สตรีแกร่งตระกูลไป๋ - ตอนที่ 394 กะโหลก
“เดี๋ยวข้าลองเอง!” ไป๋ชิงเหยียนกุมมือหลูหนิงฮว่าพลางเอ่ยออกมาเบาๆ “ข้าลองเกลี้ยกล่อมนางเอง”
อย่างไรซะ จี้หลางหวาคือคนที่ไป๋ชิงหมิงเคยช่วยชีวิตเอาไว้ ดังนั้นไป๋ชิงเหยียนจึงมองจี้หลางหวาแตกต่างจากคนอื่น นางไม่อยากให้จี้หลางหวาเอาชีวิตไปทิ้งเช่นนั้น
“ขอบพระคุณคุณหนูใหญ่เจ้าค่ะ” หลูหนิงฮว่ากล่าวขอบคุณ ทว่า ในแววตาไม่ได้มีความหวังใดๆ
ม่านไม้ไผ่ถูกแหวกออก ชุนเถาเดินเข้ามาด้านใน ย่อกายทำความเคารพพลางกล่าวขึ้น
“คุณหนูใหญ่ คนของจวนรัชทายาทส่งคนมาเชิญคุณหนูใหญ่ไปพบเจ้าค่ะ บอกว่ามีข่าวส่งมาจากภูเขาชุนมู่เจ้าค่ะ”
ไป๋ชิงเหยียนกำมือแน่น รัชทายาทส่งคนมาตามนาง...แสดงว่าต้าเหลียงจะลงมือแล้วอย่างนั้นหรือ
“ให้คนเตรียมม้า” ไป๋ชิงเหยียนกล่าว
รัชทายาทวางม้วนไม้ไผ่รายงานสถานการณ์ของภูเขาชุนมู่รบลงบนโต๊ะ ขมวดคิ้วแน่น เดาไม่ออกว่าเหตุใดเสด็จพ่อถึงได้ส่งสารเหล่านี้มาให้เขา
“กงกงข้างกายของเสด็จพ่อบอกว่าเสด็จพ่อกำลังค้นหาตำราโบราณที่บันทึกเกี่ยวกับการทำให้คนแก่กลายเป็นเด็กอีกครั้งของชาวซีเหลียง” รัชทายาทลูบมือไปบนที่วางแขนของเก้าอี้
“เสด็จพ่อไม่สนพระทัยเรื่องบ้านเมืองแล้วอย่างนั้นหรือ”
ฟางเหล่าลูบเคราของตัวเอง หันไปคำนับรัชทายาท
“กระหม่อมคิดว่าฝ่าบาททรงอยากดูว่าองค์ชายจะจัดการเรื่องความบาดหมางที่ชายแดนระหว่างต้าเหลียงและต้าจิ้นไม่ให้กลายเป็นเรื่องใหญ่ได้หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”
ฉินซ่างจื้อซึ่งนั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามฟางเหล่าพยายามควบคุมอารมณ์ไม่ให้กลอกตาใส่ฟางเหล่า ยกมือคาราวะพลางเอ่ยขึ้น
“องค์ชาย เป็นไปได้ว่าฝ่าบาททรงอยากจะทดสอบองค์ชาย ทว่า องค์ชายต้องทรงทำความเข้าใจก่อนว่าเหตุใดต้าเหลียงจึงเลือกรุกรานเราในตอนนี้ จากนั้นค่อยลงมือจัดการพ่ะย่ะค่ะ อย่าคิดเพียงทำให้เรื่องนี้กลายเป็นเรื่องเล็ก เราต้องคำนึงว่าจะจัดการอย่างไรไม่ให้กระทบถึงบ้านเมืองพ่ะย่ะค่ะ เริ่นเซียนเซิงเห็นด้วยหรือไม่”
เริ่นซื่อเจี๋ยนั่งอยู่ด้านข้างฟางเหล่า เขากำลังยกชาขึ้นจิบ จู่ๆ ถูกฟางเหล่าเอ่ยถึง เขาตกใจจนน้ำชาแทบกระเซ็นออกมาจากถ้วย รีบวางถ้วยชาลงพลางกล่าวขึ้น “ฉินเซียนเซิงกล่าวถูกต้องแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
ฟางเหล่ามองไปทางฉินซ่างจื้อแวบหนึ่ง จากนั้นหันมองไปทางเริ่นซื่อเจี๋ย เขาข่มความไม่พอใจเอาไว้แล้วกล่าวออกมา “องค์ชายลองคิดดูนะพ่ะย่ะค่ะ ถึงแม้สุดท้ายแล้วเราจะได้ชัยชนะที่หนานเจียง ทว่า แคว้นต้าจิ้นเสียหายไปมาก กองกำลังทหารไม่เพียงพอ ฝ่าบาทจะทรงอนุญาตให้สองแคว้นทำศึกกันอีกหรือพ่ะย่ะค่ะ หากซีเหลียงถือโอกาสนี้ร่วมมือกับต้าเหลียง แคว้นต้าจิ้นที่ไร้กำลังทหารอย่างเราต้องรับมือกับศัตรูทั้งทางเหนือและใต้เลยหรือพ่ะย่ะค่ะ”
รัชทายาทพยักหน้าอย่างเห็นด้วยกับคำกล่าวของฟางเหล่า
“องค์ชาย เจิ้นกั๋วจวิ้นจู่มาถึงแล้วพ่ะย่ะค่ะ…” เฉวียนอวี๋กระซิบข้างหูของรัชทายาท
“รีบเชิญเจิ้นกั๋วจวิ้นจู่เข้ามา!” เมื่อได้ยินว่าไป๋ชิงเหยียนมาถึงแล้ว รัชทายาทรู้สึกเบาใจไม่น้อย
ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการวางแผนการรบหรือทำศึกสงคราม ผู้ใดจะสู้ไป๋ชิงเหยียนได้กัน
รัชทายาทเห็นไป๋ชิงเหยียนในชุดสีขาวเรียบเดินเข้ามาด้านในพลางทำความเคารพเขา ชายหนุ่มรีบกล่าวขึ้น
“จวิ้นจู่ไม่ต้องมากพิธี รินน้ำชาให้จวิ้นจู่ด้วย!”
ฉินซ่างจื้อทำความเคารพไป๋ชิงเหยียนเสร็จก็สละตำแหน่งถัดจากรัชทายาทให้ไป๋ชิงเหยียนนั่งแทน
ไป๋ชิงเหยียนนั่งลงพลางเอ่ยถาม “เกิดเรื่องใดขึ้นที่ภูเขาชุนมู่เพคะ”
เฉวียนอวี๋ยื่นรายงานทางทหารให้ไป๋ชิงเหยียนด้วยตัวเองอย่างนอบน้อม
ไป๋ชิงเหยียนกล่าวขอบคุณพลางเปิดรายงานอ่านอย่างละเอียด
ทหารม้าลาดตระเวนของต้าเหลียงและต้าจิ้นเกิดเรื่องทะเลาะวิวาทกันขึ้นที่ทางเหนือของภูเขาชุนมู่ หลังจากต่อสู้กันไปยกหนึ่ง พลทหารม้าของต้าจิ้นถูกทหารของต้าเหลียงแทงเสียชีวิตหนึ่งคน พวกเขาจึงจับตัวทหารหน่วยลาดตระเวนทั้งหมดของต้าเหลียงกลับไปยังค่ายทหารของต้าจิ้น แม่ทัพจางตวนรุ่ยเข้าเจรจากับแม่ทัพใหญ่สวินเทียนจางของต้าเหลียง แม่ทัพจางตวนรุ่ยกล่าวว่าทหารผู้นั้นต้องชดใช้ด้วยชีวิต ทว่า แม่ทัพสวินเทียนจางยืนกรานจะนำคนกลับไปอย่างปลอดภัย อ้างว่าต้าเหลียงจะลงโทษเอง
แม่ทัพจางตวนรุ่ยเห็นว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่จึงสั่งให้คนขี่ม้าเร็วมารายงาน ให้ฮ่องเต้เป็นคนตัดสิน
ไป๋ชิงเหยียนอ่านรายงานจนจบ จากนั้นปิดรายงานลง วางลงบนโต๊ะด้านข้าง เอ่ยถามเสียงนิ่งขรึม
“ไม่ทราบว่าแม่ทัพจางตวนรุ่ยสงสัยสิ่งใดถึงให้ฮ่องเต้เป็นคนตัดสินพระทัยในเรื่องนี้ ในเมื่อเรื่องนี้จะเกิดขึ้นบริเวณทางเหนือของภูเขาชุนมู่ก็แสดงว่าทหารของต้าเหลียงลุกล้ำดินแดนเราก่อน สมควรตาย หากแม่ทัพสวินเทียนจางอยากได้ตัวคนคืน นำกะโหลกไปคืนก็สิ้นเรื่อง”
นิ้วมือของรัชทายาทกระตุกเล็กน้อย
ฟางเหล่านึกถึงเรื่องที่ไป๋ชิงเหยียนสังหารทหารยอมจำนนทั้งหมดของซีเหลียงที่หุบเขาเวิ่งขึ้นมา เขารู้สึกกังวลอย่างอดไม่ได้
“จวิ้นจู่กล่าวง่ายเกินไปหรือไม่ขอรับ ส่งกะโหลกไปให้พวกเขา เช่นนั้นสองแคว้นย่อมต้องทำสงครามกันอย่างแน่นอน เราสูญเสียทหารยอดฝีมือจากสงครามหนานเจียงไปมาก ต้าจิ้นยังมีแรงทำสงครามอีกอย่างนั้นหรือ ถึงแม้เราพอรวบรวมกองกำลังทำสงครามในครั้งนี้ได้ ทว่า หากซีเหลียงถือโอกาสนี้เข้ามาซ้ำเติม เราต้องทำสงครามกับสองแคว้น ต้าจิ้นไม่มีทางชนะอย่างแน่นอน! จวิ้นจู่สังหารคนจนเคยชิน เลยคิดแต่จะใช้วิธีรุนแรงเช่นนี้หรือขอรับ!”
“เสด็จพ่อมอบหมายให้เราจัดการเรื่องนี้เพราะต้องการทดสอบเรา เราจะวู่วามไม่ได้เด็ดขาด!” รัชทายาทกล่าวขึ้น
“ใช่พ่ะย่ะค่ะ!” ฟางเหล่าพยักหน้าให้รัชทายาท
“จะทำสงครามหรือไม่ขึ้นอยู่กับดุลพินิจของฝ่าบาท องค์ชายจะด่วนตัดสินพระทัยไม่ได้เด็ดขาดพ่ะย่ะค่ะ หากเราขัดพระราชประสงค์ของฝ่าบาท ทำให้เกิดสงครามขึ้น…ฝ่าบาทอาจทรงโทษว่าเป็นความผิดขององค์ชายได้พะย่ะค่ะ กระหม่อมคิดว่าเราควรจัดการเรื่องนี้ให้สงบโดยเร็วที่สุดและไม่ต้องสร้างผลงานใดๆ ทั้งสิ้นพ่ะย่ะค่ะ มิเช่นนั้นหากทำสิ่งใดที่ต้าเหลียงใช้เป็นข้ออ้างในการเปิดสงครามได้ เรื่องคงไม่จบง่ายๆ แน่พ่ะย่ะค่ะ”
ดวงตาเยือกเย็นคมกริบของไป๋ชิงเหยียนจ้องไปทางฟางเหล่า ไม่ต้องการสร้างผลงาน จัดการเรื่องให้สงบโดยเร็วอย่างนั้นหรือ
นางไม่รู้ว่าเรื่องใหญ่อย่างสงครามที่เกี่ยวข้องกับความเป็นความตายของชายบ้านแทบชายแดน ไม่จำเป็นต้องคำนึงถึงสถานการณ์โดยรวม ไม่จำเป็นต้องห่วงใยชาวบ้านแถบชายแดน ไม่จำเป็นต้องคำนึงถึงเกียรติยศของแคว้น ทว่า ต้องคำนึงถึงความคิดของจักรพรรดิผู้ครองแคว้นเป็นหลักตั้งแต่เมื่อใดกัน!
“ฟางเหล่าคิดว่าควรจัดการเช่นไรดี” รัชทายาทถาม
“ปล่อยทหารของต้าเหลียงกลับไป เตือนพวกเขาว่าหากทำอีก…ต้าจิ้นจะไม่เกรงใจต้าเหลียงพ่ะย่ะค่ะ” ฟางเหล่าอย่างมั่นใจ
ไป๋ชิงเหยียนไม่อยากมีปัญหากับคนถ่อย หญิงสาวกล่าวกับรัชทายาท
“หากแม่ทัพจางตวนรุ่ยตัดสินใจเด็ดขาดตัดศีรษะของทหารผู้นั้นส่งคืนให้ค่ายทหารต้าเหลียงทันทีที่เกิดเรื่องขึ้น เราอาจหลีกเลี่ยงสงครามในครั้งนี้ได้! ทว่า หากทำตามที่ฟางเหล่าแนะนำ…ปล่อยตัวทหารของต้าเหลียงกลับไปและทำเพียงแค่ตักเตือน เราไม่มีทางหลีกเลี่ยงสงครามในครั้งนี้ได้แน่นอนเพคะ”
ผ่านสงครามที่หนานเจียงมาแล้ว รัชทายาทเชื่อใจไป๋ชิงเหยียนมาก เมื่อได้ยินหญิงสาวกล่าวเช่นนี้ เขาจึงรีบถามออกมาอย่างจริงจัง “หมายความเช่นไร”
“ที่ทหารหน่วยลาดตระเวนของต้าเหลียงบุกรุกเข้ามาในแคว้นต้าจิ้นคงเป็นเพราะแม่ทัพสวินเทียนจางต้องการหยั่งเชิงแคว้นต้าจิ้นของเรา ดูว่าหลังจากสงครามที่หนานเจียงจบลง ต้าจิ้นยังมีแรงต่อสู้กับต้าเหลียงต่อได้หรือไม่ หากต้าจิ้นยอมโอนอ่อนหรือยอมถอยให้ต้าเหลียง ต้าเหลียงก็จะบุกโจมตีต้าจิ้นโดยไม่ต้องเกรงกลัวต่อสิ่งใดทั้งสิ้นเพคะ” ไป๋ชิงเหยียนกล่าวเสียงราบเรียบ “ยกตัวอย่างแม่ทัพจางตวนรุ่ย หากกองทัพของต้าจิ้นแข็งแกร่งเหมือนดั่งตอนที่ท่านปู่ ท่านพ่อและพวกท่านอายังมีชีวิตอยู่ จะมีข่าวส่งกลับมารายงานเช่นนี้หรือไม่เพคะ สวินเทียนจางคงได้รับกะโหลกทหารของตัวเองตั้งแต่ตอนที่เกิดเรื่องขึ้นแล้วเพคะ”
รัชทายาทคิดตาม ใจกระตุกวูบ พยักหน้าเล็กน้อย “เป็นเช่นนั้นจริงๆ…”
“ต้าจิ้นส่งแม่ทัพจางตวนรุ่ยไปคุ้มกันภูเขาชุนมู่ ที่สวินเทียนจางไม่ยอมลงมือ ไม่ใช่เพราะเขากำลังหาข้ออ้างในการทำสงครามอยู่ แต่เป็นเพราะเขากำลังหยั่งเชิงกองกำลังของแคว้นต้าจิ้น กระทั่งความเคยชินและนิสัยของทหารเหล่านั้น ในยุคโกลาหลนี้ ผู้ที่แข็งแกร่งกว่าคือผู้ชนะ การโจมตีแคว้นหนึ่งหรือทำลายล้างแคว้นหนึ่งไม่จำเป็นต้องหาข้ออ้างอันใดอีกแล้ว การรู้เขารู้เราถึงจะรบร้อยครั้งชนะร้อยครั้ง”