สตรีแกร่งตระกูลไป๋ - ตอนที่ 648 ทำให้ศิโรราบ
ตอนที่ 648 ทำให้ศิโรราบ
“หืม?” แววตาของรัชทายาทไม่มีรอยยิ้ม “เจ้าแข็งแรงขึ้นมากแล้วอย่างนั้นหรือ มียาวิเศษอันใดหรือไม่”
ไป๋ชิงเหยียนส่ายหน้า “ไม่มียาวิเศษอันใดหรอกเพคะ ท่านหมอหงกล่าวว่าน่าจะเป็นผลพลอยได้จากการติดตามองค์ชายไปออกรบที่หนานเจียงเพคะ ระหว่างเดินทางเหยียนเดินเท้าตลอดเวลา ร่างกายจึงแข็งแรงขึ้นกว่าเมื่อก่อนมากเพคะ”
ไป๋ชิงเหยียนเดินตามรัชทายาทพลางกล่าวไปพลาง “ที่สำคัญช่วงนี้เหยียนไม่เคยหยุดฝึกฝนร่างกาย ได้แต่หวังว่าสวรรค์จะให้เวลาเหยียนอีกสักพัก ให้เหยียนได้ติดตามรับใช้องค์ชายนานกว่านี้ ให้เหยียนได้สอนและฝึกฝนบรรดาน้องสาว หากวันหน้าเหยียนไม่อยู่แล้ว เมื่อข้างกายขององค์ชายไม่มีนักรบที่ใช้งานได้ พวกนางจะได้ช่วยองค์ชายได้เพคะ”
ไป๋ชิงเหยียนไม่ได้ปิดบังเรื่องที่นางร่างกายแข็งแรงมากกว่าเดิมกับรัชทายาท ทั้งยังกล่าวว่าอยากมีชีวิตอยู่ต่อนานกว่านี้เพื่อสอนบรรดาน้องสาว ให้รัชทายาทมีคนใช้งาน จู่ๆ รัชทายาทก็รู้สึกว่าตัวเองและฟางเหล่าเป็นคนใจแคบมาก
“เราหวังว่าเจ้าจะมีชีวิตอยู่ต่อไปกับเราอีกนาน” รัชทายาทกล่าวกับไป๋ชิงเหยียน ใบหน้าปรากฏรอยยิ้มอบอุ่นขึ้น น้ำเสียงจริงใจกว่าเดิม “เรายังหวังให้เจ้ามีทายาทอยู่นะ”
ไป๋ชิงเหยียนได้แต่ยิ้มบางๆ
หลิวหงเดินวนไปวนมาบนกำแพงด้วยความกระวนกระวาย บรรดาทหารยอมจำนนด้านล่างกำแพงที่ยังไม่รู้ชะตาชีวิตของตัวเองต่างรอคำตอบด้วยความร้อนใจ
บรรดาทหารฉลาดต่างจับกลุ่มกันวางแผนรับมือ พวกเขาคิดว่าแทนที่จะนั่งรอองค์หญิงเจิ้นกั๋วมาช่วยพวกเขา มิสู้หาทางรอดให้ตัวเองดีกว่า
การใช้ร่างกายพังประตูคือการเอาเนื้อไปกระทบหิน ทว่า หากต่อตัวกันปีนขึ้นไปน่าจะใช้การได้ ทว่า ฝนตกหนักทำให้ลื่นมาก ที่สำคัญผู้ใดจะยินดีอยู่ด้านล่างสุดกัน
ทว่า นอกจากวิธีปีนต่อตัว พวกเขานึกวิธีอื่นไม่ออกอีกแล้ว
ฝนค่อยๆ ซาลงเรื่อยๆ หลิวหงพบว่าทหารยอมจำนนด้านล่างกำแพงต่างมองมาบนกำแพงแล้วหันไปปรึกษาบางอย่างกันอย่างน่าผิดสังเกต
ลูกน้องของหลิวหงก็รู้สึกไม่ชอบมาพากลเช่นเดียวกัน เขาเตรียมเข้าไปขอร้องให้แม่ทัพหลิวหงลงมือโดยไม่ต้องรออีกแล้ว ทว่า เห็นรัชทายาทขี่ม้ามาพร้อมกับไป๋ชิงเหยียนพอดี
หลิวหงเห็นดังจึงดีใจมาก เขารู้ว่าการที่รัชทายาทเสด็จมาที่นี่แสดงว่าไป๋ชิงเหยียนเกลี้ยกล่อมฮ่องเต้สำเร็จแล้ว “ทหารยอมจำนนหนึ่งหมื่นแปดพันนายที่ประตูหย่งติ้งมีโอกาสรอดแล้ว!”
เขากล่าวอย่างตื่นเต้นจบก็รีบถลาไปด้านหน้า คุกเข่าข่างหนึ่งลงบนพื้น “หลิวหงคาราวะองค์รัชทายาท คาราวะองค์หญิงเจิ้นกั๋วพ่ะย่ะค่ะ”
รัชทายาทพยักหน้าให้หลิวหง จากนั้นเดินไปหยุดอยู่หน้ากำแพง มองไปทางบรรดาทหารยอมจำนนที่แหงนหน้ามองมาทางเขาแล้วกล่าวขึ้น “พวกเจ้าก่อกบฏ ทรยศเจ้านาย เดิมทีสมควรตาย! ทว่า เราคิดว่าทหารของต้าจิ้นต่อให้ตายก็ควรตายอย่างมีเกียรติและศักดิ์ศรี ตายในสนามรบเพื่อแคว้น ไม่ใช่ตายจากคมธนูของทหารแคว้นเดียวกัน!”
น้ำเสียงของรัชทายาทหนักแน่นและดังกังวาน “ดังนั้นเราจะให้โอกาสพวกเจ้าอีกครั้ง เราจะส่งพวกเจ้าไปปกป้องบ้านเมืองที่หนานเจียง ไปคุ้มครองชายแดนของแคว้นต้าจิ้นที่นั่นเพื่อสร้างความดีความชอบให้ตัวเองอีกครั้ง พวกเจ้ายินดีหรือไม่”
เมื่อบรรดาทหารยอมจำนนได้ยินว่ารัชทายาทไว้ชีวิตพวกเขา ให้พวกเขาไปคุ้มกันชายแดนที่หนานเจียง พวกเขาจะไม่ยินดีได้อย่างไรกัน!
ทหารที่ได้สติเร็วรีบตะโกนขึ้นท่ามกลางสายฝน “ยินดีพ่ะย่ะค่ะ!”
สิ้นเสียง ทหารผู้นั้นคุกเข่าลงบนพื้นที่นองไปด้วยเลือด ตะโกนเสียงดังลั่น “องค์รัชทายาท ข้ายินดีพ่ะย่ะค่ะ!”
“ข้าก็ยินดีพ่ะย่ะค่ะ ขอบพระทัยที่เมตตาพ่ะย่ะค่ะ”
“ขอบพระทัยองค์รัชทายาทที่เมตตาพ่ะย่ะค่ะ”
บรรดาทหารยอมจำนนต่างคุกเข่าลงบนพื้น ตะโกนว่ายินดี ตะโกนขอบคุณรัชทายาทสามครั้งติด
หลิวหงมองดูทหารยอมจำนนที่ทยอยกันคุกเข่าลงทีละคนท่ามกลางสายฝน เลือดในกายของเขาเดือดพล่าน เขาหันไปมองร่างผอมเพรียวและสูงโปร่งของไป๋ชิงเหยียน หญิงสาวยืนเอามือไขว้หลังด้วยสีหน้าสงบนิ่ง แววตาราบเรียบ ไม่แสดงความรู้สึกใดๆ
หลิวหงคิดไม่ถึงว่าไป๋ชิงเหยียนจะกล่าวโน้มน้าวฮ่องเต้ได้จริงๆ เขารู้ดีว่าถ้อยคำที่รัชทายาทตรัสออกไปคงเป็นคำกล่าวที่ไป๋ชิงเหยียนใช้กล่าวโน้มน้าวฮ่องเต้ ทว่า ไป๋ชิงเหยียนไม่ได้สนใจสักนิดว่ารัชทายาทจะใช้ถ้อยคำเหล่านี้ไปซื้อใจบรรดาทหารยอมจำนน
เมื่อรัชทายาทเห็นว่าทหารยอมจำนนต่างยอมสวามิภักดิ์เขา ต่างพากันคุกเข่าขอบคุณในความเมตตาของเขาแล้ว ความรู้สึกพอใจถาโถมเข้าในใจเขาอย่างล้นหลาม
ทุกวันมีคนก้มศีรษะคำนับรัชทายาทมากมาย ทว่า นี่เป็นครั้งแรกที่รัชทายาทรู้สึกว่าเขาสูงส่งกว่าผู้อื่น ความรู้สึกเป็นผู้นำของคนอื่นมันดีอย่างนี้นี่เอง
มิน่าคนมากมายถึงได้อยากปีนป่ายไปอยู่ในตำแหน่งที่สูงส่งและได้รับความเคารพนับถือจากคนทั่วใต้หล้า
รัชทายาทกำมือที่ไขว้อยู่ทางด้านหลังแน่น
“แม่ทัพหลิวหง เราจะสั่งให้เสนาบดีกรมทหารมาช่วยเหลือท่านจัดการส่งทหารเหล่านี้ไปยังหนานเจียงโดยเร็วที่สุด ช่วงนี้ฝากท่านรับผิดชอบดูแลทหารเหล่านี้ไปก่อน” รัชทายาทหันไปกล่าวกับหลิวหง
“องค์ชายไม่ต้องเป็นห่วงพ่ะย่ะค่ะ” หลิวหงกำหมัดคาราวะ
รัชทายาทหันไปมองบรรดาทหารยอมจำนนที่คุกเข่าอยู่บนพื้นอีกครั้ง เขารู้สึกตื่นเต้นเร่าร้อนมาก เขาแสร้งทำเป็นกล่าวด้วยน้ำเสียงสงบนิ่ง “เรายังมีเรื่องต้องจัดการ ที่นี่มอบหมายให้แม่ทัพหลิวหงดูแล องค์หญิงเจิ้นกั๋ว พวกเราไปกันเถิด เราจะออกจากวังพร้อมเจ้า!”
ไป๋ชิงเหยียนพยักหน้า เบี่ยงกายหลบให้รัชทายาทเดินนำไปก่อน ไป๋ชิงเหยียนหันกลับไปมองหลิวหง เมื่อเห็นหลิวหงพยักหน้าสื่อว่าวางใจได้ ไป๋ชิงเหยียนจึงจากไปพร้อมรัชทายาท
รัชทายาทและไป๋ชิงเหยียนเดินไปพลางสนทนากันไป “พอดีเลย ตอนนี้เสนาบดีกรมทหารน่าจะอยู่ที่จวนรัชทายาทแล้ว เราจะให้พวกเขารีบจัดส่งทหารเหล่านี้ไปยังหนานเจียง”
“องค์ชายส่งคนไปบอกให้แม่ทัพเสิ่นคุนหยางทราบล่วงหน้าก่อนก็ได้เพคะ พวกเขาจะได้รู้ว่าทหารเหล่านี้คือทหารที่องค์ชายทำให้พวกเขายอมศิโรราบได้ พวกเขาจะได้ฝึกฝนทหารกลุ่มนี้ให้ดีเพคะ” ไป๋ชิงเหยียนกล่าว
ได้ยินไป๋ชิงเหยียนกล่าวว่าเขาเป็นคนกำราบทหารหนึ่งหมื่นแปดพันนายให้ศิโรราบได้ ใบหน้าของรัชทายาทเต็มไปด้วยรอยยิ้มกว้างกว่าเดิม ในใจรู้สึกผยองขึ้นมาเล็กน้อย
“เราจะให้คนส่งจดหมายไปบอกให้เสิ่นคุนหยางทราบ เจ้าไม่ต้องห่วง…” รัชทายาทกล่าวพลางมองไปที่แขนซึ่งตกอยู่ข้างลำตัว ยกไม่ขึ้นของไป๋ชิงเหยียน “ช่วงนี้เจ้าไม่ต้องเป็นห่วงเรื่องพวกนี้แล้ว พักรักษาตัวให้เต็มที่ ไปเถิด นั่งรถม้าของเรา เราจะส่งเจ้ากลับจวนองค์หญิงเจิ้นกั๋ว”
ไม่รอให้ไป๋ชิงเหยียนปฏิเสธ รัชทายาทกล่าวด้วยสีหน้าบึ้งตึง “ฝนตกหนักเช่นนี้ เจ้าห้ามปฏิเสธเราเด็ดขาด”
เดิมทีไป๋ชิงเหยียนก็ต้องการให้เป็นเช่นนี้อยู่แล้ว หญิงสาวพยักหน้าน้อยๆ “รบกวนองค์ชายด้วยเพคะ!”
“พวกเราเป็นลูกพี่ลูกน้องกัน เหตุใดต้องเกรงใจถึงเพียงนี้ด้วย!” รัชทายาทอารมณ์ดี เขาหันไปสั่งให้คนกางร่มให้ไป๋ชิงเหยียนยิ้มๆ จากนั้นเดินลงจากกำแพงเมือง
ไป๋ชิงเหยียถูกประคองขึ้นไปบนรถม้าคันหรูของรัชทายาท เฉวียนอวี๋ตามเข้าไปในตัวรถม้าเพื่อชงชาให้รัชทายาทและไป๋ชิงเหยียน
ประตูอู่เต๋อเพิ่งผ่านสงครามอันดุเดือด ส่วนประตูหย่งติ้งถูกปิดสนิท รถม้าของรัชทายาทจึงเคลื่อนออกจากวังหลวงผ่านประตูรุ่ยอัน พวกเขาต้องเดินทางอ้อมวังหลวงเกือบครึ่งจึงจะถึงจวนไป๋
ระหว่างทางรัชทายาทกล่าวกับไป๋ชิงเหยียนเรื่องของเหลียงอ๋อง เขาขบกรามแน่น “เหลียงอ๋องถนัดแต่ร้องไห้อ้อนวอนเสด็จพ่อ เจ้าคอยดูนะ ครั้งนี้เสด็จพ่อคงยกโทษให้เหลียงอ๋องตามเคย ไม่แน่เขาอาจแค่โดนถอดยศเป็นสามัญชนเท่านั้นก็จบเรื่องแล้ว”
“ไม่ว่าอย่างไรเหลียงอ๋องก็ไม่มีทางได้ครอบครองบัลลังก์นี้แล้วเพคะ องค์ชายและเหลียงอ๋องต่างกันราวฟ้ากับเหว ไม่จำเป็นต้องใส่ใจเขาหรอกเพคะ หากองค์ชายไม่วางพระทัย สามารถมอบให้ฟางเหล่าจัดการเรื่องนี้ได้เพคะ ฟางเหล่ามีประสบการณ์และเป็นคนรอบคอบ ไม่มีทางทำพลาดแน่เพคะ” ไป๋ชิงเหยียนกล่าว