สตรีแกร่งตระกูลไป๋ - ตอนที่ 633 บารมีไม่ธรรมดา
ตอนที่ 633 บารมีไม่ธรรมดา
ไป๋ชิงเหยียนมองไปทางวังหลวงที่กระหน่ำไปด้วยเสียงสู้รบ ไม่กล่าวสิ่งใดทั้งสิ้น
แม่ทัพคุ้มกันเมืองโมโห ทว่า ไม่กล้ากล่าวสิ่งใดออกมา ได้แต่ยืนกำหมัดแน่นอยู่ข้างไป๋ชิงเหยียน
เมืองหลวงในตอนนี้วุ่นวายกว่าทุกครั้งที่เคยมีมา เต็มไปด้วยเสียงฆ่าฟัน เสียงร้องอย่างเจ็บปวด เสียงกระทบกันของอาวุธและเสียงวัตถุกระทบประตูเมืองดังปนเปกันไปหมด
เมืองหลวงที่เคยครึกครื้นบัดนี้กลับเงียบสนิท นอกจากประตูอู่เต๋อของวังหลวงแล้ว ที่อื่นๆ ล้วนเงียบสงัด
ผ่านไปครึ่งชั่วยาม เสียงสู้รบจากวังหลวงดังขึ้นกว่าเดิม แม่ทัพคุ้มกันเมืองอดทนต่อไปไม่ไหว เขารีบคุกเข่าลงตรงหน้าไป๋ชิงเหยียน “องค์หญิงเจิ้นกั๋ว หากทรงรอช้าอีกต่อไป ฝ่าบาทและองค์รัชทายาทอาจตกอยู่ในอันตรายได้นะพ่ะย่ะค่ะ!”
องครักษ์ไป๋ที่ดักซุ่มอยู่ที่ประตูอู่เต๋อรีบขี่ม้าตรงมายังประตูเมืองทิศตะวันออก กล่าวรายงาน “คุณหนูใหญ่ เสียนอ๋องและเหลียงอ๋องนำทัพเข้าไปช่วยเหลือฝ่าบาทและองค์รัชทายาทในวังหลวงโดยกล่าวว่าซิ่นอ๋องเป็นกบฏแล้วขอรับ”
เป็นเหตุผลที่ชอบธรรมจริงๆ
หวังว่าราชครูถานและฟางเหล่าจะมองออกว่าหากเสียนอ๋องเป็นขุนนางที่ภักดี เขาจะนำทัพมาจากที่ใดกัน หวังว่าพวกเขาจะสั่งให้หน่วยตรวจเมืองระวังเสียนอ๋อง อย่าหลงเชื่อคำกล่าวของเสียนอ๋องเด็ดขาด
“เสียนอ๋องและเหลียงอ๋องนำทัพเข้าวังไปช่วยฝ่าบาทและองค์รัชทายาทแล้ว! ช่างดีจริงๆ เสียนอ๋องเคยสร้างความดีความชอบเพราะช่วยชีวิตฝ่าบาท ครั้งนี้ต้องปกป้องฝ่าบาทและองค์รัชทายาทให้ปลอดภัยได้แน่นอน!” แม่ทัพคุ้มกันเมืองเริ่มมีความหวัง ในที่สุดเขาก็ไม่ต้องฝากความปลอดภัยของฮ่องเต้และองค์รัชทายาทไว้ที่ไป๋ชิงเหยียนแล้ว
ไป๋ชิงเหยียนหันไปสั่งองครักษ์ไป๋เสียงดังลั่น “ไปบอกใต้เท้าหลู่ที่ศาลต้าจิ้นว่าข้าขอเชิญบรรดาแม่ทัพค่ายผิงอันมาที่ประตูเมืองทิศตะวันออก จากนั้นจุดดอกไม้ไฟขึ้นฟ้าสามครั้ง เรียกเหล่าทหารของค่ายผิงอันเข้ามาในเมือง…”
แม่ทัพคุ้มกันเมืองปรายตามองไป๋ชิงเหยียนด้วยแววตาเย็นชา คราวนี้เริ่มรีบร้อนเรียกรวมตัวทหารผิงอันแล้ว เมื่อครู่เขาคุกเข่าขอร้อง ไป๋ชิงเหยียนยังไม่แสดงท่าทีใดๆ ตอนนี้ได้ยินว่าเสียนอ๋องและเหลียงอ๋องนำทัพเข้าไปช่วยในวังหลวง ไป๋ชิงเหยียนคงกลัวถูกแย่งผลงานถึงได้รีบร้อนเพียงนี้!
เมื่อทุกอย่างสงบเรียบร้อย เขาจะทูลเรื่องนี้ให้องค์รัชทายาททราบ ให้องค์รัชทายาทตบรางวัลให้เสียนอ๋องและเหลียงอ๋องอย่างงาม อย่าได้ยกย่องคนที่ไม่สนใจความปลอดภัยขององค์รัชทายาทและฮ่องเต้อย่างไป๋ชิงเหยียนเด็ดขาด
เมื่อเห็นฝุ่นตลบบริเวณค่ายพักแรมของทหารผิงอัน ไป๋ชิงเหยียนรู้ทันทีว่าฝูรั่วซีนำทหารค่ายผิงอันมุ่งหน้ามายังเมืองหลวงแล้ว
ไป๋ชิงเหยียนหันหลังกลับก็เห็นแม่ทัพคุ้มกันเมืองมองมาทางนางด้วยสายตาเย็นชา ไป๋ชิงเหยียนเดาความคิดของเขาออก ทว่า นางไม่อยากสนใจ
รองแม่ทัพของแม่ทัพคุ้มกันเมืองกล่าวออกมาอย่างอดไม่ได้ “ท่านแม่ทัพคงไม่ได้คิดว่าเสียนอ๋องและเหลียงอ๋องจะนำทัพเข้าไปช่วยองค์รัชทายาทจริงๆ หรอกนะขอรับ!”
แม่ทัพคุ้มกันเมืองถูกรองแม่ทัพถามจนอึ้งไปครู่หนึ่ง เมื่อได้สติเขารีบตบหน้าผากของตัวเองและเดินตามไป๋ชิงเหยียนไป
เขาร้อนใจจนเลอะเลือนไปแล้วถึงได้คิดว่าเสียนอ๋องและเหลียงอ๋องจะเข้าไปช่วยองค์รัชทายาท เสียนอ๋องนำกองทัพหนานตูมาซ่อนตัวอยู่ในเมืองหลวงล่วงหน้าเช่นนี้ เขาไม่มีทางเข้าวังไปเพื่อช่วยเหลือองค์รัชทายาทและฮ่องเต้อย่างแน่นอน
“ขออภัยพ่ะย่ะค่ะองค์หญิงเจิ้นกั๋ว กระหม่อมคิดอย่างคนเห็นแก่ตัวเกินไปพ่ะย่ะค่ะ”
ฝูรั่วซีนำทหารกองทัพผิงอันมุ่งหน้าเข้ามาในเมืองอย่างรวดเร็ว เขาเห็นไป๋ชิงเหยียนซึ่งนั่งอยู่บนหลังม้ารอเขาอยู่ที่หน้าประตูเมืองที่เปิดกว้างมาแต่ไกล
ฝูรั่วซีกุมบังเหียนม้าด้วยมือเพียงข้างเดียว ควบม้าทะยานเข้าไปหาไป๋ชิงเหยียน
เมื่อแม่ทัพคุ้มกันเมืองมองเห็นว่าผู้ที่ขี่ม้าเข้ามาใกล้คือฝูรั่วซีที่สูญเสียแขนไปข้างหนึ่ง เขาหน้าเปลี่ยนสีทันที รีบตะโกนบอกไป๋ชิงเหยียน “องค์หญิงเจิ้นกั๋วรีบกลับเข้ามาในเมืองพ่ะย่ะค่ะ! นั่นคือฝูรั่วซี! กบฏฝูรั่วซีพ่ะย่ะค่ะ!”
แม่ทัพคุ้มกันเมืองตะโกนลั่นด้วยใบหน้าที่ตึงเครียด “พลธนูเตรียมพร้อม!”
ไป๋ชิงเหยียนยกมือขึ้นส่งสัญญาณไม่ให้แม่ทัพคุ้มกันเมืองร้อนรน
ทว่า ใจของแม่ทัพคุ้มกันเมืองเต้นรัว สองมือกำขอบกำแพงแน่น “องค์หญิงเจิ้นกั๋ว!”
เมื่อเห็นฝูรั่วซีขี่ม้าเข้ามาหาไป๋ชิงเหยียนเพียงคนเดียว จากนั้นลงจากหลังม้า คุกเข่าข้างหนึ่งลงบนพื้นเพื่อทำความเคารพไป๋ชิงเหยียน ใจที่เต้นรัวของแม่ทัพคุ้มกันเมืองก็ยังคงเต้นแรงเช่นเดียว
ไป๋ชิงเหยียนลงจากหลังม้า ประคองฝูรั่วซีให้ลุกขึ้น “ลำบากแม่ทัพฝูแล้ว!”
“องค์หญิงเจิ้นกั๋วชี้ทางรอดให้กระหม่อมและครอบครัว กระหม่อมตระหนักดีแก่ใจพ่ะย่ะค่ะ ทหารสองหมื่นนายของค่ายผิงอันยินดีทำตามคำสั่งขององค์หญิงเจิ้นกั๋วพ่ะย่ะค่ะ!”
บัดนี้คือยามเฉิน[1] แล้ว ทว่า ท้องฟ้าเหนือเมืองหลวงยังสว่างไม่ทั่วบริเวณ บนท้องฟ้ายังคงมีเมฆปกคลุมทึบบางพื้นที่ราวกับกำลังจะมีพายุฝนเกิดขึ้น
ดวงตาคมกริบราวกับเหยี่ยวของเยว่สือที่ยืนกำดาบเฝ้าอยู่บนกำแพงของจวนองค์หญิงเจิ้นกั๋วกวาดมองไปทั่วทุกทิศอย่างหวาดระแวง
ทันใดนั้นเขาเห็นกองทัพที่เดินเรียงรายอย่างพร้อมเพรียงกำลังมุ่งหน้ามาทางจวนองค์หญิงเจิ้นกั๋ว เขาขยับกายไปซ่อนตัวใต้หลังคาจวน กวาดสายตามองไปรอบๆ จากนั้นหันไปตะโกนเรียกเซียวหรงเหยี่ยน “มีทหารมุ่งหน้ามาทางจวนองค์หญิงเจิ้นกั๋วประมาณห้าร้อยนายขอรับ!”
โคมไฟหนังแกะที่ห้อยอยู่ใต้หลังคาของจวนองค์หญิงเจิ้นกั๋วส่ายไปมาตามแรงลม ร่างสูงโปร่งของเซียวหรงเหยี่ยนยืนอยู่ตรงระเบียงทางเดินด้วยท่าทีสบายๆ ดวงตาล้ำลึกนิ่งขรึม
เซียวหรงเหยี่ยนเดาไว้เหมือนกันว่าเสียนอ๋องและเหลียงอ๋องอาจส่งคนมาจับตัวสตรีของจวนไป๋เป็นตัวประกันเพื่อข่มขู่ไป๋ชิงเหยียน ทว่า ชายหนุ่มไม่คิดว่าพวกนั้นจะส่งคนมาจริงๆ
หลูผิงจำคำสั่งที่ไป๋ชิงเหยียนกำชับไว้ก่อนจากไปได้ว่าหากจวนองค์หญิงเจิ้นกั๋วมีการเปลี่ยนแปลงให้ส่งคนไปแจ้งให้นางทราบ หลูผิงจึงรีบหันไปสั่ง “ไปรายงานให้คุณหนูใหญ่ทราบ”
ทว่า เขาได้ยินเซียวหรงเหยี่ยนเอ่ยรั้งคนไว้ด้วยเสียงหนักแน่น “หยุดอยู่ตรงนั้น!”
องครักษ์ไป๋ที่เตรียมจากไปชะงักฝีเท้าลงทันที เขาและหลูผิงหันไปมองใบหน้าที่สมบูรณ์แบบของเซียวหรงเหยี่ยนอย่างพร้อมเพรียงกัน
พวกเขาเห็นเพียงเซียวหรงเหยี่ยนชักดาบออกมาจากเอว ยืนนิ่งอยู่ที่เดิม ทว่า ไอสังหารที่แผ่ออกมาช่างน่าหวาดกลัวยิ่งนัก
ชายหนุ่มกล่าวเสียงขรึมด้วยใบหน้าที่เคร่งเครียด “คุณหนูใหญ่ของพวกเจ้ากำลังเสี่ยงอันตรายทำการใหญ่อยู่ด้านนอก หากพวกเจ้าต้องการช่วยเหลือนางก็อย่านำเรื่องเหล่านี้ไปทำให้นางเสียสมาธิเด็ดขาด! พวกเจ้าควรช่วยนางปกป้องจวน คุ้มครองคนในตระกูลไป๋ อย่าเป็นตัวถ่วงของนางเด็ดขาด!”
แต่ไรมาหลูผิงล้วนเชื่อฟังคำสั่งของไป๋ชิงเหยียน นอกจากเจิ้นกั๋วอ๋อง เจิ้นกั๋วกงและคุณหนูใหญ่แล้ว นี่เป็นครั้งแรกที่หลูผิงเห็นคนที่น่าเกรงขามและดูมีบารมีไม่ธรรมดาเช่นนี้!
ไม่นานเสียงฝีเท้าที่พร้อมเพรียงดังใกล้เข้ามาเรื่อยๆ
หลูผิงกำหมัดแน่น เขายอมรับว่าเซียวหรงเหยี่ยนกล่าวมีเหตุผล เขาหันไปพยักหน้าให้องครักษ์ไป๋ ชักดาบออกมาจากเอว จากนั้นตะโกนเสียงดังลั่น “พวกเราเคยเป็นทหารของกองทัพไป๋ ทุกคนล้วนได้รับบาดเจ็บไม่มากก็น้อย เจิ้นกั๋วอ๋องและเจิ้นกั๋วกงเมตตาพวกเราจึงให้พวกเรามาเป็นองครักษ์ของตระกูลไป๋ วันนี้หากผู้ใดต้องการบุกรุกเข้ามาในจวนไป๋ พวกเราจะต้านทานไว้ด้วยชีวิต!”
“ยกเหล้าขึ้นไปบนบันได อย่าส่งเสียงเอะอะเด็ดขาด เมื่อกบฏพวกนั้นเข้ามาใกล้ จงโยนไหเหล้าใส่พวกมันทันที!” องครักษ์ไป๋คนหนึ่งตะโกนลั่น
บรรดาองครักษ์ไป๋ถือเหล้าคนละหนึ่งไหก้าวขึ้นไปซ่อนตัวบนบันไดที่วางพาดกำแพงจวนอยู่ ทุกคนขบกรามแน่น รอเวลาที่กบฏเหล่านั้นลงมือโจมตีจวนองค์หญิงเจิ้นกั๋ว ขอเพียงคนพวกนั้นย่างกรายเข้ามาในซอยนี้ พวกเขาจะใช้น้ำมันราดตัวพวกมันและยิงธนูไฟเผาทั้งเป็น
โชคดีที่ก่อนหน้านี้บุรุษของตระกูลไป๋ล้วนไม่ได้อยู่ในจวน ต่อมาตระกูลไป๋ไว้ทุกข์ ในจวนไป๋จึงมีเหล้าเหลืออยู่มากมาย ที่สำคัญกำแพงจวนสูงมากพอที่จะต้านพวกเขาไว้ได้สักระยะหนึ่ง
“พลธนูเตรียมพร้อม!” หลูผิงตะโกนลั่น
[1] ยามเฉิน เวลาระหว่าง 07.00-09.00 นาฬิกา