตรชายของท่านอัครมหาเสนบดีฝ่ายซ้ายเหมาะสมพ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้รู้สึกปวดศีรษะมาก เขาโบกมือน้อยๆ “เอาตามนี้แล้วกัน เกาเต๋อเม่าไปประกาศราชโองการ! เรียกชิวกุ้ยเหรินมาหาเราด้วย!”
ช่วงนี้ฮ่องเต้ปวดศีรษะบ่อย หมอหลวงจ่ายยาให้มากมายแต่ก็ไม่ได้ผล มีเพียงชิวกุ้ยเหรินนวดศีรษะให้เท่านั้น ฮ่องเต้จึงจะรู้สึกผ่อนคลายลง
องค์รัชทายาทถอนหายใจอย่างโล่งอก ขอแค่ภาระนี้ไม่ตกมาที่เขา เป็นผู้ใดก็ได้ทั้งนั้น
ไม่นาน ฮ่องเต้ก็ประกาศราชโองการ