สตรีแกร่งตระกูลไป๋ - ตอนที่ 341 เลือดชำระด้วยเลือด
หลี่จือเจี๋ยรู้เรื่องสัญญาสามปีระหว่างไป๋ชิงเหยียนและอวิ๋นพั่วสิงดี
“เช่นนั้นก็หวังว่าสามปีหลังจากนี้…จักรพรรดิแห่งต้าจิ้นจะยอมเสียสละให้เจิ้นกั๋วจวิ้นจู่นำกองทัพไปสู้รบกับซีเหลียงเพียงเพราะความแค้นส่วนตัวนะขอรับ ไม่รบกวนเวลาของจวิ้นจู่แล้ว ข้าขอตัวก่อน” หลี่จือเจี๋ยก้มศีรษะให้ไป๋ชิงเหยียนเล็กน้อย เมื่อหันหลังกลับสีหน้าของเขาเคร่งขรึมลงทันที
ชุนเถาปิดม่านลงตามเดิม แอบก่นด่าเหยียนอ๋องผู้นี้อยู่ในใจว่าชอบหาเรื่องคุณหนูใหญ่ของนาง ทว่า จู่ๆ เสียงของหลี่เทียนฟู่ก็ดังแว่วมาจากรถม้าอีกคัน
“ไป๋ชิงเหยียน ครั้งนี้ข้ามีชีวิตรอดกลับไปซีเหลียง วันหน้าข้าต้องให้เจ้าชดใช้ด้วยเลือด!”
ไป๋จิ่นจื้อนั่งอยู่บนหลังม้า นางได้ยินเสียงของหลี่เทียนฟู่ที่ดังออกมาจากรถม้าซึ่งอยู่ท่ามกลางความคุ้มครองขององครักษ์ซีเหลียงอย่างชัดเจน
สาวน้อยอดกลอกตาใส่รถม้าของหลี่เทียนฟู่ไม่ได้ ได้ยินเสียงพี่หญิงใหญ่สั่งให้ออกเดินทางต่อโดยไม่สนใจคำกล่าวของหลี่เทียนฟู่ ไป๋จิ่นจื้อจึงควบม้าตามไป
…
ไป๋ชิงเหยียนยืนรออยู่หน้าที่พักของผู้เฒ่ากวนยงฉยงเซียนเซิงในภูเขาอันอวี้อย่างสงบ
เด็กรับใช้เข้าไปรายงานผู้เฒ่ากวนยงฉยงเซียนเซิงด้านใน จากนั้นรีบเดินออกมาเชิญไป๋ชิงเหยียน “เหล่าเซียนเซิงให้ข้ามาเชิญจวิ้นจู่เข้าไปด้านในขอรับ”
“ขอบใจมาก!” ไป๋ชิงเหยียนพยักหน้าให้เด็กรับใช้น้อยๆ พาไป๋จิ่นจื้อเดินเข้าไปด้านใน ทั้งหมดเดินผ่านป่าไผ่เข้าไปยังที่พักซึ่งสร้างอยู่บริเวณริมลำธาร
ผู้เฒ่ากวนยงฉยงเซียนเซิงนั่งอยู่กับผู้เฒ่าชุยสือเหยียน เด็กรับใช้ในชุดสีขาวคุกเข่าใช้พัดพัดเตาถ่านสำหรับต้มน้ำชาเบาๆ
แม้นี่จะไม่ใช่ครั้งแรกที่ไป๋จิ่นจื้อพบหน้าปรมาจารย์ทั้งสองท่าน ทว่า อาจเป็นเพราะสาวน้อยรู้สึกเคารพยำเกรงคนทั้งสองอยู่ในใจ นางจึงดูสำรวมกว่าปกติมากนัก
เมื่อเห็นไป๋ชิงเหยียนก้มศีรษะคำนับแนบพื้น ไป๋จิ่นจื้อจึงรีบคุกเข่าก้มศีรษะคำนับตามสามครั้ง
ผู้เฒ่ากวนยงฉยงเซียนเซิงมองไปยังไป๋ชิงเหยียนแล้วพยักหน้าให้ยิ้มๆ “เด็กดี! รีบลุกขึ้นมาเถิด”
ไป๋ชิงเหยียนลุกขึ้น จากนั้นโค้งกายคำนับอีกครั้ง “เหยียนพาน้องสี่มาเยี่ยมท่านอาจารย์เจ้าค่ะ”
“นั่งเถิด…” ผู้เฒ่ากวนยงฉยงเซียนเซิงมองดูลูกศิษย์ซึ่งเป็นสตรีเพียงคนเดียวของตน ในใจรู้สึกมีความสุขมาก
ไป๋ชิงเหยียนรับคำ จากนั้นนั่งลงตรงฝั่งตรงข้ามของผู้เฒ่ากวนยงฉยงเซียนเซิงและผู้เฒ่าชุยสือเหยียนพร้อมกับไป๋จิ่นจื้อ
“พรุ่งนี้คือวันคล้ายวันเกิดของท่านอาจารย์ เหยียนอยู่ในช่วงไว้ทุกข์จึงมาร่วมงานเลี้ยงไม่ได้ วันนี้จึงมาเยี่ยมท่านอาจารย์ก่อนเจ้าค่ะ ขอให้ท่านอาจารย์สุขภาพร่างกายแข็งแรง อายุยืนนับร้อยปีเจ้าค่ะ”
ผู้เฒ่ากวนยงฉยงเซียนเซิงพยักหน้าพลางยิ้มออกมาอย่างเมตตา เขามองไปยังสตรีที่สวมเครื่องแต่งกายสีขาวที่มีใบหน้ามั่นคงหนักแน่นซึ่งกำลังคุกเข่าอยู่เบื้องหน้าเขา ราวกับมองเห็นร่างของสหายเก่าในตัวของลูกศิษย์ผู้นี้ ในใจรู้สึกอาลัยขึ้นมา ดวงตาเริ่มร้อนชื้น
“วันที่ท่านปู่ของเจ้าจูงมือเจ้ามายังที่พักแห่งนี้เพื่อขอให้ข้ารับเจ้าเป็นศิษย์ ข้าก็รู้ได้ทันทีว่าท่านปู่ของเจ้าคาดหวังในตัวเจ้าไว้มาก” ผู้เฒ่ากวนยงฉยงเซียนเซิงกล่าวขึ้นช้าๆ ราวกับกำลังสั่งสอน “ท่านปู่ของเจ้าสละชีพเพื่อปกป้องชาวบ้าน เจ้ามีหน้าที่สืบทอดปณิธานของตระกูลไป๋ต่อ ใช้ความสามารถของเจ้าสนับสนุนจักรพรรดิ ปกป้องบ้านเมือง รวมใจเป็นหนึ่ง ช่วยชีวิตคนทั้งใต้หล้า”
ไป๋ชิงเหยียนขยับริมฝีปากราวกับต้องการกล่าวสิ่งใด จากนั้นคำนับไปทางท่านอาจารย์ “ศิษย์มีเรื่องอยากให้ท่านอาจารย์ชี้แนะเจ้าค่ะ”
“วันนี้ข้ากับสหายชุยล้วนอยู่ที่นี่ เจ้าลองว่ามาสิ” ผู้เฒ่ากวนยงฉยงเซียนเซิงกล่าวขึ้น
“วันนี้ศิษย์ฝันถึงท่านปู่ ท่านปู่ถามศิษย์ว่าคนเรามีชีวิตอยู่เพื่อสิ่งใด ศิษย์ไม่เข้าใจว่าแท้จริงแล้วคนเรามีชีวิตอยู่เพื่อสิ่งใดกันแน่ ท่านอาจารย์โปรดไขข้อข้องใจด้วยเถิดเจ้าค่ะ”
เป็นครั้งแรกที่ผู้เฒ่ากวนยงฉยงเซียนเซิงเห็นความงุนงงในแววตาของลูกศิษย์สาว
คนเรามีชีวิตอยู่เพื่อสิ่งใดอย่างนั้นหรือ
ผู้เฒ่ากวนยงฉยงเซียนเซิงมองไปทางผู้เฒ่าชุยสือเหยียนเซียนเซิง เห็นเพียงผู้เฒ่าชุยสือเหยียนเซียนเซิงมองไปทางไป๋ชิงเหยียนที่มีสีหน้าสับสน
“คนเรามีชีวิตอยู่เพื่อความปรารถนา ปรารถนาที่จะกินอิ่มนอนหลับ…มีชีวิตอยู่เพื่อเอาตัวรอด ปรารถนาทางเพศ…เพื่อสืบทอดทายาท เพื่ออำนาจ เพื่อบารมี เพื่อเงินทอง หรืออาจจะเพื่อความสง่างาม! สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นความปรารถนาของมนุษย์ทั่วไป” ผู้เฒ่าชุยสือเหยียนเซียนเซิงตอบเสียงดังชัด
“ทว่า ทายาทตระกูลสูงศักดิ์มีความปรารถนาที่สูงกว่าคนธรรมดาทั่วไป มีชีวิตอยู่…เพื่อสืบทอดปณิธาน คุณงามความดีและความกล้าหาญของบรรพบุรุษ เพื่อเกียรติยศ เพื่อศรัทธา เพื่อคำสัญญา เพื่อที่จะไม่ทำให้บรรพบุรุษต้องผิดหวัง สำหรับตระกูลสูงศักดิ์แล้ว สิ่งเหล่านี้สำคัญยิ่งกว่าชีวิต ตระกูลที่ดำรงอยู่ได้อย่างมั่นคงนับร้อยปีเพราะคนแต่ละรุ่นมีใจเป็นหนึ่งเดียว ยอมเสียสละเพื่อสิ่งเหล่านี้ได้”
ผู้เฒ่าชุยสือเหยียนเซียนเซิงเกิดในตระกูลสูงศักดิ์ เขาเข้าใจความคิดที่สืบทอดต่อกันมาของตระกูลสูงศักดิ์ได้ดีกว่าผู้เฒ่ากวนยงฉยงเซียนเซิง
ไป๋ชิงเหยียนกำมือที่วางอยู่บนหน้าตักแน่น ก้มหน้าซ่อนดวงตาที่ร้อนชื้นไว้
เพื่อคำสัญญา…
ดังนั้น ต่อให้เป็นเพียงความฝัน ท่านปู่ก็ยังให้นางสัญญาว่าจะปกป้องแคว้นต้าจิ้นแห่งนี้
ฮ่องเต้ไร้คุณธรรม ทว่า ท่านปู่ยึดมั่นในคำสัญญา ไม่อาจตระบัดสัตย์ได้
เพื่อไม่ทำให้บรรพบุรุษต้องผิดหวัง…
ดังนั้น ท่านปู่จึงไม่อาจตัดใจละทิ้งตระกูลบรรพบุรุษไป๋ได้
ไป๋ชิงเหยียนหลับตาลง ข่มความรู้สึกปวดร้าวที่ถาโถมอยู่ในใจ
ทว่า นางไม่ใช่ท่านปู่
นางไม่เคยสัญญากับฮ่องเต้ ครอบครัวของนางมีเพียงตระกูลไป๋ที่เมืองหลวงเท่านั้น
ผู้เฒ่าชุยสือเหยียนเซียนเซิงกำลังชี้แนะนางอยู่
ผู้เฒ่าชุยสือเหยียนเซียนเซิงคงรู้เรื่องที่ตระกูลบรรพบุรุษไป๋มาอาละวาดที่เมืองหลวงแล้ว
ผู้เฒ่าชุยสือเหยียนเซียนเซิงเป็นปรมาจารย์ สำหรับเขาแล้ว…ทุกคนเรียนรู้ได้เท่ากัน เขาคิดว่านางไม่ควรละทิ้งครอบครัวอย่างตระกูลบรรพบุรุษไป๋ ดังนั้นจึงสั่งสอนนางให้เดินไปในหนทางที่ถูกต้อง
ทว่า นางไม่มีแรงและเวลามากพอให้กับคนเนรคุณเหล่านี้ ปณิธานของนางยิ่งใหญ่และกว้างไกลกว่าที่ผู้เฒ่าชุยสือเหยียนเซียนเซิงคิดไว้มากนัก
ไป๋ชิงเหยียนคำนับให้ปรมาจารย์ทั้งสองอย่างเคารพ “คำสอนของท่านอาจารย์ทำให้ศิษย์กระจ่างแจ้งทันทีเจ้าค่ะ”
“เอาเถิด ลุกขึ้นเถิด!”
ผู้เฒ่าชุยสือเหยียนเซียนเซิงเป็นคนเคร่งขรึมมาแต่ไหนแต่ไร ผู้เฒ่ากวนยงฉยงเซียนเซิงสงสารลูกศิษย์ของตัวเอง ไม่อยากกล่าวถึงประเด็นเคร่งเครียดเช่นนี้อีก จึงเปลี่ยนเรื่อง “เจ้าจะย้ายกลับซั่วหยางเมื่อใด”
เด็กรับใช้รินน้ำชา ไป๋ชิงเหยียนพยักหน้าให้อย่างขอบคุณ จากนั้นเอ่ยตอบอย่างเคารพ “วันที่หนึ่งเดือนหน้าเจ้าค่ะ วันหน้าหากมีโอกาสมาเมืองหลวง ศิษย์จะมาเยี่ยมท่านอาจารย์เจ้าค่ะ”
“แน่นอน!” ผู้เฒ่าชุยสือเหยียนเซียนเซิงกล่าวอย่างจริงจัง
ไป๋ชิงเหยียนพยักหน้าให้ผู้เฒ่าชุยสือเหยียนเซียนเซิงเล็กน้อย
เมื่อเดินออกมาจากที่พักอาศัยของผู้เฒ่ากวนยงฉยงเซียนเซิง ไป๋จิ่นจื้อมองดูเด็กรับใช้ที่เดินมาส่งพวกนางถึงด้านหน้าแล้วจากไป สาวน้อยรู้สึกหนักอึ้งใจในเล็กน้อย เดินลงบันไดไปพร้อมไป๋ชิงเหยียนพลางเอ่ยถาม “พี่หญิงใหญ่ ผู้เฒ่าชุยสือเหยียนเซียนเซิงเอ่ยถึงครอบครัวเพราะรู้เรื่องที่ตระกูลบรรพบุรุษไป๋มาอาละวาดใช่หรือไม่เจ้าคะ”
ไป๋ชิงเหยียนพยักหน้า “ไปเถิด…”
“ผู้เฒ่าชุยสือเหยียนเซียนเซิงไม่รู้ว่าตระกูลบรรพบุรุษทำเรื่องชั่วช้าอันใดไว้บ้าง ดีแต่กล่าวถึงเหตุผล…” ไป๋จิ่นจื้อบ่นพึมพำ “เทียบกับผู้เฒ่ากวนยงฉยงเซียนเซิงไม่ได้สักนิด!”
ไป๋ชิงเหยียนหันไปมองไป๋จิ่นจื้อที่ยังคงบ่นพึมพำ กล่าวเสียงเบา “ผู้เฒ่าชุยสือเหยียนเซียนเซิงคือปรมาจารย์ ความคิดของท่านไม่เหมือนกับคนธรรมดาอย่างพวกเรา ท่านมีศรัทธาในการเป็นปรมาจารย์ เมตตาความชั่วด้วยความดี เป็นอาจารย์ที่ดี พร้อมสั่งสอนทุกคน นี่คือความใจกว้างของคนที่เป็นปรมาจารย์”
ไป๋จิ่นจื้อรู้ตัวว่ากล่าวเกินไปจึงเม้มปากแน่น กำหมัดขอขมาไป๋ชิงเหยียน กล่าวขึ้น “เสี่ยวซื่อกล่าวผิดไปเจ้าค่ะ”
ไป๋ชิงเหยียนยกมือลูบศีรษะของน้องสาวอย่างแผ่วเบา “ผู้ที่ขึ้นชื่อว่าปรมาจารย์ ย่อมมีความรู้กว้างขวาง ยิ่งผู้ที่ได้รับการยกย่องเป็นปรมาจารย์แห่งยุค นอกจากจะมีความรู้กว้างขวางและคุณธรรมที่ยิ่งใหญ่แล้ว เขาต้องมีใจเมตตาในการสั่งสอนผู้อื่น ผู้เฒ่าชุยสือเหยียนเซียนเซิงได้รับการยกย่องศรัทธาจากเหล่าบัณฑิตทุกคน อีกทั้งเป็นแบบอย่างที่ดีของบัณฑิตย่อมต้องมีเหตุผลอยู่แล้ว”