สตรีแกร่งตระกูลไป๋ - ตอนที่ 787 ลำบากตลอดทาง
ตอนที่ 787 ลำบากตลอดทาง
การฆ่าคนเป็นเรื่องง่ายดายในเมื่ออีกฝ่ายยอมก้มศีรษะให้แล้วก็ควรให้อภัย การมองดูร่างของสหายร่วมรบถูกแบกออกไปจากค่ายรักษาตัวทีละคนทุกวันเนื่องจากไม่ยอมดื่มยารักษาโรคระบาดทำให้ทหารต้าเหลียงเริ่มรู้สึกหวาดกลัว
เมื่อในใจเริ่มหวาดกลัว อาการป่วยจึงเริ่มรุนแรงขึ้นตามไปด้วย การเสียชีวิตของแต่ละคนน่าหวาดหวั่นมากขึ้นทุกที
ทว่า ทหารของกองทัพจ้าวทะนงในศักดิ์ศรีกันทุกคน ไม่มีผู้ที่ติดเชื้อคนใดร้องขอยารักษาโรคระบาดสักคน พวกเขานั่งมองทหารต้าเหลียงที่คุกเข่าอ้อนวอนขอยาจากทหารต้าจิ้นอยู่ในค่ายรักษาตัวด้วยแววตาดูหมิ่น
จ้าวเซิ่งได้ยินหมอทหารของต้าเหลียงรายงานขณะมาทำแผลให้เขาว่ารองแม่ทัพของเขาเสียชีวิตเนื่องจากบาดเจ็บหนัก ทว่า ไม่ยอมทานยาของทหารต้าจิ้น เมื่อรู้ว่าลูกน้องที่เก่งกาจที่สุดของเขาอย่างจ้าวฉีและหวังหนิงติดเชื้อและถูกหามไปยังค่ายรักษาตัว จ้าวเซิ่งจึงร้อนใจเป็นอย่างมาก
จ้าวเซิ่งมองดูหมอทหารของต้าเหลียงที่กำลังจัดกล่องยาของตัวเองอยู่ จากนั้นเอ่ยถาม “ยารักษาโรคระบาดที่ทหารต้าจิ้นให้ทหารของเราทานได้ผลดีหรือไม่”
เมื่อเอ่ยถึงเรื่องนี้ หมอทหารต้าเหลียงรีบพยักหน้าทันที “ได้ผลดีขอรับ ข้าเห็นสูตรยาแล้ว ตรงกับอาการของโรคจริงๆ ขอรับ ทว่า ข้ากับท่านหมอหงของแคว้นต้าจิ้นช่วยกันปรับเปลี่ยนสูตรยาเล็กน้อยเพราะสภาพร่างกายของทหารต้าเหลียงแตกต่างจากชาวต้าจิ้นอยู่บ้าง เมื่อปรับสูตรยาเสร็จ ยาเหมาะกับสภาพร่างกายของชาวต้าเหลียงมากกว่าเดิมขอรับ”
“ทหารต้าจิ้นให้เจ้าดูสูตรยารักษาโรคอย่างนั้นหรือ!” จ้าวเซิ่งถามอย่างคาดไม่ถึง
“ขอรับ ข้าก็คาดไม่ถึงเช่นเดียวกัน ทว่า ท่านหมอหงของแคว้นต้าจิ้นผู้นั้นกล่าวว่าอาจารย์มีหน้าที่ถ่ายทอดความรู้ให้ลูกศิษย์โดยไม่แบกแยก หมอมีหน้าที่รักษาคนป่วยโดยไม่แบ่งแยกเช่นเดียวกัน ทหารต้าเหลียงมีพ่อมีแม่เช่นเดียวกัน พวกเขาเป็นคนเหมือนกัน ควรได้รับการรักษาเช่นเดียวกันขอรับ” หมอทหารชรากล่าวพลางถอนหายใจ “หมอของต้าจิ้นผู้นี้ใจกว้างยิ่งนัก ข้านับถือเขายิ่งนัก หากเปลี่ยนกัน ข้าคิดว่าต้าเหลียงของเราคงทำเช่นเขาไม่ได้”
จ้าวเซิ่งกำหมัดแน่น เขารู้จักหมอผู้นี้ดี หมอหงเป็นหมอที่มีชื่อเสียงข้างกายของเจิ้นกั๋วอ๋องไป๋เวยถิง เป็นหมอทหารของกองทัพไป๋
จ้าวเซิ่งหลับตาลง คำกล่าวของไป๋ชิงเหยียนในวันนั้นผุดขึ้นมาในสมองของจ้าวเซิ่งอีกครั้ง ขนาดหมอทหารของกองทัพไป๋ยังสามารถช่วยเหลือคนไข้ทุกคนได้อย่างเท่าเทียม แสดงว่าปณิธานที่ต้องการรวบรวมใต้หล้าให้เป็นหนึ่งของไป๋ชิงเหยียนไม่ใช่เรื่องโกหก
“ข้าต้องกลับไปดูแลทหารที่ค่ายรักษาตัวต่อ ขอตัวก่อนนะขอรับ…”
จ้าวเซิ่งมองดูหมอทหารจากไป เขาตัดสินใจได้อย่างเด็ดขาดแล้ว เขายกถ้วยน้ำชาด้านหน้าขึ้นดื่มจนหมดแก้ว จากนั้นจับโต๊ะพยุงกายลุกขึ้นยืนแล้วกล่าวกับทหารต้าจิ้นที่เฝ้าอยู่หน้ากระโจม “ช่วยเรียนองค์หญิงเจิ้นกั๋วให้ทราบทีว่าข้าต้องการไปเยี่ยมลูกน้องของข้าที่ค่ายรักษาตัว”
ทหารต้าจิ้นมองดูจ้าวเซิ่งแวบหนึ่ง จากนั้นพยักหน้าแล้วเดินไปรายงานไป๋ชิงเหยียน
ไป๋ชิงเหยียนยืนรอต้อนรับฟ่านอวี้กานและจางตวนหนิงที่องค์รัชทายาทสั่งให้ควบคุมเสบียงและอาหารมาส่งอยู่หน้าด่านชิงซีซานพร้อมกับหลิวหงเพื่อแสดงความเคารพที่มีต่อองค์รัชทายาท
เมื่อได้ยินจ้าวหร่านรายงานว่าจ้าวเซิ่งต้องการไปพบลูกน้องของตัวเอง ไป๋ชิงเหยียนก็เดาได้ว่าจ้าวเซิ่งคงต้องการไปเกลี้ยกล่อมทหารของตัวเองก่อน จากนั้นค่อยมาพบนางภายหลัง
ไป๋ชิงเหยียนกล่าวกับจ้าวหร่านเสียงเบา “เจ้าไปพาจ้าวเซิ่งไปพบคนที่เขาอยากพบทุกคน ทว่า ตอนที่เขาคุยกับลูกน้องของเขา เจ้าจงปล่อยให้พวกเขาคุยกันตามลำพัง อย่าทำให้จ้าวเซิ่งรู้สึกว่าเจ้ากำลังจับตาดูเขาอยู่เด็ดขาด”
“กระหม่อมเข้าใจแล้วพ่ะย่ะค่ะ” จ้าวหร่านรับคำ จากนั้นหมุนกายจากไปทันที
หลิวหงหันไปมองจ้าวหร่านที่จากไปอย่างรีบร้อนแวบหนึ่ง จากนั้นหันไปถามไป๋ชิงเหยียน “มีเรื่องอันใดหรือพ่ะย่ะค่ะ”
“แม่ทัพจ้าวเซิ่งอยากพบลูกน้องของตัวเอง ข้าจึงให้จ้าวหร่านพาเขาไปพบ” ไป๋ชิงเหยียนไม่ได้ปิดบังหลิวหง
หลิวหงพยักหน้า เขามองดูไป๋ชิงเหยียนที่ริมฝีปากซีดเซียวท่ามกลางแสงแดด จากนั้นกล่าวขึ้น “องค์หญิงเจิ้นกั๋วกลับไปพักผ่อนก่อนเถิดพ่ะย่ะค่ะ องค์หญิงมีฐานะสูงส่ง อีกทั้งพระวรกายไม่ค่อยแข็งแรง ไม่จำเป็นต้องฝืนยืนอยู่ตรงนี้หรอกพ่ะย่ะค่ะ”
ไป๋ชิงเหยียนโบกมือ แสร้งทำเป็นไม่รู้ว่าองค์รัชทายาทส่งหมอหลวงมากับการเดินทางครั้งนี้ด้วย หญิงสาวกล่าวขึ้น “หากข้าไม่อยู่ที่นี่ เมื่อคนขององค์รัชทายาทมาถึงและรายงานให้องค์รัชทายาททราบ ข้าเกรงว่าองค์รัชทายาทจะเป็นกังวลได้”
หลิวหงได้ยินดังนี้จึงไม่โน้มน้าวอีก ได้แต่พยักหน้าให้หญิงสาว เมื่อได้ยินหลินคังเล่อกล่าวว่าขบวนเดินทางมาถึงแล้ว เขาจึงหันไปมองอีกทาง…
ครั้งนี้องค์รัชทายาทใส่ใจไป๋ชิงเหยียนมากจริงๆ เสบียงและยาที่ส่งมาในครั้งนี้มีจำนวนมากกว่าทุกครั้ง
เมื่อจางตวนหนิงมาถึง เขารีบเข้าไปทำความเคารพไป๋ชิงเหยียนพลางกล่าวว่าองค์รัชทายาทส่งหมอหลวงมาให้ไป๋ชิงเหยียนด้วย กล่าวว่าให้หมอหลวงคอยติดตามดูแลอาการป่วยของไป๋ชิงเหยียน
ไป๋ชิงเหยียนมองดูหมอหลวงที่ถูกคนพยุงลงมาจากรถม้าแวบหนึ่ง เขาคือหมอหลวงคนเดียวกับที่เคยตรวจชีพจรให้ไป๋ชิงเหยียนที่จวนขององค์รัชทายาท ไป๋ชิงเหยียนกำหมัดคารวะจางตวนหนิง “ลำบากองค์รัชทายาทแล้ว”
“พี่สาวไป๋!” ฟ่านอวี้กานรีบเดินเข้ามาหยุดอยู่ตรงหน้าไป๋ชิงเหยียน เมื่อทำความเคารพไป๋ชิงเหยียนและไป๋จิ่นจื้อเสร็จจึงกล่าวขึ้นยิ้มๆ “หลู่หยวนเผิงไปเข้าร่วมกองทัพก็เพื่อจะได้ออกรบเคียงบ่าเคียงไหล่กับพี่สาวไป๋ ก่อนหน้านี้ข้าให้เขาและซือหม่าผิงกลับไปเมืองหลวงกับข้า เขาก็ไม่ยอมกลับ กล่าวว่าหากไปหนานเจียงจะมีโอกาสได้เห็นพี่สาวไป๋ออกรบอย่างองอาจ ได้ร่วมรบกับพี่สาวไป๋ ทว่า นึกไม่ถึงเลยว่าพี่สาวไป๋จะมาที่ต้าเหลียงเช่นนี้ ข้าเป็นคนที่จะได้เห็นท่าทีองอาจสง่างามของพี่สาวไป๋เป็นคนแรก!”
ฟ่านอวี้กานยิ้มอย่างสดใสร่าเริง แววตาใสซื่อ มองดูแล้วก็รู้ทันทีว่าเป็นเด็กหนุ่มที่อ่อนต่อโลก
“คุณชาย!” พ่อบ้านที่ติดตามมากับฟ่านอวี้กานด้วยรีบก้าวเข้าไปเตือน “เมื่อพบหน้าองค์หญิงเจิ้นกั๋วต้องสำรวมกิริยา จะเรียกนางว่าพี่สาวได้เช่นไรขอรับ”
“มิเป็นอันใด…” ไป๋ชิงเหยียนยิ้มให้ฟ่านอวี้กาน “ระหว่างทางลำบากแล้ว”
“ไม่ลำบากขอรับ ไม่ลำบาก ข้าไม่ได้ทำสิ่งใดเลย ท่านลุงจางเป็นคนจัดเตรียมทุกอย่างหมดเลยขอรับ ข้าแค่นั่งม้าติดตามมาด้วยเท่านั้นขอรับ” ฟ่านอวี้กานกล่าว
พ่อบ้านตระกูลฟ่าน “…”
หมอหลวงที่ลงมาจากรถม้าเรียบร้อยรีบเดินเข้าไปทำความเคารพไป๋ชิงเหยียน “คารวะองค์หญิงเจิ้นกั๋ว กระหม่อมได้รับคำสั่งจากองค์รัชทายาทให้ตรวจชีพจรให้องค์หญิงเจิ้นกั๋วทันทีที่มาถึง เชิญองค์หญิงเจิ้นกั๋วพ่ะย่ะค่ะ”
ไป๋ชิงเหยียนพยักหน้า จากนั้นเดินตามทุกคนไปยังกระโจมที่พักของหลิวหง
ไม่เพียงแค่องค์รัชทายาทเท่านั้นที่อยากรู้สภาพร่างกายของไป๋ชิงเหยียน หลิวหง หลินคังเล่อและหวังสี่ผิงก็อยากรู้เช่นเดียวกัน
ไป๋ชิงเหยียนวางแขนลงบนหมอนตรวจชีพจรท่ามกลางสายตาที่จับจ้องมากมาย ไป๋จิ่นจื้อคุกเข่าอยู่ด้านข้าง มองไปทางหมอหลวงที่กำลังขมวดคิ้วตรวจชีพจรให้ไป๋ชิงเหยียนด้วยสีหน้าเป็นกังวล “ท่านหมอหลวง พี่หญิงใหญ่ของข้าเป็นเช่นไรบ้าง”
ฟ่านอวี้กานขยับเข้าไปใกล้ไป๋จิ่นจื้อพลางเอ่ยถามขึ้นบ้าง “ท่านหมอหลวง พี่…องค์หญิงเจิ้นกั๋วเป็นเช่นไรบ้าง”
หมอหลวงตรวจชีพจรเสร็จจึงชักมือกลับ จากนั้นโค้งกายคำนับไป๋ชิงเหยียน “องค์หญิงเจิ้นกั๋ว พระวรกายของท่านในตอนนี้ย่ำแย่กว่าตอนอยู่ที่จวนองค์รัชทายาทมาก กระหม่อมเคยทูลแล้วว่าองค์หญิงต้องทรงพักผ่อนให้มาก ทว่า องค์หญิงเจิ้นกั๋วกลับเดินทางไกลมาอย่างยากลำบากเช่นนี้ ทรงไม่ห่วงพระวรกายของตัวเองบ้างหรือพ่ะย่ะค่ะ”
ฟ่านอวี้กานตกใจ “ท่านหมอหลวงตรวจผิดหรือไม่ แม้พี่สาวไป๋จะดูอ่อนแอไปสักนิด ใบหน้าซีดไปสักหน่อย ทว่า…”
ไป๋ชิงเหยียนสวมเกราะที่แขนด้วยสีหน้าเรียบเฉย จากนั้นกล่าวกับหมอหลวง “ท่านหมอหลวงได้โปรดทูลองค์รัชทายาทว่าอาการของข้าค่อยๆ ดีขึ้นแล้ว อย่าทำให้องค์รัชทายาททรงเป็นกังวลเพราะข้าเลย”