สตรีแกร่งตระกูลไป๋ - ตอนที่ 72 เดินเข้าป่ายามวิกาล
ตอนที่ 72 เดินเข้าป่ายามวิกาล
ไป๋ชิงเหยียนจ้องไปยังไป๋จิ่นจื้อที่คุกเข่าอยู่กลางลานหญ้าโดยไม่มีทีท่าว่าจะสำนึกผิด หัวใจเต้นรัว
“การกระทำตามใจตนเองโดยไม่คำนึงถึงผลลัพธ์ที่ตามมาคือการกระทำของคนขี้ขลาดที่ประมาทปล่อยให้ตัวเองโดนผู้อื่นทำร้ายอย่างง่ายดาย! ท่านปู่ ท่านพ่อ ท่านลุงและพวกน้องชายล้วนเสียชีวิตอยู่ที่หนานเจียง พวกขุนนางในราชสำนักต่างจ้องจะเล่นงานตระกูลไป๋ บัดนี้ตระกูลไป๋ต้องดิ้นรนเอาตัวรอดประหนึ่งเดินเข้าป่ายามวิกาล เจ้าคิดว่ายังมีเวลาให้เจ้าทำตามใจตัวเองอีกหรืออย่างใด”
บรรยากาศรอบเรือนชิงฮุยเปลี่ยนเป็นตึงเครียดทันทีที่เสียงตวาดแหลมของไป๋ชิงเหยียนหยุดลง พี่น้องทั้งสี่เม้มปากแน่นไม่กล่าวสิ่งใดทั้งสิ้น
นอกจากไป๋จิ่นจื้อแล้ว ไป๋ชิงเหยียน ไป๋จิ่นซิ่วและไป๋จิ่นถง ต่างเห็นบันทึกสถานการณ์การรบจากม้วนไม้ไผ่หมดแล้ว พวกนางทั้งสามคนรู้ดีว่าตระกูลไป๋กำลังตกอยู่ในอันตราย
ดวงตาของไป๋จิ่นซิ่วบวมก่ำอย่างน่ากลัว เบนหน้าหนีหลบซ่อนน้ำตาที่ไหลริน
ไป๋จิ่นถงกำหมัดแน่น ก้มหน้าร้องไห้
ลมหนาวพัดผ่านท่ามกลางแสงแดดที่ส่องสว่าง ทว่ากลับหนาวยิ่งกว่ายามหิมะตก
ดวงตาที่บวมช้ำอยู่แล้วของไป๋ชิงเหยียนสู้แสงแดดที่สาดกระทบกองหิมะไม่ไหว หญิงสาวหลับตาลง พยายามควบคุมอารมณ์ของตนเองให้สงบลง เอ่ยถามเสียงแหบพร่า
“เจ้ารู้หรือไม่ว่าตอนเจ้าอายุสิบขวบ เจ้าขอให้ท่านปู่พาเจ้าไปออกรบที่ด่านหน้า เหตุใดท่านปู่จึงไม่อนุญาต”
ไป๋จิ่นจื้อไม่ได้มีท่าทีแข็งกร้าวอย่างเมื่อครู่อีกแล้ว นางกำเสื้อที่แนบอยู่ข้างลำตัวของตัวเองแน่นพลางเอ่ยตอบ “ไม่ทราบเจ้าค่ะ”
“ท่านปู่เคยกล่าวว่าในบรรดาพี่สาวน้องสาวทั้งหมด พี่หญิงรองของเจ้าอ่อนนอกแข็งใน มองดูเหมือนอ่อนโยนแต่ความจริงแล้วมีพรสวรรค์ที่เก่งกาจ พี่หญิงสามของเจ้าฉลาดไหวพริบดีที่สุด มีความคิดเป็นของตัวเอง และเก่งในการวางแผน ส่วนเจ้า…เป็นคนที่มีพรสวรรค์ มีฝีมือในด้านการรบมากที่สุดในบรรดาพี่น้อง! คล้ายท่านปู่ตอนหนุ่มมากที่สุด ชอบเอาชนะ พุ่งชนให้ถึงที่สุดโดยไม่คำนึงถึงผลลัพธ์ นิสัยของเจ้าเป็นคนดื้อรั้นหัวแข็ง ท่านปู่เกรงว่าเจ้ายังมีสติไม่มากพอ หากได้สัมผัสเลือดก็จะยิ่งประมาทมากยิ่งขึ้น ท่านปู่จึงให้เจ้าอยู่ที่เมืองหลวง เรียนตำราปราชญ์กับท่านอาจารย์อีกสักสองสามปี”
ไป๋จิ่นจื้อหน้าซีดเผือดกับคำกล่าวของไป๋ชิงเหยียน ร่างทั้งร่างแข็งทื่อ
ไป๋ชิงเหยียนเบิกตาโพลงจ้องไปยังไป๋จิ่นจื้อ น้ำเสียงแฝงไปด้วยความเจ็บปวด เอ่ยเสียงเบาหวิว
“การขี่ม้า ฟันดาบ พุ่งหอก ตวัดแส้! เจ้าเรียนรู้ได้เร็วกว่าทุกคน ทำได้ดีกว่าทุกคน เจ้าอายุเพียงสิบห้าแต่ลองสำรวจดูสิว่าในเมืองหลวงมีใครพอเป็นคู่ต่อสู้ของเจ้าได้บ้าง เจ้าควรระมัดระวังการกระทำของตัวเอง พิจารณาวางแผนให้รอบคอบจากนั้นค่อยลงมือ ภายนอกดูเอาแต่ใจแต่ภายในต้องรู้จักสงบนิ่ง เจ้าควรมีชื่อเสียงในฐานะนักรบหญิงเป็นแม่ทัพที่คนรุ่นหลังเคารพนับถือดังเช่นท่านปู่ เป็นสตรีที่เจิดจรัสที่สุดของจวนเจิ้นกั๋วกงของแห่งแคว้นต้าจิ้น มิใช่อยากเอาชนะเพื่อความสะใจชั่ววูบจนทำให้ตัวเอง และครอบครัวพินาศ!”
แผ่นหลังที่ตอนแรกหยัดตรงเพราะความหยิ่งยโสบัดนี้ค่อยๆ ย่อลง สีหน้าของไป๋จิ่นจื้อแปรเปลี่ยนเป็นเคร่งเครียดกำหมัดแน่นจนมือสั่น
ไป๋ชิงเหยียนควบคุมอารมณ์ตัวเองไม่ได้ ถามอย่างไร้เรี่ยวแรง
“บัดนี้หากเจ้าสำนึกผิด จงไปรับโทษโบยห้าสิบทีจากลุงผิงด้วยตัวเอง แต่หากเจ้าคิดว่าเจ้าไม่ผิด…ก็ช่างมันเถิด”
หากไม่สำนึกผิด โบยไปจะมีประโยชน์อันใด
ไป๋จิ่นจื้อไม่รู้จะกล่าวสิ่งใด ทำเพียงกันฟันแน่น ลุกขึ้นยืนแล้วเดินออกจากเรือนชิงฮุยเพื่อไปรับโทษจากหลูผิง
“จิ่นถง เจ้าไปบอกลุงผิงว่าตอนนี้ตระกูลไป๋มีเรื่องสำคัญต้องจัดการ ให้เขาออมแรงสักหน่อย” ไป๋ชิงเหยียนเอ่ยเสียงแผ่วเบา
ไป๋จิ่นถงพยักหน้า เดินตามไป๋จิ่นจื้อไปอย่างรวดเร็ว
“พี่หญิงใหญ่…” ไป๋จิ่นซิ่วกุมมือของหญิงสาวพลางบีบแน่น
“เสี่ยวซื่อต้องเข้าใจเจ้าค่ะ พี่หญิงใหญ่เข้มงวดกับนางเพราะคาดหวังในตัวนาง”
บุรุษตระกูลไป๋จากไปหมดสิ้น จวนไป๋เหลือเพียงแค่สตรี การประคับประคองตระกูลไป๋ให้อยู่รอดเป็นเรื่องที่ลำบากมาก
ไป๋จิ่นซิ่วแต่งเข้าตระกูลฉินแล้ว อีกไม่นานไป๋จิ่นถงก็ต้องเดินทางไปทำการค้า ไป๋ชิงเหยียนไม่เห็นว่าไป๋จิ่นจื้อยังเด็กจึงไม่มอบหมายงานให้นาง แต่นางอยากรอให้พิธีศพของตระกูลไป๋ผ่านพ้นไปเสียก่อน ให้ไป๋จิ่นจื้อมาอยู่ข้างกายนางเพื่ออบรมสั่งสอนสักปีสองสองปีจากนั้นค่อยปล่อยให้นางไปออกรบดังที่นางต้องการ
ทว่าไป๋ชิงเหยียนลืมนึกไปว่าบัดนี้สถานการณ์ของตระกูลไป๋เหมือนเดินอยู่บนทางน้ำแข็งแผ่นบางๆ หนทางข้างหน้าขรุขระ และมีแต่อุปสรรค ไม่มีเวลาให้สาวน้อยผู้บริสุทธิ์อย่างไป๋จิ่นจื้อเอาแต่ใจตัวเองอีกต่อไปแล้ว ผ่านความเจ็บปวดจากการสูญเสียครั้งยิ่งใหญ่ ไป๋จิ่นจื้อต้องเติบโตเป็นคนที่มีความรับผิดชอบ กลายเป็นคนเข้มแข็งให้เร็วที่สุด นางต้องกลายเป็นสตรีที่ช่วยประคับประคองดูแลตระกูลไป๋ให้ได้”
ไป๋ชิงเหยียนเงยหน้ามองดูท้องฟ้าโปร่งใส และก้อนเมฆบางเบาของวันนี้ ก้นบึ้งของดวงตาลึกล้ำแฝงไปด้วยไอสังหาร ซิ่นอ๋องกล้าชักใยอยู่เบื้องหลังวางแผนใส่ร้ายเพื่อโค่นล้มตระกูลไป๋ บัดนี้เรื่องถูกเปิดโปงแล้ว อย่าคิดว่าจะถอนตัวออกจากเรื่องนี้อย่างง่ายดาย นางไม่มีทางปล่อยให้พวกเขาสมหวังหรอก
ไป๋ชิงเหยียนไม่มีวิทยายุทธ์หลงเหลือ หญิงสาวก็จะใช้ชาวบ้านเป็นดาบแทน ใช้ความรู้สึก และวาจาของชาวบ้านเป็นอาวุธที่ทรงอิทธิพลเช่นเดียวกัน มาลองดูกันสักหน่อย…ว่าผู้ใดจะเป็นผู้ชนะ
หญิงสาวมองดูบ่าวรับใช้ สาวใช้ที่ยืนอยู่หน้าประตูเรือนชิงฮุยที่ต่างกล้าๆ กลัวๆ ไม่กล้าเดินเข้ามาด้านใน นางจึงเอ่ยเรียก “ชุนเถา…”
ชุนเถาได้ยินเสียงจึงรีบเดินเข้ามาด้านใน เห็นไป๋ชิงเหยียนประคองไป๋จิ่นซิ่วเตรียมเดินเข้าห้อง นางจึงรีบเดินไปแหวกม่านให้
“ไปตามญาติผู้พี่ของเจ้ามา ข้ามีเรื่องจะให้เขาทำ”
“เจ้าค่ะ บ่าวจะไปเดี๋ยวนี้เจ้าค่ะ!” ชุนเถาพยักหน้า
ด้านในห้อง ไป๋ชิงเหยียนและไป๋จิ่นซิ่วนั่งลงข้างๆ เตาผิง หญิงสาวนวดแขนให้ไป๋จิ่นซิ่วด้วยตัวเอง
ตอนอยู่หน้าประตูจวนเจิ้นกั๋วกง ขณะที่ไป๋จิ่นซิ่วพยายามห้ามคุณหนูสี่ไป๋จิ่นจื้อ นางไม่ได้ระวังตัวสักนิด โดนเด็กสาวไม่รู้ความผู้นั้นผลักไปกระแทกขอบประตูสีทองแดงของจวน กระทบโดนบาดแผลเก่าพอดี นางเจ็บจนยกแขนไม่ขึ้น
บางทีอาจเป็นเพราะภายในห้องเงียบสงบเกินไปหรืออาจเป็นเพราะเมื่ออยู่ข้างกายของพี่หญิงใหญ่มักให้ความรู้สึกอุ่นใจ ไป๋จิ่นซิ่วกล่าวขึ้นโดยไม่รู้ตัว…
“พี่หญิงใหญ่…” ไป๋จิ่นซิ่วหลุบตาลง น้ำเสียงขึ้นจมูก
“เช้าวันนี้หลัวมัวมัว บ่าวรับใช้ข้างกายท่านแม่มาส่งข่าวแทนท่านยายกล่าวว่าบุรุษตระกูลไป๋เสียชีวิตหมดแล้ว ท่านพ่อและพี่ชายน้องชายของข้าก็ล้วนไม่อยู่แล้ว ข้าเองก็แต่งงานแล้ว มิรู้ว่าฮ่องเต้จะทรงจัดการเช่นใดกับตระกูลไป๋ ท่านยายให้ท่านแม่ของข้ารีบตัดสินใจ ขอหนังสือหย่าจากท่านย่าจะได้มิพลอยเดือดร้อนไปด้วยเจ้าค่ะ”
ควันจางๆ ลอยออกมาจากกระถางธูปลายสัตว์มงคลสีทอง ส่งกลิ่นหอมจางๆ ไปทั่วทั้งห้อง
“ท่านป้าสะใภ้สองมิจากไปหรอก” ไป๋ชิงเหยียนเอ่ยเสียงเบาน้ำเสียงเต็มไปด้วยความมั่นใจ เพราะชาติที่แล้วก็เป็นเช่นนี้
บรรดาท่านป้าสะใภ้ของนาง แม้จะแต่งเข้าจวนเจิ้นกั๋วกงในตอนที่จวนยังรุ่งเรือง ทว่าเมื่อจวนเจิ้นกั๋วกงเผชิญกับภัยพิบัติ ไม่มีผู้ใดอ่อนแอเลยสักคน ไม่มีผู้ใดทอดทิ้งตระกูลไป๋ไปเลยสักคน แม้กระทั่งยอมสละชีวิตของตัวเองเพื่อทวงคืนความยุติธรรมให้ตระกูลไป๋
“ข้าทราบดีเจ้าค่ะ” ไป๋จิ่นจื้อเอ่ยตอบเสียงเบาหวิว “ข้าแค่รู้สึกว่าชีวิตไม่มีสิ่งใดแน่นอน เมื่อก่อน…ท่านยายมักจะสอนให้ท่านแม่เชื่อฟัง และมีเมตตา ปรนนิบัติพ่อแม่สามีให้ดี ทว่าเหตุใดพอตระกูลไป๋เกิดเรื่องขึ้นเช่นนี้ท่านยายกลับให้ท่านแม่ไปขอหนังสือหย่าทั้งๆ ที่ศพของท่านพ่อยังไม่ทันได้ฝังเลยด้วยซ้ำ มันช่างน่าสลดใจยิ่งนักเจ้าค่ะ”
“ใจของคนเป็นแม่ก็อยากให้ลูกมีชีวิตอยู่อย่างปลอดภัยและสงบสุข! คำโบราณกล่าวไว้ว่า…ต่อให้ลูกจะโตสักเพียงใด แต่หัวอกของคนเป็นพ่อแม่ก็ยังเป็นห่วงอยู่ดี! เจ้าอย่าได้ตำหนิท่านยายของเจ้าเลย!”
ความโกรธและละอายใจที่อยู่ในใจของไป๋จิ่นซิ่วมลายหายไปทันทีเพราะคำกล่าวของไป๋ชิงเหยียน หญิงสาวหันไปมองไป๋ชิงเหยียนซึ่งกำลังนวดบ่าให้นางอยู่ น้ำตาอาบหน้า
“ไม่รู้ว่าญาติฝั่งแม่ของท่านป้าสะใภ้คนอื่นๆ จะต้องการให้พวกท่านไปจากที่นี้ตอนนี้เช่นเดียวกันหรือไม่นะเจ้าคะ”
“พวกท่านป้าสะใภ้ไม่มีทางไปจากที่นี่หรอก!” หญิงสาวกุมมือของไป๋จิ่นซิ่ว กล่าวอย่างจริงใจ “ดังนั้นพวกเราต้องช่วยท่านแม่และบรรดาท่านป้าสะใภ้ดูแลและปกป้องตระกูลไป๋! ให้ทุกคนได้เห็นว่าต่อให้ท่านปู่ ท่านพ่อ และบุรุษทั้งหมดของตระกูลไป๋ไม่อยู่แล้ว จะไม่มีผู้ใดมาข่มเหงรังแกตระกูลไป๋ได้ ไม่มีผู้ใดมารังแกท่านแม่และท่านป้าสะใภ้ได้!”