สตรีแกร่งตระกูลไป๋ - ตอนที่ 646 ถูกประณามตลอดชีวิต
ตอนที่ 646 ถูกประณามตลอดชีวิต
ทว่า หากให้แม่ทัพหลิวหงออกคำสั่งสังหารทหารเกือบสองหมื่นนาย เขาเอ่ยปากไม่ได้จริงๆ
ฮ่องเต้ตรัสว่าให้ลงมือทำเรื่องนี้อย่างลับๆ ทว่า คนจำนวนมากเช่นนี้ ผู้อื่นจะไม่รับรู้ได้อย่างไรกัน
การสังหารทหารกบฏยอมจำนนในครั้งนี้ไม่เหมือนกับการสังหารทหารยอมจำนนของซีเหลียงที่หุบเขาเวิ่งของไป๋ชิงเหยียน ไป๋ชิงเหยียนทำไปเพื่อปกป้องชายแดนของต้าจิ้น หญิงสาวต้องเอาชนะให้ได้ด้วยกำลังทหารที่น้อยกว่า
ทว่า หากแม่ทัพหลิวหงยกมือให้สัญญาณ ธนูนับหมื่นที่พุ่งออกไป…คือการสังหารทหารแคว้นเดียวกัน
หากขุนนางบันทึกเรื่องราวของเขาลงไปในบันทึก ชื่อเสียงของเขาคงถูกประณามไปตลอดชีวิต
บรรดาทหารกองกำลังรักษาพระองค์และกองทัพหนานตูเบียดกันอยู่ที่ด้านล่างกำแพง เมื่อเห็นประตูขั้นที่สองด้านหลังของพวกเขาปิดสนิทลงแล้ว ทว่า ประตูหย่งติ้งกลับไม่เปิดออกเสียที พวกเขาถูกกักอยู่ระหว่างสองประตู ทุกคนจึงแหงนหน้ามองไปบนกำแพง ทว่า ฝนตกหนักเกินไปจึงมองไม่ชัด
“แม่ทัพหลิวหง จะลังเลไม่ได้แล้วพ่ะย่ะค่ะ!” ลูกน้องของหลิวหงกระซิบริมใบหู “หากมัวชักช้า อาจมีคนสงสัยขึ้นมาได้ คนหนึ่งหมื่นแปดพันนายไม่ใช่จำนวนน้อยๆ หากมีคนจับสังเกตได้อาจเกิดความวุ่นวายขึ้น เรารีบจบเรื่องนี้เถิดขอรับ”
หลิวหงหลับตาลง ขบกรามแน่น ยกมือขึ้น จากนั้นตะโกนลั่น “พลธนูเตรียมพร้อม!”
ลูกน้องของหลิวหงตะโกนขึ้นเช่นเดียวกัน “พลธนูเตรียมพร้อม!”
ฝนที่ตกหนักไม่อาจกลบเสียงของหลิวหงและลูกน้องของเขาได้
พลธนูที่เตรียมพร้อมอยู่บนกำแพงรีบเดินไปด้านหน้า เล็งธนูคมไปยังบรรดาทหารยอมจำนนของกองทัพหนานตูและกองกำลังรักษาพระองค์ซึ่งในชุดสีขาวไร้เสื้อเกราะและอาวุธที่ยืนอยู่ด้านล่างกำแพง
“พวกนั้นจะทำสิ่งใด”
“พวกนั้นจะสังหารพวกเรา!”
กองกำลังรักษาพระองค์จับสังเกตได้
“ว่าอย่างไรนะ! จะสังหารพวกเราอย่างนั้นหรือ!”
บรรดาทหารในชุดสีขาวที่อยู่ใต้กำแพงวุ่นวายขึ้นทันที ต่างพากันตะโกนขึ้นไปบนกำแพง
“องค์หญิงเจิ้นกั๋วตรัสว่าหากยอมจำนนจะไม่สังหาร พวกเรายอมจำนนแล้ว พวกเจ้าจะสังหารพวกเราได้อย่างไร!”
“สารเลว กลับคำเช่นนี้ได้อย่างไรกัน!”
นายสิบคนหนึ่งของกองกำลังรักษาพระองค์ที่สีหน้าซีดเผือดพยายามควบคุมสติของตัวเอง เขามองไปทางประตูหย่งติ้งพลางตะโกนลั่น “พวกเรา! ประตูหย่งติ้งอยู่ด้านหน้า หากรออยู่ตรงนี้มีแต่ตายกับตาย หากพังประตูหย่งติ้งได้ พวกเราอาจมีโอกาสรอด พังประตูเร็วเข้า!”
นายสิบกล่าวจบก็วิ่งไปยังประตูหย่งติ้งเป็นคนแรก เขาใช้ร่างกระแทกประตูหย่งติ้งอย่างแรง
บรรดาทหารหนึ่งหมื่นแปดพันนายในชุดสีขาวที่เปียกปอนไปทั้งร่างต่างใช้ร่างกายกระแทกประตูหย่งติ้งที่แข็งแรงทนทานและที่มีอายุหลายร้อยปีอย่างแรง
ทหารที่อยู่ด้านหน้าล้มลงบนพื้น ทหารที่อยู่ด้านหลังรีบถลาเข้าพังประตูแทนโดยเหยียบไปบนร่างของทหารที่ล้มลงจนบริเวณนั้นเต็มไปด้วยเสียงร้องด้วยความเจ็บปวด
“ท่านแม่ทัพ!” ลูกน้องของหลิวหงเห็นเหตุการณ์วุ่นวายตรงหน้าจึงรีบหันไปเร่งหลิวหง “ท่านแม่ทัพ จะรอช้าไม่ได้แล้วนะขอรับ!”
หลิวหงขบกรามแน่น มองดูความวุ่นวายตรงหน้า มองดูทหารยอมจำนนในชุดขาวถูกเหยียบจนตาย ทหารที่วิ่งไปกระแทกประตูชุดแรกถูกทหารที่อยู่ด้านหลังเบียดจนตาย…
วันนี้ทั้งๆ ที่ประตูหย่งติ้งไม่ได้มีสงคราม ทว่า เลือดสดกลับนองไปทั่วบริเวณ
แทนที่จะให้พวกเขาตายไปทั้งอย่างนี้ ไม่สู้ให้พวกเขาตายไปอย่างมีเกียรติจะดีกว่า หยาดน้ำตาไหลลงบนแก้มของหลิวหง
“รีบกระแทกสิ ไม่เช่นนั้นพวกเราได้ตายอยู่ในนี้แน่ๆ!” ทหารยอมจำนนด้านล่างกำแพงตะโกนลั่น
“พลธนูหยุดก่อน” ไป๋ชิงเหยียนตะโกนเสียงดังลั่น “อย่ายิง!”
พลธนูของกองกำลังรักษาพระองค์ได้ยินเสียงของไป๋ชิงเหยียนจึงหันไปทำความเคารพ “องค์หญิงเจิ้นกั๋ว”
“คุณหนูใหญ่!” องครักษ์ไป๋ยกมือเบิกตาโพลงชี้ไปทางแม่ทัพหลิวหงที่กำลังให้สัญญาณทหาร จากนั้นจะกล่าวอย่างร้อนรน “ไกลเกินไป แม่ทัพหลิวหงไม่ได้ยินเสียงพวกเราขอรับ”
ไป๋ชิงเหยียนหันไปหาพลธนูข้างกายที่กำลังเล็งยิงไปทางด้านล่างกำแพง หญิงสาวแย่งธนูมาจากมือของพลธนู จากนั้นก้าวขึ้นไปยืนบนกำแพงด้วยมือเพียงข้างเดียว หญิงสาวข่มความเจ็บปวดที่แขน ง้างสายธนูเต็มเหนี่ยว หญิงสาวพยายามควบคุมแขนที่สั่นระริกและยกไม่ขึ้นให้นิ่งที่สุด จากนั้นยิงธนูไปทางแม่ทัพหลิวหง
ลูกธนูลอยผ่านสายฝนไปยังเบื้องหน้าของแม่ทัพหลิวหงอย่างรวดเร็ว ลูกธนูลอยผ่านมือที่กำลังลดลงเพื่อให้สัญญาณของแม่ทัพหลิวหงไปอย่างเฉียดฉิว จากนั้นหล่นลงบนพื้น
แม่ทัพหลิวหงรีบหันกลับไปมองจึงเห็นไป๋ชิงเหยียนที่ร่างเปียกปอนยืนง้างสายธนูอยู่บนกำแพงเมือง ชายเสื้อที่เปียกน้ำฝนถูกลมพัดจนสยายขึ้น หลิวหงรีบลดมือลง ใจเต้นรัวราวกับฟ้าผ่า ดวงตาส่อแววยินดีขึ้นมา เขารีบวิ่งไปหาไป๋ชิงเหยียน
พลธนูต่างลดธนูลง จากนั้นหันไปทำความเคารพไป๋ชิงเหยียน
บรรดาทหารที่กำลังพังประตูหย่งติ้งอยู่ด้านล่างกำแพงเห็นร่างผอมเพรียวยืนอยู่บนกำแพง พวกเขาเบิกตาโพลงทันที ต่างพากันชี้ไปบนกำแพง “ดูบนกำแพง นั่นคือองค์หญิงเจิ้นกั๋ว!”
“พลธนูบนกำแพงลดธนูลงแล้ว!”
“องค์หญิงเจิ้นกั๋วมาห้ามไม่ให้พวกนั้นสังหารพวกเราใช่หรือไม่”
“น่าจะ…ใช่นะ องค์หญิงเจิ้นกั๋วตรัสว่าจะไม่สังหารทหารยอมจำนน”
บรรดาทหารกองทัพหนานตูและกองกำลังรักษาพระองค์ที่อยู่ด้านล่างกำแพงค่อยๆ สงบลง พวกเขาเงยหน้ามองไปบนกำแพง รอดูโอกาสสุดท้ายในชีวิตของพวกเขา
เมื่อไป๋ชิงเหยียนเห็นแม่ทัพหลิวหงเดินเข้ามา หญิงสาวกัดฟันข่มความเจ็บปวด โยนธนูคืนให้ทหารรักษาพระองค์ จากนั้นกระโดดลงจากกำแพงจนเกือบเซล้มลง
“คุณหนูใหญ่!” องครักษ์ไป๋รีบประคองไป๋ชิงเหยียน รู้สึกว่าคุณหนูใหญ่ของพวกเขาสั่นเทิ้มไปทั้งร่าง ไม่รู้ว่าเหงื่อหรือน้ำฝนกำลังหยดลงบนใบหน้าที่ซีดเผือดของหญิงสาวกันแน่
ตอนที่ไป๋ชิงเหยียนยกร่างของเสียนอ๋องขึ้นจากพื้น หญิงสาวได้รับบาดเจ็บที่แขนเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว บัดนี้ยังต้องฝืนร่างกายยิงธนูดอกเมื่อครู่อีก หญิงสาวเจ็บแขนจนแทบจะหยุดหายใจแล้ว
“มิเป็นอันใด!” ไป๋ชิงเหยียนกำหมัดแน่น ข่มความเจ็บปวดเดินไปหาแม่ทัพหลิวหงช้าๆ ทว่า มั่นคง
หลิวหงรู้ว่าไป๋ชิงเหยียนมีความดีความชอบในการยกทัพไปช่วยเหลือฮ่องเต้ในครั้งนี้ เขาได้ยินว่าตอนที่ไป๋ชิงเหยียนสังหารเสียนอ๋อง หญิงสาวกล่าวว่าจะไม่สังหารทหารยอมจำนน หญิงสาวฝ่าสายฝนที่ตกหนักมาในตอนนี้เพราะต้องการมายับยั้งการนองเลือด มาช่วยเหลือคนอย่างแน่นอน!
เดิมทีหลิวหงก็ไม่อยากสังหารกองทัพหนานตูและกองกำลังรักษาพระองค์เหล่านี้อยู่แล้ว เมื่อเขาเห็นไป๋ชิงเหยียนในเวลานี้ย่อมดีใจเป็นธรรมดา
“องค์หญิงเจิ้นกั๋ว” หลิวหงโค้งกายคำนับหญิงสาว “ฝ่าบาททรงมีรับสั่งให้ไว้ชีวิตคนเหล่านี้ใช่หรือไม่พะย่ะค่ะ”
ไป๋ชิงเหยียนส่ายหน้า “ข้าเกรงว่าหากไปทูลขอร้องฝ่าบาทก่อนคงไม่ทันการ ข้าจึงมาห้ามแม่ทัพหลิวก่อน จากนั้นค่อยเข้าวังไปขอทูลขอฝ่าบาท”
เมื่อหลิวหงได้ยินเช่นนี้ ประกายในดวงตาของเขาหายวับทันที “กระหม่อมโน้มน้าวฝ่าบาทแล้วพะย่ะค่ะ ทว่า ฝ่าบาททรงยืนกรานเช่นเดิม แม้แต่องค์รัชทายาท…”
“ข้าเป็นคนกล่าวว่าจะไม่สังหารทหารยอมจำนน ข้าจะปกป้องทหารเหล่านี้เอง!” ไป๋ชิงเหยียนกล่าวกับแม่ทัพหลิวหง “ไป๋ชิงเหยียนจะทูลขอความเมตตาจากฝ่าบาทให้ได้ ก่อนที่ข้าจะกลับมา แม่ทัพหลิวหงโปรดคุ้มครองชีวิตของทหารเหล่านี้ด้วย ไป๋ชิงเหยียนจะรับผิดชอบเรื่องทุกอย่างเอง”
หลิวหงรู้ดีว่าฮ่องเต้หวาดระแวงในตระกูลไป๋และไป๋ชิงเหยียน ขนาดคำโน้มน้าวของเขาฮ่องเต้ยังไม่ฟัง พระองค์จะฟังคำของไป๋ชิงเหยียนได้อย่างไรกัน ทว่า ปล่อยให้ไป๋ชิงเหยียนลองดูก็ได้ อย่างน้อยก็ยังพอมีหวังอยู่บ้าง
เครื่องแต่งกายชุดใหม่ของไป๋ชิงเหยียนเปียกชื้นไปทั้งชุด เดิมทีหญิงสาวควรดูสะบักสะบอม ทว่า ไป๋ชิงเหยียนกลับยืนนิ่งอยู่ตรงนั้นอย่างสง่าผ่าเผย แววตาเต็มไปด้วยความเยือกเย็นและสงบนิ่ง