สตรีแกร่งตระกูลไป๋ - ตอนที่ 425 ไม่สบายใจ
ตอนที่ 425 ไม่สบายใจ
“เพราะคนตระกูลไป๋จงรักภักดีต่อชาวบ้านแคว้นต้าจิ้น ยอมสละชีพเพื่อปกป้องพวกเขา” ไป๋ชิงเหยียนมองไปทางหลิวหงด้วยสายตาจริงจัง “นี่คือสาเหตุว่าเหตุใดฮ่องเต้จึงหวาดระแวงตระกูลไป๋”
“ฮ่องเต้ทรงมอบป้ายอาญาสิทธิ์ให้ซิ่นอ๋องนำไปยังสงครามหนานเยี่ยน ทำให้ท่านปู่ ท่านพ่อ บรรดาท่านอาและน้องชายต้องจบชีวิตลงที่นั่น! บัดนี้เรากำลังทำสงครามกับต้าเหลียงอยู่ ข้าไม่อยากให้เกิดเหตุการณ์เช่นนั้นขึ้นอีก เพราะไม่ว่าจะเป็นแม่ทัพหลิวหงหรือกองทัพต้าจิ้น หรือแม้แต่กองทัพไป๋ของข้า เมื่อมาอยู่ที่นี่ ทุกคนล้วนทำไปเพื่อปกป้องชายแดนและชาวบ้านแถบชายแดนทั้งสิ้น!”
ไป๋ชิงเหยียนกล่าวอย่างตรงไปตรงมาทำให้หลิวหงเริ่มกระวนกระวาย เขากำหมัดแน่น อยากถามไป๋ชิงเหยียนออกไปว่าหากวันหนึ่งชาวบ้านมีชีวิตอยู่อย่างยากลำบาก ตระกูลไป๋จะก่อกบฏโค่นล้มราชวงศ์หลินเพื่อชาวบ้านหรือไม่
ทว่า เขาไม่อาจถามออกไปได้ แม้ในใจเขาจะมีคำตอบอยู่แล้ว แต่หากถามออกไป ในฐานะขุนนางผู้จงรักภักดีต่อฮ่องเต้ เขาต้องทูลรายงานพระองค์ตามความจริง ทว่า เช่นนั้นจะทำให้ตระกูลไป๋ตกอยู่ในอันตราย ดังนั้นเขาจึงเลือกที่จะไม่ถามออกไปแล้วแสร้งทำเป็นไม่รู้เสียดีกว่า
เพราะบนโลกนี้ตระกูลที่จงรักภักดีและมีจิตใจเมตตาดั่งเช่นตระกูลไป๋แทบไม่มีอยู่แล้ว
วันนี้ไป๋ชิงเหยียนกล่าวกับเขาตามตรง หลิวหงก็เริ่มมั่นใจขึ้น ไป๋ชิงเหยียนกล่าวถูกต้อง พวกเขาเดินทางมาที่นี่เพื่อปกป้องชาวบ้านแถบชายแดน แทนที่จะกังวลว่าในภายภาคหน้าหากชาวบ้านมีชีวิตอยู่อย่างลำบากแล้วไป๋ชิงเหยียนจะก่อกบฏหรือไม่ ไม่สู้เอาเวลามาคิดว่าจะขับไล่ข้าศึกกลับไปเช่นไรดีกว่า
ที่สำคัญ หลิวหงเชื่อว่าไม่ว่าจะเป็นจักรพรรดิองค์ปัจจุบันหรือองค์รัชทายาท ถึงแม้ว่าพวกเขาจะไม่ใช่คนที่ยิ่งใหญ่นัก ทว่า ไม่มีทางทำให้ชาวบ้านเดือดร้อนจนตกทุกข์ได้ยากแน่นอน
เขาไม่จำเป็นต้องกังวลในสิ่งที่ยังไม่ได้เกิดขึ้น ไม่ว่าตระกูลไป๋จะจงรักภักดีต่อชาวบ้านหรือฮ่องเต้ แม้คำกล่าวจะดูต่างกัน ทว่า ท้ายที่สุดแล้วก็จงรักภักดีต่อแคว้นต้าจิ้นอยู่ดี
หลิวหงพยักหน้า “ข้าเข้าใจความหมายของจวิ้นจู่แล้วขอรับ! ทว่า จวิ้นจู่อย่ากล่าวถ้อยคำเช่นนี้ต่อหน้าผู้อื่นดีกว่าขอรับ ข้ารับรู้ความจงรักภักดีของจวิ้นจู่และตระกูลไป๋ดี ทว่า หากฮ่องเต้ทรงได้ยินอาจรู้สึกไม่พอพระทัยได้ขอรับ”
“ขอบคุณแม่ทัพหลิวหงที่ชี้แนะ!” ไป๋ชิงเหยียนก้มศีรษะให้เล็กน้อย จากนั้นเอ่ยต่อ “ข้าขออนุญาตพาคนไปดักซุ่มอยู่ตรงทางระหว่างค่ายทหารต้าเหลียงและภูเขาหั่วเสิน หากทหารต้าเหลียงต้องการกลับไปขอกำลังเสริมจากค่ายใหญ่ ข้าจะได้สกัดกั้นไว้ได้เจ้าค่ะ”
หลิวหงรู้ว่าความกังวลของไป๋ชิงเหยียนคือสิ่งที่ถูกต้อง หากไม่ดักซุ่มอยู่ตรงนั้น เมื่อทหารต้าเหลียงจากภูเขาหั่วเสินกลับไปรายงานสถานการณ์ที่ค่ายทหารใหญ่ อย่าว่าแต่เกาอี้เซี่ยนจู่เลย แม้แต่หลินคังเล่อและหวังสี่ผิงก็คงไม่มีโอกาสรอดกลับมา
“ท่านไม่ต้องไปด้วยตัวเองก็ได้! ข้าจะส่งคนไปที่นั่น ท่านวางใจเถิด!” หลิวหงมองไปทางไป๋ชิงเหยียน น้ำเสียงอ่อนโยนลง “ไปพักสักหนึ่งชั่วยาม หนึ่งชั่วยามหลังจากนี้ตามข้าไปพบแม่ทัพใหญ่สวินเทียนจางแห่งต้าเหลียง”
ไป๋ชิงเหยียนกำหมัดรับคำแล้วเดินจากไป
หลิวหงมองดูแผ่นหลังของไป๋ชิงเหยียนเดินจากไป เขาถอนหายใจออกมา ไม่ว่าจะเป็นเจิ้นกั๋วอ๋องไป๋เวยถิง เจิ้นกั๋วกงไป๋ฉีซานหรือแม้แต่เจิ้นกั๋วจวิ้นจู่ไป๋ชิงเหยียนล้วนมีนิสัยตรงไปตรงมาเกินไป มิน่าฮ่องเต้ถึงหวาดระแวงในตระกูลไป๋
เมื่อไป๋ชิงเหยียนเดินออกมาจากที่พักของหลิวหง ท้องฟ้าสว่างสดใสแล้ว
ที่นางกล่าวเช่นนี้กับหลิวหงในวันนี้ก็เพราะเห็นว่าตอนนั้นหลิวหงตามท่านน้าชายต่งชิงเยว่ไปส่งวิญญาณของวีรบุรุษตระกูลไป๋ ในใจของเขาย่อมมีความซื่อสัตย์และความซื่อตรงในการเป็นทหารอยู่
ทุกคนรับรู้ดีว่าท่านปู่ของนางเป็นคนซื่อตรงและซื่อสัตย์ แม้แต่ฉินซ่างจื้อที่ไม่เคยอยู่ในราชสำนักยังรู้เรื่องนี้ หลิวหงจะไม่รู้ได้อย่างไร
ความซื่อสัตย์และตรงไปตรงมาของตระกูลไป๋สลักลึกอยู่ในตัวของทายาทตระกูลไป๋ทุกคน เช่นนั้นนางจึงบอกหลิวหงไปตามตรงว่าที่ตระกูลไป๋ไม่คิดกบฏก็เพื่อชาวบ้านไม่ใช่เพื่อจักรพรรดิ แสดงให้เห็นว่านางมีจุดประสงค์เดียวกับหลิวหง ต้องการขับไล่ต้าเหลียงออกไปจากแคว้น ไม่ให้หลิวหงหวาดระแวงนางมากนัก ชาวบ้านจะได้ไม่ต้องมาเดือดร้อนเพราะการไม่ลงรอยกันของแม่ทัพในกองทัพ
เมื่อครู่หลิวหงเตือนนางว่าอย่ากล่าวถ้อยคำเช่นนี้ต่อหน้าผู้อื่น แสดงว่านางโน้มน้าวใจเขาสำเร็จแล้ว
…
นอกประตูทิศใต้ของเมืองหลวง ซือหม่าผิงจูงม้าหนึ่งตัว บนหลังม้ามีสัมภาระและดาบของเขาผูกอยู่ทั้งสองข้าง ชายหนุ่มเลิกคิ้วมองไปทางหลู่หยวนเผิง
หลู่หยวนเผิงสวมเสื้อผ้าเนื้อหยาบของชาวบ้านธรรมดาและรองเท้าผ้า เขาไม่ได้สวมเครื่องประดับหยกราคาแพงบนศีรษะ ใช้ผ้ามัดศีรษะของตัวเองแทน สะพายย่ามเก่าใบหนึ่งไว้บนบ่า ร่างทั้งร่างดูมอมแมม ไม่เหลือเค้าของคุณชายเจ้าสำราญแห่งเมืองหลวงเลยสักนิด
หลู่หยวนเผิงมองดูเครื่องแต่งกายบนร่างของตัวเอง จากนั้นมองดูซือหม่าผิงที่อยู่ในชุดเครื่องแต่งกายเนื้อผ้าอย่างดี เขารู้สึกว่าตัวเองถูกพี่ชายหลอกเข้าให้แล้ว
“บอกว่าจะปลอมตัวไปเข้าร่วมกองทัพมิใช่หรือ เจ้าดูเสื้อผ้าของเจ้าสิ คุณชายตระกูลสูงศักดิ์อย่างพวกเรา ต่อให้เป็นบ่าวรับใช้ในจวนยังมีเสื้อผ้าที่ดูดีกว่าชาวบ้านธรรมดาเลย! หากต้องการปลอมตัว เจ้าต้องเปลี่ยนม้า สัมภาระและเครื่องแต่งกายของเจ้าเดี๋ยวนี้!”
หลู่หยวนเผิงเลียนแบบเสียงพี่ชายของตัวเอง กล่าวกับซือหม่าผิง ในใจรู้สึกไม่เป็นธรรมอย่างมาก
ซือหม่าผิงเม้มปากแน่น เขานึกไม่ถึงเลยว่าหลู่หยวนเผิงจะทำถึงขั้นนี้เพื่อเข้าร่วมกองทัพ เขาเดินจูงม้าของตัวเองเข้าไปตบบ่าหลู่หยวนเผิง “หยวนเผิง เจ้าสารภาพมาตามตรงว่าเจ้าถูกพี่ชายของเจ้าหลอกใช่หรือไม่”
“เจ้านะสิถูกพี่ชายหลอก!” หลู่หยวนเผิงกล่าวอย่างโมโห
“ต่อให้พวกเราต้องการปลอมตัวเพื่อไปเข้าร่วมกองทัพ แต่จำเป็นต้องเปลี่ยนเครื่องแต่งกายตั้งแต่ตอนนี้เลยหรือ รอให้ใกล้ถึงแล้วค่อยเปลี่ยนไม่ได้หรืออย่างไร ที่สำคัญหากไม่มีม้า เจ้าจะเดินเท้าเปล่าไปหนานเจียงหรืออย่างไร เจ้าไม่ใช้เวลาเป็นสิบปีเลยหรือ!”
หลู่หยวนเผิงตะลึง ดูเหมือนจะเป็นเช่นนั้น…
ซือหม่าผิงถอนหายใจออกมา “ท่านปู่ของเจ้าออกจะฉลาด เหตุใดจึงมีหลานชายโง่เขลาอย่างเจ้านะ”
หลู่หยวนเผิงนิ่งคิดด้วยสีหน้าบึ้งตึง เขารู้สึกไม่ชอบมาพากล
“ข้ารู้สึกว่าท่านพี่ไม่อยากให้ข้าไปหนานเจียงแต่อยากให้ไปเป่ยเจียงแทน” จู่ๆ หลู่หยวนเผิงก็กล่าวกับซือหม่าผิงด้วยสีหน้าจริงจัง “ตอนที่ข้าจะออกเดินทาง ท่านพี่บอกข้าว่าราชสำนักกำลังเกณฑ์คนไปรบที่เป่ยเจียง บอกว่าสงครามที่เป่ยเจียงกำลังวุ่นวาย ข้าสามารถใช้โอกาสนี้สร้างผลงานในสนามรบได้ อีกทั้งยังบอกอีกว่าบัดนี้พี่สาวไป๋อยู่ที่เป่ยเจียง จากนั้นเขาก็ไม่ได้ให้ม้าและเงินแก่ข้า ให้เพียงนามปลอมหวังซานแก่ข้าเท่านั้น ท่านพี่ต้องการให้ข้าไปสมัครเข้าร่วมกองทัพเพื่อเดินทางไปเป่ยเจียงใช่หรือไม่”
สีหน้าของซือหม่าผิงเคร่งเครียด รู้สึกไม่ชอบมาพากลเช่นเดียวกัน
หลู่หยวนเผิงต้องการไปเข้าร่วมกับกองทัพไป๋ที่หนานเจียงก็เพื่อติดตามไป๋ชิงเหยียน ทว่า หลู่หยวนชิ่งกลับบอกหลู่หยวนเผิงว่าตอนนี้ไป๋ชิงเหยียนอยู่ที่เป่ยเจียง จุดประสงค์ของเขาชัดเจนยิ่งนัก
หลู่หยวนเผิงนิ่งคิดจากนั้นเอ่ยขึ้น “พวกเราไปเป่ยเจียงดีหรือไม่ เจ้าเตรียมฐานะของตัวเองไว้แล้วหรือไม่”
ซือหม่าผิงพยักหน้า “หม่าซาน!”
หลู่หยวนเผิง “…”
เหตุใดถึงมีซานเหมือนกัน ตั้งนามปลอมอย่างลวกๆ ถึงเพียงนี้เชียวหรือ
“เจ้าไปเปลี่ยนเครื่องแต่งกาย เราจะไปสมัครเป็นทหารไปรบที่เป่ยเจียงด้วยกัน” หลู่หยวนเผิงเปิดสัมภาระที่ตัวเองนำมาออก จากนั้นยัดเสื้อคลุมตัวหนึ่งให้ซือหม่าผิง “รีบไปเปลี่ยน เสร็จแล้วจะได้ไปสมัครกัน!”
ซือหม่าผิงมองดูเครื่องแต่งกายที่มอมแมมของหลู่หยวนเผิงแวบหนึ่ง เขารู้สึกไม่อยากเปลี่ยนเป็นเครื่องแต่งกายเช่นนี้สักเท่าใด แต่สุดท้ายก็ยอมเปลี่ยนอยู่ดี