สตรีแกร่งตระกูลไป๋ - ตอนที่ 527 มีเหตุผล
ตอนที่ 527 มีเหตุผล
รถม้าหยุดนิ่งลง ชุนเถาประคองไป๋ชิงเหยียนออกมาจากตัวรถม้า ใบหน้าของต่งเหล่าไท่จวินส่อแววดีใจยิ่งกว่าเดิม รีบเดินลงมาจากบันไดสูง เอ่ยเรียกหลานสาวด้วยความดีใจ “อาเป่า…”
“ช้าหน่อยเจ้าค่ะท่านแม่” ใบหน้าของชุยซื่อเต็มไปด้วยรอยยิ้มเช่นเดียวกัน นางและต่งชิงเยว่ช่วยกันประคองต่งเหล่าไท่จวินเดินลงจากบันได
ตั้งแต่ที่รู้ว่าไป๋ชิงเหยียนไม่ยินดีแต่งงานกับต่งฉางหยวน ชุยซื่อจึงคลายกังวล หากไม่ใช่แม่สามีแต่เป็นฐานะน้าสะใภ้ ชุยซื่อยังคงชอบไป๋ชิงเหยียนเหมือนเดิม
การที่นางทะเลาะกับต่งชิงเยว่ส่งผลกระทบให้ต่งฉางหลานสอบได้ไม่ดี ทว่า ไป๋ชิงเหยียนช่วยแก้ปัญหาให้จนต่งฉางหยวนสอบได้ลำดับดีและเป็นที่หมายตาของฮ่องเต้
ต่อมาต่งฉางหลานและต่งซื่อส่งจดหมายติดต่อกันหลายฉบับ ต่งชิงเยว่และชุยซื่อจึงล้มเลิกความคิดหย่าร้าง
ชุยซื่อรู้สึกเอ็นดูไป๋ชิงเหยียนที่รู้ความและมีเหตุผลมากขึ้นกว่าเดิมเสียอีก
“ท่านยาย!” เมื่อไป๋ชิงเหยียนเห็นต่งเหล่าไท่จวินที่ยังดูแข็งแรงและแจ่มใสจึงรีบลงมาจากรถม้า ยิ้มกว้างราวกับเด็กเล็กๆ ต่งเหล่าไท่จวินกุมมือของหลานสาวแน่น
“เหตุใดถึงไม่พาหมัวมัวมาด้วยสักคน ถงหมัวมัวเก่งมากมิใช่หรือ” ต่งเหล่าไท่จวินขมวดคิ้วถาม
“ถงหมัวมัวอายุมากแล้วเจ้าค่ะ เดิมทีข้าอยากให้ชุนเถาอยู่สอนงานสาวใช้ใหม่ที่จวนแล้วเดินทางมาคนเดียวด้วยซ้ำเจ้าค่ะ ขี่ม้าเร็วกว่านั่งรถม้ามากนัก ข้ากังวลว่าพาถงหมัวมัวและชุนเถามาด้วยจะทำให้การเดินทางล่าช้ากว่าเดิมเจ้าค่ะ ทว่า ชุนเถาดึงดันจะตามมาด้วย ข้าจึงให้นางตามมาเจ้าค่ะ”
ไป๋ชิงเหยียนตอบคำถามของต่งเหล่าไท่จวิน จากนั้นหันไปย่อกายทำความเคารพต่งชิงเยว่และชุยซื่อ “ท่านน้าชาย ท่านน้าสะใภ้”
ต่งเหล่าไท่จวินหันไปมองชุนเถายิ้มๆ ใบหน้าเต็มไปด้วยความสุข “เป็นเด็กที่ดีมาก!”
ชุนเถาถูกต่งเหล่าไท่จวินชมจนใบหน้าแดงก่ำ รีบย่อกายทำความเคารพ “คารวะต่งเหล่าไท่จวินเจ้าค่ะ!”
“พี่หญิง!” ต่งฉางเม่า บุตรชายอนุของต่งชิงเยว่ซึ่งอายุพอๆ กับต่งฉางหลานก้าวไปโค้งกายทำความเคารพไป๋ชิงเหยียนด้านหน้า
ใบหน้าของต่งฉางเม่าไม่ได้สง่างามเท่ากับต่งฉางหลาน ทว่า ถือเป็นชายหนุ่มรูปงามคนหนึ่ง เขาสวมชุดคลุมยาวลายไม้ไผ่สีเทาดำ ให้ความรู้สึกสุขุมนุ่มลึกและเป็นผู้ใหญ่กว่าวัย
บุตรสาวอนุต่งถิงอวิ๋นและต่งถิงจือก้าวไปทำความเคารพไป๋ชิงเหยียนเช่นเดียวกัน
ต่งถิงจือสวมชุดกระโปรงสีส้มอ่อน เกล้าผมเป็นมวยกลม มีเพียงปิ่นหยกเล่มหนึ่งประดับบนศีรษะ ดูขี้อายเล็กน้อย
ส่วนต่งถิงอวิ๋นซึ่งยืนอยู่ข้างกายของต่งเหล่าไท่จวินแต่งกายงดงามกว่ามาก เสื้อท่อนบนสีแดงปักด้วยลายก้อนเมฆสีทองบริเวณชายขอบ ด่านล่างเป็นกระโปรงสีแดงปักลายผีเสื้อสีทอง บนศีรษะประดับด้วยทับทิมแดงสะดุดตา เมื่อทำความเคารพเสร็จจึงหยัดกายขึ้นพลางกล่าวกับไป๋ชิงเหยียนยิ้มๆ “พี่หญิงมาถึงเสียทีนะเจ้าคะ ท่านย่าเอาแต่บ่นถึงพี่หญิงทุกวันเลยเจ้าค่ะ!”
หรงเจี๋ยก้าวไปด้านหน้า เอ่ยถามไป๋ชิงเหยียนยิ้มๆ “พี่หญิงเดินทางราบรื่นดีหรือไม่เจ้าคะ เหตุใดจึงไม่พาองครักษ์มามากกว่านี้เจ้าคะ”
“อย่ามัวคุยกันอยู่ตรงนี้เลย!” ต่งเหล่าไท่จวินอารมณ์ดี รอยยิ้มบนใบหน้าที่มีแต่รอยเหี่ยวย่นกว้างมากขึ้น หญิงชรากุมมือไป๋ชิงเหยียนพลางมองสำรวจร่างของหญิงสาวจนทั่ว “พวกเราไปคุยกันต่อที่ด้านในเถิด”
ต่งเหล่าไท่จวินกอดไป๋ชิงเหยียนไม่ยอมปล่อยมือ พาหลานสาวเดินไปยังเรือนหลังพลางหันไปสั่งให้บ่าวรับใช้จัดอาหารที่ไป๋ชิงเหยียนชอบขึ้นโต๊ะโดยเร็วที่สุด
ต่งชิงเยว่ซึ่งเดินตามอยู่ข้างๆ เอาแต่ยิ้ม ไม่กล่าวสิ่งใดทั้งสิ้น เมื่อเห็นสีหน้าของไป๋ชิงเหยียนสดใสกว่าตอนที่อยู่เมืองหลวง เขาก็รู้ทันทีว่าจดหมายที่พี่สาวเขียนมากบอกว่าไป๋ชิงเหยียนร่างกายแข็งแรงขึ้นทุกวันไม่ใช่เป็นเพียงการปลอบ
ต่งถิงอวิ๋นอยู่ข้างกายของเสี่ยวชุยซื่อ เอ่ยถามถึงเรื่องสงครามที่หนานเจียงและเป่ยเจียงกับไป๋ชิงเหยียนอย่างไม่เกรงกลัว ต่งเหล่าไท่จวินกุมมือของไป๋ชิงเหยียนแน่นพลางหันไปเอ็ด “พี่หญิงของเจ้าเพิ่งเข้ามาในจวน ยังไม่ทันได้พักผ่อนเลย เหตุใดจึงถามมากมายเช่นนี้”
ต่งถิงอวิ๋นใช้ผ้าเช็ดหน้าปิดปากยิ้ม ทำหน้าทะเล้นใส่ต่งเหล่าไท่จวิน “พอพี่หญิงมาถึง ท่านย่าก็รังเกียจที่ข้าเจื้อยแจ้วเลยนะเจ้าคะ! พี่หญิงดูสิเจ้าคะ ปกติท่านย่ามักกล่าวว่าข้าเป็นตัวสร้างสีสัน ท่านย่าเห็นว่าพี่หญิงงามกว่าข้าจึงไม่สนใจข้าแล้วใช่หรือไม่เจ้าคะ”
ไป๋ชิงเหยียนยิ้มน้อยๆ ไม่ได้กล่าวสิ่งใด
เสี่ยวชุยซื่อยกมือเขกไปที่ศีรษะของต่งถิงอวิ๋นเบาๆ ทว่า ไม่กล้าต่อว่าต่งถิงอวิ๋นซึ่งถูกเลี้ยงดูอยู่ข้างกายของต่งเหล่าไท่จวินมากนัก
ตระกูลต่งเป็นตระกูลที่มั่งคั่งและมีมาช้านาน การออกแบบศาลา กำแพง และเรือนต่างๆ ล้วนเป็นรูปแบบโบราณ ดูสง่างาม ทว่า ไม่โอ้อวดจนเกินไป
ต่งเหล่าไท่จวินกล่าวว่าต่งถิงอวิ๋นพูดมาก ทว่า ตนเองกลับถามไป๋ชิงเหยียนไปตลอดทาง เมื่อเดินมาถึงเรือนของต่งเหล่าไท่จวิน ไป๋ชิงเหยียนจึงขอตัวไปอาบน้ำเปลี่ยนเครื่องแต่งกายที่ห้องซึ่งต่งเหล่าไท่จวินเตรียมเอาไว้ให้
ต่งเหล่าไท่จวินรักไป๋ชิงเหยียนมาก เดิมทีชุยซื่อและเสี่ยวชุยซื่อตั้งใจจะเตรียมเรือนให้ไป๋ชิงเหยียนแยกพักส่วนตัว ทว่า ต่งเหล่าไท่จวินอยากให้หลานสาวอยู่ข้างกาย ไม่อยากให้อยู่ห่างจากสายตา ดังนั้นจึงให้หลานสาวพักที่เรือนของตน
ไป๋ชิงเหยียนเปลี่ยนเครื่องแต่งกายที่เต็มไปด้วยฝุ่นเป็นชุดกระโปรงสีขาวหิมะ จากนั้นจับมือของชุนเถาเดินไปยังห้องพักของต่งเหล่าไท่จวิน ภายในห้องกำลังครึกครื้น ไม่รู้ว่าผู้ใดนำน้ำบ๊วยเย็นเข้ามาในห้อง ต่งเหล่าไท่จวินจึงสั่งให้บ่าวยกออกไปทั้งหมด ให้คนนำนมร้อนมาแทน จากนั้นหันไปกำชับลูกสะใภ้ หลานสะใภ้และหลานสาวอีกสองคนว่าหากไป๋ชิงเหยียนไปที่เรือนของพวกนางต้องสั่งให้คนนำน้ำแข็งออกไป
ต่งเหล่าไท่จวินจำได้เสมอว่าไป๋ชิงเหยียนทนความหนาวไม่ได้ ห้ามให้นางสัมผัสกับของเย็นเหล่านั้นเด็ดขาด ไป๋ชิงเหยียนรู้สึกอุ่นวาบในหัวใจ
“คุณหนูเปี่ยว!” หมัวมัวข้างกายของต่งเหล่าไท่จวินรีบแหวกม่านออกไปต้อนรับไป๋ชิงเหยียน หวังหมัวมัวแต่งกายเรียบร้อย ใบหน้ากลมอุดมสมบูรณ์ ดูมีเมตตาและใจดีมาก
ม่านไม้ไผ่กระทบกันจนเกิดเสียง ทุกคนในห้องจึงหันไปมองทางประตู ไป๋ชิงเหยียนเดินอ้อมฉากกั้น แหวกม่านผืนบางเข้ามาด้านใน
เสี่ยวชุยซื่อรีบลุกขึ้นยืนต้อนรับ “พี่หญิง มานั่งข้างท่านย่าตรงนี้เจ้าค่ะ…”
ไป๋ชิงเหยียนพยักหน้าให้ยิ้มๆ เดินเข้าไปหาต่งเหล่าไท่จวิน หญิงสาวถูกรั้งเข้าไปถามไถ่สารทุกข์สุกดิบอีกพักใหญ่ จากนั้นจึงหันไปสั่งให้สาวใช้ที่ต่งเหล่าไท่จวินสั่งให้มาดูแลนางนำของขวัญที่เตรียมมาให้ทุกคนในตระกูลต่งเข้ามา เมื่อทุกคนรับประทานอาหารและแยกย้ายกันไปหมดแล้ว ไป๋ชิงเหยียนก็ยังหาจังหวะกล่าวเรื่องสำคัญกับท่านน้าชายต่งชิงเยว่ไม่ได้เสียที
ต่งเหล่าไท่จวินรั้งไป๋ชิงเหยียนให้อยู่คุยในห้องต่อ หวังหมัวมัวใช้ข้ออ้างเรื่องฝีมือเย็บปักของชุนเถา พาชุนเถาออกไปขอให้นางสอนการเย็บลายดอกไม้ให้
กระถางธูปหอมทรงสัตว์มงคลสีทองตั้งอยู่กลางห้อง ควันธูปลอยอบอวลไปทั่วห้อง
เมื่อผ้าม่านลูกปัดในห้องหยุดแกว่งสนิท ไป๋ชิงเหยียนจึงกล่าวเรื่องที่ตนอยากรับต่งเหล่าไท่จวินไปอยู่ซั่วหยางสักระยะ
ต่งเหล่าไท่จวินนั่งอยู่บนเตียงไม้ วางศอกลงบนโต๊ะไม้จันทน์ตัวเล็กด้านข้าง วางถ้วยชาในมือลงแล้วกล่าวยิ้มๆ “ยายแก่แล้ว คงเดินทางไกลขนาดนั้นไม่ไหวอีก เมื่อใดที่อาเป่าแต่งงาน ยายค่อยไปซั่วหยางก็แล้วกัน! อาเป่ามาครั้งนี้ก็อยู่เป็นเพื่อนยายให้นานหน่อย ยายไม่รู้ว่าจะมีชีวิตอยู่ได้นานอีกเท่าใด”