สตรีแกร่งตระกูลไป๋ - ตอนที่ 382 ลงโทษขั้นรุนแรง
ตอนที่ 382 ลงโทษขั้นรุนแรง
สุดท้ายแล้วประมุขไป๋ก็เลือกที่จะทอดทิ้งบุตรชายของตัวเอง กันตัวเองออกจากเรื่องนี้อย่างใสสะอาด
ไป๋จิ่นจื้ออ่านม้วนไม้ไผ่ฉบับหนึ่ง จากนั้นกระแทกม้วนไม้ไผ่ลงบนโต๊ะน้ำชาอย่างแรง
“แค่ท่านกล่าวว่าจะไม่ดำรงตำแหน่งประมุขต่อแล้วเรื่องจะจบลงอย่างง่ายดายอย่างนั้นหรือ ของส่วนมากในนี้ล้วนเป็นของพระราชทานจากฮ่องเต้ ของที่ตระกูลไป๋ส่งมาให้ยังไม่เท่าใด อาจทำหายหรือมอบให้ผู้อื่นได้ ทว่า ของพระราชทานคือโทษหนัก หากฮ่องเต้ทรงพิโรธขึ้นมา…ไม่เพียงโทษประหาร อาจเดือดร้อนถึงโทษประหารเจ็ดชั่วโคตรก็ได้ ท่านต้องการให้คนทั้งตระกูลตายเพราะความโลภของเจ้าหรืออย่างไรกัน!”
นายอำเภอโจวตาลุกวาว รีบกล่าวเสริมทันที
“นั่นสิ การนำของพระราชทานมอบให้ผู้อื่น ทำให้เสียหายหรือสูญหายล้วนเป็นการลบหลู่เบื้องบน ตระกูลไป๋แห่งเมืองหลวงส่งของพระราชทานกลับมาเก็บไว้ที่ตระกูลบรรพบุรุษเป็นเรื่องที่เหมาะสม ทว่า ไป๋ฉีอวิ๋นกลับยักยอกของพระราชทานไปเก็บไว้เอง ที่มันโทษประหารชัดๆ หากไม่อาจนำของพระราชทานเหล่านี้มาคืนได้ครบ ข้าคงต้องถวายฎีกาขึ้นไป หวังว่าจวิ้นจู่จะไม่ถือสานะขอรับ”
“ท่านพี่!” ภรรยาของประมุขขาอ่อนแรง จะเป็นอันตรายถึงชีวิตของบุตรชายนางจริงๆ หรือ ภรรยาของประมุขลอบนำของพระราชทานเหล่านั้นส่งกลับไปยังตระกูลฝั่งมารดาอยู่หลายชิ้น น้องชายของนางเป็นคนที่ไม่มีทางคืนของดีๆ มาให้อย่างแน่นอน!
คนอื่นในตระกูลได้ยินดังนี้ก็ตกใจจนวิญญาณแทบหลุดออกจากร่าง ต่างหันไปด่าทอประมุขไป๋ด้วยถ้อยคำหยาบช้า
ไป๋จิ่นจื้อหัวเราะเสียงเย็น “ก่อนหน้านี้ไป๋ฉีอวิ๋นมาที่เมืองหลวง บีบบังคับให้ตระกูลไป๋ขายทรัพย์สมบัติทั้งตระกูลเพื่อรวบรวมเงินให้เขาสี่หมื่นกว่าตำลึง ไป๋ฉีอวิ๋นคงไม่ได้แสดงละครฉากนั้นเพื่อเก็บเงินเอาไว้เองหรอกนะ เงินตั้งหลายหมื่นตำลึงแต่กลับไม่มีวี่แววใดๆ เลย ต่อให้หล่นลงน้ำก็ควรทิ้งร่องรอยไว้บ้างสิ!”
สิ้นเสียง คนตระกูลบรรพบุรุษยิ่งเดือดดาลมากขึ้น กิริยาที่แสดงต่อประมุขไป๋ยิ่งก้าวร้าวมากกว่าเดิม ต่างก่นด่าประมุขไป๋ด้วยถ้วยคำที่เก็บงำด้วยความไม่พอใจมาหลายปี
ภายในหอบรรพชนเต็มไปด้วยเสียงโหวกเหวกโวยวาย ท้องฟ้ามืดสนิท ลมเริ่มแรง ฝนเม็ดเล็กเริ่มตกปรอยลงมาจากฟากฟ้า ทว่า กลับดับโทสะของตระกูลบรรพบุรุษไม่ได้เลย
ร่างผอมเพรียวของไป๋ชิงเหยียนค่อยๆ ลุกขึ้นยืนท่ามกลางแสงไฟสีเหลืองนวล สายห้อยโคมไฟสะบัดแกว่งไปมา แสงไฟสาดส่องไปยังหน้าต่างไม้แกะสลักและพื้นกระเบื้องสีเขียว สะท้อนไปยังใบหน้างดงามสงบนิ่งของไป๋ชิงเหยียน ทั้งดูอ่อนโยนน่าตราตรึง สง่างามและสงบนิ่ง มั่นคงหนักแน่น บารมีน่าเกรงขาม
เมื่อเห็นไป๋ชิงเหยียนลุกขึ้นยืน ทุกคนในตระกูลบรรพบุรุษค่อยๆ สงบลง มองไปทางไป๋ชิงเหยียน ได้ยินหญิงสาวกล่าวขึ้น “เป็นประมุขแต่ไม่เคยทำหน้าที่ประมุขได้อย่างเต็มที่ ไม่เคารพกฎและคำสอนของบรรพบุรุษ ยึดครองของพระราชทานไปเป็นสมบัติของตัวเอง ไม่สั่งสอนคนในตระกูลให้ดี ปกป้องบุตรหลานของตัวเองแบบผิดๆ ปล่อยให้พวกเขาทำเรื่องเลวร้าย จากนั้นตามสะสางเรื่องให้ จนทำให้ตระกูลบรรพบุรุษเน่าเฟะ! ทายาทของตระกูลบรรพบุรุษไร้คุณธรรม กระทำแต่เรื่องชั่วช้า ข่มเหงรังแกชาวบ้าน ทำลายชีวิตผู้คน ทั้งนี้เป็นเพราะประมุขของตระกูลไร้คุณธรรม บกพร่องต่อหน้าที่ ละโมบโลภมาก เห็นแก่ประโยชน์ส่วนตัวมากกว่าส่วนรวม!”
ไป๋ชิงเหยียนหันไปมองประมุขไป๋ที่ใบหน้าซีดเผือด
“ปลดตำแหน่งประมุข ให้เวลาสิบวันในการนำของและเงินที่ยักยอกไปทั้งหมดกลับมาคืนตระกูลบรรพบุรุษ หากไม่นำมาคืนภายในสิบวัน นายอำเภอโจวลงโทษตามกฎหมายได้เลย!”
“ใช่! ต้องคืนมาให้หมด อย่าให้ขาดแม้แต่แดงเดียว!” คนในตระกูลกล่าวอย่างโมโห
“ครั้งนี้ชาวบ้านที่ซั่วหยางต้องทุกข์ทรมานเพราะตระกูลบรรพบุรุษอาศัยบารมีของตระกูลไป๋ บัดนี้โจรป่าออกอาละวาด ราชสำนักไม่มีกำลังคนมากที่จะส่งมาจัดการเรื่องนี้ ไป๋ชิงเหยียนจะใช้เงินที่ประมุขไป๋คนก่อนยักยอกไปก่อนหน้านี้มาใช้ในการกำราบโจรป่า สร้างสันติสุขกลับคืนให้ชาวบ้านทุกคนในซั่วหยางเพื่อเป็นการชดใช้ความผิด!”
“ดีมาก!” ไม่รู้ว่าชาวบ้านคนใดที่อยู่ด้านนอกตะโกนขึ้นมา ชาวบ้านคนอื่นๆ ต่างปรบมือชมเชยขึ้นตามกัน
แม้โจรป่าไม่ได้บุกเข้ามาในเมือง ทว่า รอบเมืองซั่วหยางเต็มไปด้วยโจรป่า ทางการไม่ยอมส่งคนไปปราบปรามเสียที ชาวบ้านต่างรู้สึกไม่ปลอดภัย หากปราบปรามโจรเหล่านี้ได้ ชาวบ้านย่อมรู้สึกปลอดโปร่งโล่งใจอย่างแน่นอน
ไป๋ชิงเหยียนโค้งคำนับชาวบ้านทุกคน จากนั้นเอ่ยเรียกไป๋ชิงผิง
ไป๋ชิงผิงหวั่นวิตก รีบก้าวไปทำความเคารพไป๋ชิงเหยียน “จวิ้นจู่…”
“เรื่องที่ไปฟ้องร้องความผิดของลูกพี่ลูกน้องของเจ้ากับทางการและเรื่องดูแลหย่าเหนียง เจ้าทำได้ดีมาก! กฎหมายไม่สนความสัมพันธ์ครอบครัว พี่น้องทำผิด…เจ้าฟ้องร้อง จัดการเรื่องภายหลังอย่างเหมาะสม สมกับเป็นทายาทของตระกูลไป๋!” ดวงตาลึกล้ำของไป๋ชิงเหยียนจ้องไปทางไป๋ชิงผิงนิ่ง
ไป๋ชิงผิงรู้ลึกเลือดในกายร้อนผ่าว แสบร้อนบริเวณจมูก ก้มหน้าต่ำกว่าเดิม เขายังรู้สึกละอายใจอยู่
“เจ้าอายุยังน้อย บิดาของเจ้าสั่งสอนเจ้าให้กลายเป็นเช่นนี้ ไม่เสียแรงที่เกิดในตระกูลไป๋” สายตาของไป๋ชิงเหยียนหยุดอยู่ที่ไป๋ฉีเหอซึ่งเป็นบิดาของไป๋ชิงผิง
ไป๋ฉีเหอตะลึง เงยหน้ามองไปทางไป๋ชิงเหยียนที่รัศมีรอบกายมีอำนาจน่าเกรงขามไม่ต่างจากเจิ้นกั๋วอ๋องไป๋เวยถิงเลยสักนิด เขาก้มหน้าลงเล็กน้อยพลางยกมือคาราวะไป๋ชิงเหยียน
ผู้ที่ผ่านสนามรบ ผ่านความเป็นความตายมามากมาย ต่อให้อายุยังน้อย ทว่า ยากที่จะปกปิดไอสังหารที่แผ่อยู่รอบกาย
เพราะในสนามรบคือขุมนรกดีๆ นี่เอง หากไม่ใช่คนใจเด็ด ไม่มีทางมีชีวิตรอดกลับมาอย่างปลอดภัยได้อย่างแน่นอน
เม็ดฝนตกลงมาปรอยๆ เสื้อผ้าและผมของชาวบ้านที่อยู่ด้านนอกและคนของตระกูลไปที่อยู่กลางลานหญ้าต่างเปียกปอนไปด้วยน้ำฝน นอกจากพื้นดินที่คนยืนอยู่ยังแห้งสนิท บริเวณอื่นล้วนเปียกชุ่ม
“วันนี้ขับไล่คนออกจากตระกูลมากมาย ประมุขโดนถอนออกจากตำแหน่ง ตระกูลบรรพบุรุษไป๋เสียหายครั้งยิ่งใหญ่ ทว่า ทุกควรรู้ไว้ว่า มีเพียงเปลี่ยนแปลงสิ่งเก่าต้อนรับสิ่งใหม่ ถึงจะซ่อมแซมส่วนที่เสียหายและเริ่มต้นใหม่ได้ นับแต่นี้เป็นต้นไปหวังว่าทุกคนในตระกูลจะจดจำคำสอนของบรรพบุรุษให้ขึ้นใจ จำไว้ว่าตระกูลไป๋รักและปกป้องชาวบ้าน มีคุณธรรม ซื่อสัตย์ โปร่งใส ไม่ละอายต่อฟ้าดินหรือผู้ใดทั้งสิ้น!”
ทุกคนในตระกูลไป๋ต่างพยักหน้ารับ ไม่รู้ว่าเพราะเกรงกลัวบารมีของไป๋ชิงเหยียนหรือเพราะเห็นด้วยกับคำกล่าวของหญิงสาวกันแน่
“ตระกูลบรรพบุรุษไป๋จะเปลี่ยนแปลงการปกครองใหม่ จำต้องมีประมุข ให้ไป๋ฉีเหอดำรงตำแหน่งประมุขไป๋ชั่วคราว” ไป๋ชิงเหยียนมองไปทางไป๋ฉีเหอ
“มีเรื่องอันใดก็ร่วมปรึกษากับผู้อาวุโสในตระกูลไปก่อน เมื่อตระกูลไป๋จากเมืองหลวงย้ายกลับมาซั่วหยางเมื่อใด เราค่อยเลือกประมุขคนใหม่! ต่อไป…ไป๋ชิงเหยียนจะอาศัยอยู่ที่ซั่วหยาง หากได้ยินว่าตระกูลบรรพบุรุษไป๋รังแกชาวบ้านอีก จะไม่มีทางปล่อยไปแน่นอน นอกจากนี้คนในตระกูลไป๋ห้ามช่วยเหลือผู้ที่รังแกชาวบ้านเด็ดขาด หากฝ่าฝืน ประมุขไป๋จะลงโทษขั้นรุนแรง!”
จัดการเรื่องที่ควรจัดการเสร็จแล้ว กล่าวเรื่องที่ควรกล่าวจบแล้ว ไป๋ชิงเหยียนทำความเคารพผู้อาวุโสของตระกูลและชาวบ้าน ปล่อยให้ไป๋ฉีเหอจัดการเรื่องที่เหลือ จากนั้นจึงจากไป
ไป๋ฉีเหอยืนนิ่งอย่างตกตะลึงอยู่ท่ามกลางสายฝน เขาไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าวันหนึ่งตำแหน่งประมุขจะตกมาเป็นของเขา จนเมื่อไป๋ชิงผิงเอ่ยเรียก เขาจึงได้สติขึ้นมา
ภายในรถม้า ไป๋จิ่นจื้อรู้สึกขัดใจ เมื่อนั่งลงจึงกล่าวขึ้นทันที
“เหตุใดพี่หญิงใหญ่ไม่กำจัดครอบครัวของประมุขไป๋ให้สิ้นซากเจ้าคะ เราควรขับไล่ครอบครัวของประมุขไป๋ออกจากตระกูลทั้งครอบครัว เหตุใดถึงให้เขาดำรงตำแหน่งประมุขต่อเจ้าคะ แล้วยังผู้อาวุโสเหล่านั้นอีก ครอบครัวของพวกเขาก็มีคนทำผิดเช่นเดียวกัน เหตุใดจึงไม่ไล่ออกให้หมดเจ้าคะ เช่นนี้ตระกูลไป๋จะได้ใสสะอาดอย่างแท้จริงเจ้าค่ะ!”
ครั้งนี้ไป๋ชิงเหยียนจัดการกับตระกูลบรรพบุรุษไป๋ โดยไม่ใช้ความแค้นส่วนตัวแต่อย่างใด แม้จะดูเหมือนเด็ดขาดแล้ว ทว่า แท้จริงยังไม่ได้ถอนรากถอนโคลน อย่างน้อยก็ยังเหลือคนของครอบครัวประมุขไป๋อยู่ ไป๋จิ่นจื้อรู้สึกไม่พอใจมาก