สตรีแกร่งตระกูลไป๋ - ตอนที่ 703 จิ่วหรู
ตอนที่ 703 จิ่วหรู
“กระหม่อมไม่มีหลักฐานใดมายืนยันว่ากระหม่อมเคยพนันกับซื่อจื่อไว้จริงๆ ทว่า กระหม่อมแพ้พนัน จึงมอบป้ายหยกประจำตระกูลที่ได้รับมาจากท่านปู่ของกระหม่อมให้ซื่อจื่อเป็นการยืนยันว่ากระหม่อมจะทำตามคำสัญญา บัดนี้ซื่อจื่อไม่อยู่แล้ว กระหม่อมไม่ทราบว่าป้ายหยกจะยังอยู่ที่จวนไป๋หรือไม่ หากไม่อยู่ กระหม่อมก็ไม่มีหลักฐานยืนยันแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
ตอนนั้นไป๋ฉีซานกล่าวว่าเชื่อใจเจ้าเมืองเสิ่นจึงไม่เคยทำสัญญาใดๆ ทว่า เจ้าเมืองเสิ่นยืนกรานที่จะมอบป้ายหยกประจำตระกูลให้ไป๋ฉีซาน จากนั้นเดินจากไปโดยไม่หันหลังกลับมามองอีก
“องค์หญิงเจิ้นกั๋วคงสืบประวัติตระกูลของกระหม่อมแล้ว ประวัติของกระหม่อมคือเรื่องจริงพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมเล่าเรื่องทุกอย่างที่ควรเล่าออกไปหมดแล้ว กระหม่อมมองออกว่าองค์หญิงเจิ้นกั๋วมีปณิธานที่ยิ่งใหญ่และกว้างไกล กระหม่อมจึงอยากติดตามรับใช้องค์หญิงเจิ้นกั๋วด้วยใจจริง หากองค์หญิงเจิ้นกั๋วยังไม่เชื่อกระหม่อมก็มิเป็นอันใดพ่ะย่ะค่ะ ทว่า กระหม่อมจะคอยปกป้องคนในตระกูลไป๋ตามคำสัญญาที่เคยให้ไว้กับซื่อจื่อพ่ะย่ะค่ะ”
กล่าวจบ เจ้าเมืองเสิ่นโค้งกายคำนับไป๋ชิงเหยียน “กระหม่อมกล่าวจบแล้ว หากองค์หญิงเจิ้นกั๋วไม่มีสิ่งใดจะรับสั่งอีก กระหม่อมขอทูลลาพ่ะย่ะค่ะ”
ไป๋ชิงเหยียมองไปทางเจ้าเมืองเสิ่นนิ่ง เขาเป็นคนเฉียบขาดมาก กล่าวจบแล้วพร้อมจากไปทันที หรือว่าเขายอมถอยออกมาก่อนเพื่อจะได้เข้าใกล้มากขึ้นกันแน่นะ
“ได้ ท่านกลับไปก่อนเถิด” ไป๋ชิงเหยียนกล่าวกับเจ้าเมืองเสิ่นยิ้มๆ “หากมีเรื่องอันใด ข้าจะให้เสิ่นเยี่ยนฉงไปบอกท่าน”
ไม่ว่าอย่างไร ไป๋ชิงเหยียนก็เลือกใช้งานเสิ่นเยี่ยนฉงแล้วอยู่ดี
ไม่ว่าเจ้าเมืองเสิ่นจะยอมอยู่เป็นทางรอดให้ตระกูลไป๋ตามที่เขาแพ้พนันท่านพ่อจริงหรือกุเรื่องนี้ขึ้นมาเพื่อเข้าร่วมกับนาง หรือเข้าหานางเพราะมีจุดประสงค์อื่นแอบแฝง ไป๋ชิงเหยียนล้วนไม่สนใจ บัดนี้นางไม่ได้ขาดคนเรียกใช้งาน
เจ้าเมืองเสิ่นโค้งกายคำนับอีกครั้ง เขาเงยหน้ามองใบหน้าขาวซีด ทว่าสมบูรณ์แบบ แววตาหนักแน่นมั่นคงของเด็กสาวตรงหน้า จากนั้นกล่าวขึ้น “กระหม่อมมีนามว่าเทียนจือ นามรองจิ่วหรูพ่ะย่ะค่ะ”
ดวงตาของไป๋ชิงเหยียนสั่นไหวเล็กน้อย จิ่วหรู…
นั่นคือนามรองของท่านพ่อเช่นเดียวกัน ทว่า น้อยคนนักที่จะรู้
ไป๋ชิงเหยียนเคยได้ยินท่านปู่เล่าให้ฟังว่านามรองของท่านพ่อมาจาก เทียนเป่า[1] นามรองของท่านพ่อเต็มไปด้วยความรักที่ท่านปู่มีต่อท่านพ่อ
ไป๋ชิงเหยียนขยับริมฝีปากเล็กน้อย “แข็งแกร่งและสูงใหญ่ดั่งขุนเขา กว้างใหญ่และท่วมท้นดั่งสายน้ำ คงอยู่ตลอดกาลดั่งดวงจันทร์และตะวันที่โผล่ขึ้นจากขอบฟ้า อายุยืนยาวดั่งภูเขาหนานที่ไม่มีวันดับสูญ มั่นคงแข็งแรงและเจริญรุ่งเรืองดั่งต้นสน คนที่ตั้งนามรองให้ท่านเจ้าเมืองเสิ่นคงเป็นคนที่รักท่านมากที่สุด”
“ซื่อจื่อก็เคยกล่าวเช่นนี้พ่ะย่ะค่ะ” เจ้าเมืองเสิ่นกล่าวประโยคสุดท้ายจบก็โค้งคำนับไป๋ชิงเหยียน จากนั้นเดินออกไปจากห้องโถงทันที
ขอบตาของไป๋ชิงเหยียนร้อนผ่าว หลับตาลง…
ท้ายที่สุดแล้วท่านพ่อก็ไม่ได้มีอายุยืนดั่งเช่นภูเขาหนาน
เมื่อถงหมัวมัวเห็นเจ้าเมืองเสิ่นจากไปแล้ว นางจึงเข้ามาด้านใน เมื่อเห็นคุณหนูใหญ่ขอบตาร้อนผ่าว ถงหมัวมัวรีบเอ่ยถามด้วยความตกใจ “คุณหนูใหญ่ไม่สบายตรงที่ใดหรือเจ้าคะ”
“มิเป็นอันใด ข้าแค่คิดถึงท่านพ่อขึ้นมาเท่านั้น” ไป๋ชิงเหยียนลำคอร้อนผ่าว ปรับอารมณ์ของตัวเองอย่างยากลำบาก จากนั้นเอ่ยถามถงหมัวมัว “ไป๋ชิงผิงมาถึงแล้วหรือไม่”
“ถึงแล้วเจ้าค่ะ เขารออยู่ที่ด้านนอก หากคุณหนูใหญ่ไม่ค่อยสบายค่อยพบพวกเขาวันหลังดีหรือไม่เจ้าคะ” ถงหมัวมัวปรึกษาไป๋ชิงเหยียนเสียงเบา
“พาเข้ามาได้” น้ำเสียงของไป๋ชิงเหยียนส่อแววอ่อนล้าเล็กน้อย
“บ่าวจะให้ชุนเถารินชาร้อนมาให้คุณหนูใหญ่นะเจ้าคะ” ถงหมัวมัวสงสารไป๋ชิงเหยียนจับใจ
ไป๋ชิงเหยียนพยักหน้า
ไม่นานชุนเถาเดินถือชาร้อนเข้ามาให้ไป๋ชิงเหยียน นางอุ่นเตาอุ่นมือ จากนั้นยัดใส่มือของไป๋ชิงเหยียน
ไม่นานไป๋ชิงผิงจึงพาไช่จื่อหยวนเดินเข้ามาในห้องโถง
วันนี้ไช่จื่อหยวนสวมชุดสีฟ้าอ่อน ยิ่งทำให้เขาดูสมกับเป็นบัณฑิตมากยิ่งขึ้น สองสามเดือนมานี้เขาสอนหนังสืออยู่ในซั่วหยางโดยไม่มีเรื่องเครียด ใบหน้าของไช่จื่อหยวนจึงดูสมบูรณ์ขึ้นไม่น้อย
ไช่จื่อหยวนเดินก้มหน้าตามไป๋ชิงผิงเข้ามาด้านใน เขาคุกเข่าคำนับไป๋ชิงเหยียน เมื่อได้ยินไป๋ชิงเหยียนบอกให้พวกเขานั่งลงได้ ไช่จื่อหยวนจึงเงยหน้ามองไปทางหญิงสาว
เมื่อเงยหน้าขึ้น ไช่จื่อหยวนตกตะลึงทันที
เขานึกไม่ถึงว่าไม่ได้เจอกันเพียงสองเดือน ไป๋ชิงเหยียนจะผอมลงถึงเพียงนี้ ใบหน้าขาวซีดกว่าเมื่อก่อน ริมฝีปากซีดเผือดไร้สีเลือด แม้ใบหน้าจะยังคงงดงามอย่างปิดไม่มิด ทว่า ร่างกายของนางดูอ่อนล้าและอ่อนแอราวกับจะสลายไปอย่างง่ายดายหากสัมผัสนางแรงๆ
“ไช่เซียนเซิงลุกขึ้นเถิด…” ไป๋ชิงเหยียนกล่าวขึ้นอีกครั้ง
ไช่จื่อหยวนจึงได้สติรีบลุกขึ้นนั่งบนที่นั่งถัดไปจากไป๋ชิงผิง
“วันนี้ข้าเรียกไช่เซียนเซิงมาพบเพราะมีเรื่องข้องใจ หวังว่าไช่เซียนเซิงจะช่วยไขข้อข้องใจให้ข้าได้” ใบหน้าของไป๋ชิงเหยียนเต็มไปด้วยรอยยิ้มบางๆ
ไช่จื่อหยวนไม่ใช่คนโง่ องค์หญิงเจิ้นกั๋วมีสติปัญญาโดดเด่นเหนือผู้อื่น หญิงสาวมีลูกน้องที่มีฝีมือมากมาย สิ่งที่ทำให้หญิงสาวข้องใจและมีเพียงบัณฑิตอย่างเขาที่ช่วยแก้ไขข้อข้องใจได้มีเพียงเรื่องของหลี่เม่าเท่านั้น…
บัดนี้ไช่จื่อหยวนอาศัยอยู่ใต้ชายคาของผู้อื่น เขาจะกล้าขัดคำสั่งได้อย่างไร ไช่จื่อหยวนจึงกล่าวขึ้น “องค์หญิงเจิ้นกั๋วกล่าวมาได้เลยพ่ะย่ะค่ะ หากกระหม่อมทราบ กระหม่อมจะไม่ปิดบังเด็ดขาดพ่ะย่ะค่ะ”
“เช่นนั้นก็ดี…” ไป๋ชิงเหยียนขยับเปลี่ยนท่านั่งเล็กน้อย จากนั้นเอนกายพิงหมอนอิงทางด้านหลัง ดวงตาล้ำลึกจ้องไปทางไช่จื่อหยวน “หลี่หมิงรุ่ยบุตรชายของหลี่เม่าเป็นลูกศิษย์ของผู้ใด”
มือที่วางอยู่บนเข่าของไช่จื่อหยวนขยับเล็กน้อย
ไป๋ชิงเหยียนสังเกตเห็นพอดี ทว่า หญิงสาวยังคงจ้องไปที่ไช่จื่อหยวนด้วยแววตาเรียบนิ่งเพื่อรอคำตอบจากเขา
ครู่ใหญ่ ไช่จื่อหยวนจึงเงยหน้ามองไปทางไป๋ชิงเหยียน “องค์หญิงเจิ้นกั๋วคงสืบเรื่องนี้พบแล้ว เช่นนั้นกระหม่อมก็ไม่ขอปิดบังองค์หญิงอีก บุตรชายของหลี่เม่าเป็นลูกศิษย์ของที่ปรึกษาคนหนึ่งของจวนองค์ชายรองพ่ะย่ะค่ะ ทว่า ตอนนี้ที่ปรึกษาคนนั้นเสียชีวิตไปแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
“ตู้จือเวย…”
เมื่อได้ยินชื่อนี้ไช่จื่อหยวนกำหมัดแน่น เขานึกไม่ถึงว่าองค์หญิงเจิ้นกั๋วจะสืบเรื่องนี้ได้กระจ่างแจ้งเช่นนี้ เขาพยักหน้า “ใช่แล้วพ่ะย่ะค่ะ”
“ต่อมาตู้จือเวยผู้นี้เข้าร่วมกับเหลียงอ๋อง กลายเป็นที่ปรึกษาของเหลียงอ๋องอย่างนั้นหรือ”
ไช่จื่อหยวนส่ายหน้า “แทนที่จะกล่าวว่าเข้าร่วม ควรกล่าวว่าเหลียงอ๋องรับตัวเขาไว้ดูแลต่อดีกว่าพ่ะย่ะค่ะ ตอนนั้นเหลียงอ๋องเคารพองค์ชายรองมากพ่ะย่ะค่ะ”
เมื่อไป๋ชิงเหยียนเห็นว่าไช่จื่อหยวนไม่ได้มีท่าทีปิดบังจึงพยักหน้า จากนั้นเอ่ยถามต่อยิ้มๆ “ดูเหมือนว่าไช่เซียนเซิงจะมีความสุขกับการสอนหนังสือที่ซั่วหยางดี”
“ต้องขอบพระทัยความเมตตาขององค์หญิงเจิ้นกั๋ว กระหม่อมกินอิ่มนอนหลับ มีความสุขกับการสอนหนังสือให้ลูกศิษย์ดีพ่ะย่ะค่ะ” ไช่จื่อหยวนคำนับขอบคุณไป๋ชิงเหยียน “ขอบพระทัยที่องค์หญิงเจิ้นกั๋วทรงใส่พระทัยพ่ะย่ะค่ะ”
“ไม่ทราบว่าไช่เซียนเซิงยินดีสวามิภักดิ์กับตระกูลไป๋หรือไม่” ไป๋ชิงเหยียนถามเข้าประเด็น
ไช่จื่อหยวนผู้นี้เป็นคนมีความสามารถ การให้เขาสอนหนังสืออยู่ที่ซั่วหยางเพียงอย่างเดียวดูน่าเสียดายเกินไป…
ไช่จื่อหยวนเงยหน้ามองไป๋ชิงเหยียนด้วยความตกตะลึง จากนั้นรีบหันไปมองทางไป๋ชิงผิง เขาคิดว่าไป๋ชิงเหยียนคงอยากให้เขาไปช่วยสอนหนังสือให้ทายาทของตระกูลไป๋กระมัง เช่นนี้ก็ถือเป็นการรับใช้ตระกูลไป๋อย่างซื่อสัตย์แล้ว เขาคงคิดมากไปเอง…องค์หญิงเจิ้นกั๋วมีลูกน้องที่มีความสามารถมากมายเช่นนี้ หญิงสาวจะยอมให้คนที่เคยเป็นที่ปรึกษาของจวนหลี่มาเป็นที่ปรึกษาของจวนไป๋ได้อย่างไรกัน
[1] เทียนเป่า มากจากซือจิงซึ่งเป็นคำภีร์รวบรวมบทกวีที่เก่าแก่ที่สุดของจีน