สตรีแกร่งตระกูลไป๋ - ตอนที่ 641 มีความดีความชอบมากที่สุด
ตอนที่ 641 มีความดีความชอบมากที่สุด
ฝูรั่วซีอยู่ใกล้ไป๋ชิงเหยียนมากที่สุด เขาเห็นแขนที่สั่นอย่างควบคุมไม่ได้ของไป๋ชิงเหยียนจึงขมวดคิ้วแน่น ขยับเข้าไปใกล้หญิงสาวพลางเอ่ยถามเสียงเบา “องค์หญิงเจิ้นกั๋วได้รับบาดเจ็บหรือพ่ะย่ะค่ะ”
ไป๋ชิงเหยียนยืนเอามือไขว้หลังด้วยท่าทีสงบนิ่ง ซ่อนมือที่สั่นระริกไว้ทางด้านหลัง ส่ายหน้าให้ฝูรั่วซี กวาดสายตามองไปยังทหารหนานตูที่คุกเข่าลงบนพื้นอย่างยอมจำนน จากนั้นกล่าวด้วยสีหน้าสงบนิ่ง
ฟ่านอวี๋ไหวที่สูญเสียดวงตาไปข้างหนึ่งเห็นเหตุการณ์สงบลงแล้ว เมื่อเขาได้ยินเสียงร้องไห้ของเหลียงอ๋องจึงได้สติขึ้นมาทันที “จับตัวเหลียงอ๋องไว้!”
“เสด็จพ่อช่วยลูกด้วยพ่ะย่ะค่ะ ลูกไม่รู้เรื่องพ่ะย่ะค่ะ…ลูกตั้งใจมาช่วยเสด็จพ่อและเสด็จพี่องค์รัชทายาทจริงๆ นะพ่ะย่ะค่ะ! ลูกไม่ทราบจริงๆ ว่าเสียนอ๋องจะกบฏพ่ะย่ะค่ะ!”
การกระทำเช่นคนถ่อยของเหลียงอ๋องอยู่ในความคาดหมายของไป๋ชิงเหยียน
ต่อให้ครั้งนี้ฮ่องเต้ใจอ่อน ทว่า องค์รัชทายาทไม่มีทางปล่อยเหลียงอ๋องไว้แน่ ไป๋ชิงเหยียนจึงไม่กังวล
ฟ่านอวี๋ไหวเดินเข้าไปใกล้ไป๋ชิงเหยียน กำหมัดคารวะ “องค์หญิงเจิ้นกั๋ว!”
ไป๋ชิงเหยียนเห็นใบหน้าของฟ่านอวี๋ไหวเต็มไปด้วยเลือด สายตาหยุดอยู่ที่ดวงตาข้างที่สูญเสียไปของฟ่านอวี๋ไหว “ใต้เท้าฟ่านเป็นเช่นไรบ้าง”
“มิเป็นอันใดมากพ่ะย่ะค่ะ” บัดนี้ดวงตาของฟ่านอวี๋ไหวเจ็บจนแทบทนไม่ไหว ทว่า เทียบกับการเสียชีวิตแล้ว การเสียตาไปเพียงข้างเดียวถือว่าโชคดีมากแล้ว หากเมื่อครู่ทหารไม่ได้กระชากตัวเขาให้หลบ บัดนี้เขาคงตายภายใต้คมดาบของเสียนอ๋องไปแล้ว
ฟ่านอวี๋ไหวมองเห็นฝูรั่วซีที่ยืนอยู่ข้างไป๋ชิงเหยียนจึงเอ่ยถามหญิงสาวเสียงเบา “องค์หญิงเจิ้นกั๋ว แม่ทัพฝู…”
“การมาช่วยเหลือฝ่าบาทและองค์รัชทายาทในครั้งนี้ ฝูรั่วซีคือคนที่มีความดีความชอบมากที่สุด”
ไป๋ชิงเหยียนกล่าวเพียงประโยคเดียว ทว่า ฟ่านอวี๋ไหวเข้าใจในทันที เขาพยักหน้า “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ การเก็บกวาดสถานที่ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของหน่วยตรวจเมืองเถิดพ่ะย่ะค่ะ องค์หญิงเจิ้นกั๋วและแม่ทัพฝูรีบเข้าไปหาฝ่าบาท องค์รัชทายาทและองค์หญิงใหญ่เถิดพ่ะย่ะค่ะ พวกเขาจะได้สบายพระทัยพ่ะย่ะค่ะ”
ไป๋ชิงเหยียนพยักหน้า มองไปทางฝูรั่วซี…
ฝูรั่วซีกำหมัดแน่น มองไปทางไป๋ชิงเหยียนท่ามกลางสายฝนที่ตกกระหน่ำเช่นเดียวกัน
“ไปเถิด!” ไป๋ชิงเหยียนกล่าวกับฝูรั่วซี จากนั้นหมุนกายเดินขึ้นไปบนบันได
บรรดาแม่ทัพค่ายผิงอันต่างมองไปทางฝูรั่วซี หวังว่าความดีความชอบในครั้งนี้ของพวกเขาจะแลกกับชีวิตของฝูรั่วซีได้
หลิ่วผิงเกาเดินเข้าไปใกล้ฝูรั่วซีแล้วกล่าวขึ้น “ท่านแม่ทัพยอมรับผิดกับฝ่าบาทและองค์รัชทายาทด้วยความจริงใจ ฝ่าบาทต้องทรงเห็นแก่ที่ท่านแม่ทัพยกทัพมาช่วยเหลือในครั้งนี้ตัดสินโทษท่านใหม่แน่นอนขอรับ!”
ฝูรั่วซีส่งดาบของตัวเองให้หลิ่วผิงเกา พยักหน้าน้อยๆ จากนั้นเดินตามไป๋ชิงเหยียนไปทางตำหนักใหญ่โดยที่หน่วยตรวจเมืองและกองกำลังรักษาพระองค์คอยหลีกทางให้ตลอดทาง
ไป๋ชิงเหยียนหยุดยืนอยู่หน้าประตูตำหนักที่ปิดสนิท คุกเข่าข้างหนึ่งลงบนพื้น ตะโกนเสียงดังลั่น “ไป๋ชิงเหยียน ฝูรั่วซียกทัพมาช่วยเหลือ ฝ่ายกบฏยอมจำนนแล้ว ฝ่าบาทและองค์รัชทายาทได้โปรดเปิดประตูตำหนักด้วยเพคะ”
“นักโทษฝูรั่วซียกทัพมาช่วยเหลือ ฝ่ายกบฏยอมจำนนแล้ว ฝ่าบาทและองค์รัชทายาทได้โปรดเปิดประตูตำหนักด้วยพ่ะย่ะค่ะ”
“ฝูรั่วซี!” องค์รัชทายาทหันไปทางฟางเหล่า ฝูรั่วซีคือคนที่ต้องการสังหารเขาก่อนหน้านี้
ฟางเหล่ากำหมัดแน่นเช่นเดียวกัน ทว่า เมื่อนึกได้ว่าองค์หญิงใหญ่อยู่ที่นี่เช่นเดียวกัน เขาจึงไม่ได้กังวลมากนัก
ภายในตำหนัก ใจขององค์หญิงใหญ่กระตุกวูบ นางได้ยินฮ่องเต้ตรัสขึ้น “เชิญองค์หญิงเจิ้นกั๋วและแม่ทัพฝูรั่วซีเข้ามา”
องค์หญิงใหญ่รีบถือไม้เท้าเดินไปทางประตูตำหนัก “รีบเปิดประตูเร็วเข้า!”
ขันทีในตำหนักรีบช่วยกันเปิดประตูแกะสลักดอกไม้บานใหญ่ของตำหนักออก
ขณะที่ประตูถูกเปิดออกกลิ่นคาวเลือดที่แม้แต่น้ำฝนที่ตกหนักยังชะล้างไม่เกลี้ยงลอยเข้ามาในตำหนักผ่านสายลมที่เย็นชื้น เปลวไฟตะเกียงในตำหนักดับมืดลงชั่วครู่ จากนั้นสว่างขึ้นอีกครั้ง เปลวไฟในตะเกียงส่องสว่างในตำหนักของฮ่องเต้จนทั้งตำหนักสะท้อนไปด้วยแสงไฟที่อบอุ่น
องค์หญิงใหญ่เห็นร่างของไป๋ชิงเหยียนที่คุกเข่าอยู่หน้าตำหนัก ร่างของหลานสาวของนางเปียกชุ่มไปทั้งร่าง ดูไม่ออกว่าเลือดที่ติดอยู่บนเกราะสีเงินคือเลือดของนางหรือผู้อื่นกันแน่ องค์หญิงใหญ่แทบทรงตัวไม่อยู่ ขอบตาร้อนผ่าวขึ้นทันที
“องค์หญิงใหญ่!” เจี่ยงหมัวมัวรีบถลาเข้าไปประคององค์หญิงใหญ่
องค์หญิงใหญ่ส่งไม้เท้าให้เจี่ยงหมัวมัว เดินเกาะขอบประตูตำหนักออกไปด้านนอกตำหนัก จากนั้นประคองไป๋ชิงเหยียนให้ลุกขึ้น นางมองสำรวจไป๋ชิงเหยียนตั้งแต่หัวจรดเท้า ใช้มือเช็ดเลือดสดที่เกราะสีเงินของไป๋ชิงเหยียนที่แม้แต่น้ำฝนก็ไม่อาจชำระล้างจดสะอาดได้ จากนั้นทัดปอยผมที่เปียกชื้นของหลานสาวที่คลอเคลียอยู่บริเวณลำคอไปไว้ด้านหลังใบหู กล่าวเสียงสะอื้น “ได้รับบาดเจ็บที่ใด”
ไม่รอให้ไป๋ชิงเหยียนเอ่ยตอบ องค์หญิงใหญ่สัมผัสกับแขนที่สั่นเทาไม่หยุดของไป๋ชิงเหยียนเข้าพอดี นางรีบยกแขนของไป๋ชิงเหยียนมาสำรวจด้วยสีหน้าซีดเผือด จากนั้นเอ่ยถาม “ได้รับบาดเจ็บตรงที่ใด หมอหลวง…หมอหลวง!”
“ท่านย่า!” มืออีกข้างหนึ่งของไป๋ชิงเหยียนกุมมือขององค์หญิงใหญ่ไว้ “ท่านย่า ข้าแค่ใช้แรงมากเกินไปเท่านั้น ไม่จำเป็นต้องตามหมอหลวงหรอกเจ้าค่ะ”
ฝนตกหนักมากเกินไป เสียงของไป๋ชิงเหยียนจึงไม่ได้แว่วออกไปไกลนัก ไป๋ชิงเหยียนต้องการข่มขวัญของกองทัพหนานตูทำให้เกิดการสูญเสียน้อยที่สุด หญิงสาวจึงจำต้องยกร่างของเสียนอ๋องขึ้นจากพื้นให้กองทัพหนานตูได้เห็น ให้พวกเขารู้สึกหวาดกลัว ไม่กล้าสู้รบอีก!
ทว่า ถึงแม้ไป๋ชิงเหยียนจะผูกถุงทรายไว้ตามร่างทุกวัน การยกร่างของเสียนอ๋องขึ้นจากพื้นก็เกินกำลังของหญิงสาวอยู่ดี เมื่อเวลานั้นผ่านพ้นไป แขนของหญิงสาวจึงสั่นระริก ไม่มีแรงแม้แต่น้อยราวกับสูญเสียแขนข้างนี้ไปแล้ว
แม้กระทั่งการเอามือไปไขว้ไว้ทางด้านหลังยังต้องใช้แรงอย่างมหาศาล
หากท่านปู่ยังมีชีวิตอยู่…ท่านต้องดุที่นางทำเช่นนี้อย่างแน่นอน
ไป๋ชิงเหยียนมองออกว่าองค์หญิงใหญ่เป็นห่วงนางอย่างแท้จริง ทว่า ท่านย่าของนางคือองค์หญิงใหญ่ ท่านไม่สามารถดุด่าที่นางทุ่มเทแรงกายมากถึงเพียงนี้ต่อหน้าทุกคนในตำหนักของฮ่องเต้ได้ ท่านได้แต่กัดฟันข่มน้ำตาไม่ให้ไหลออกมา “ฝ่าบาทกำลังรอเจ้าอยู่ เข้าไปเถิด!”
เฉวียนอวี๋ยืนอยู่หน้าตำหนักเช่นเดียวกัน เมื่อเห็นแขนของไป๋ชิงเหยียนตอนที่หญิงสาวก้าวเข้าไปในตำหนักไม่ได้เคลื่อนไหวตามจังหวะการเดินของหญิงสาว ขอบตาของเขาร้อนผ่าวขึ้นทันที เขารีบเดินเข้าไปหยุดอยู่ข้างกายองค์รัชทายาท เอ่ยกระซิบเสียงแผ่วเบา “องค์ชาย ดูเหมือนว่าองค์หญิงเจิ้นกั๋วได้รับบาดเจ็บที่แขนพ่ะย่ะค่ะ!
ฮ่องเต้หันไปทางผ้าม่านซึ่งมีไว้สำหรับกันลมหนาว จากนั้นกล่าวขึ้น “แหวกม่านขึ้น”
เกาเต๋อเม่ารีบสั่งให้ขันทีเล็กเปิดม่านผืนบางสีเหลืองขึ้น องค์หญิงใหญ่จูงไป๋ชิงเหยียนเดินเข้ามาด้านใน ฝูรั่วซีซึ่งแขนขาดไปหนึ่งข้างเดินตามอยู่เบื้องหลัง ชุดนักรบของทั้งคู่เปื้อนไปด้วยเลือด ร่างทั้งร่างเปียกโชก
ก่อนหน้านี้ไป๋ชิงเหยียนกำชับฝูรั่วซีไว้แล้วว่าขอเพียงเขากล่าวตามคำของฝูเหล่าไท่จวิน ฮ่องเต้ต้องยกโทษให้เขาอย่างแน่นอน
ฮ่องเต้เห็นแก่ที่ฝูรั่วซีนำทัพมาช่วยเหลือในครั้งนี้ เขาย่อมยกโทษให้ฝูรั่วซีและตระกูลฝูแน่นอน
ฮองเฮาส่งคนไปสังหารฝูรั่วซีในคุกศาลต้าหลี่ แสดงว่านางต้องการตัดสัมพันธ์กับฝูรั่วซีอย่างเด็ดขาด ฝูรั่วซีไม่ติดค้างฮองเฮาอีกต่อไป
ฝูรั่วซีตั้งมั่นอยู่ในใจว่าหากครั้งนี้เขามีชีวิตรอดไปได้ เขาจะดูแลเมียและลูกของตัวเองให้ดีตามที่ฝูเหล่าไท่จวินเคยสั่งเสียไว้
ฝูรั่วซีมองไปยังร่างผอมบางที่คุกเข่าอยู่ตรงหน้าฮ่องเต้ หากครั้งนี้เขามีโอกาสรอดชีวิต เขาจะบุกน้ำลุยไฟไปพร้อมกับไป๋ชิงเหยียน
เขารู้ดีว่าไป๋ชิงเหยียนเป็นคนมีปณิธานที่ยิ่งใหญ่เช่นเดียวกับเจิ้นกั๋วอ๋องไป๋เวยถิงผู้ล่วงลับไปแล้ว