สตรีแกร่งตระกูลไป๋ - ตอนที่ 81 บ้านแตกสาแหรกขาด
ตอนที่ 81 บ้านแตกสาแหรกขาด
“ผู้ใดมาบ้าง” หญิงสาวเอ่ยถาม
ฉินหมัวมัวเอ่ยด้วยสีหน้าลำบากใจ “มาแค่…นายท่านซึ่งเป็นลูกอนุซึ่งอยู่ในลำดับศักดิ์เดียวกับซื่อจื่อเพียงสองท่านเท่านั้นเจ้าค่ะ”
ลมหนาวพัดผ่าน พัดหิมะสีขาวซึ่งเกาะอยู่ตามชายคาลอยร่วงลงบนพื้น โคมไฟสีขาวตามระเบียงทางเดินแกว่งไปมาตามแรงลม
หญิงสาวเม้มปากแน่น ไม่เอ่ยสิ่งใดอยู่ครู่ใหญ่ แม้ว่าความสัมพันธ์ของตระกูลไป๋ที่ซั่วหยางกับตระกูลไป๋แห่งจวนเจิ้นกั๋วกงเมื่อนับถึงรุ่นของนางจะห่างเหินกันเกินห้ารุ่นแล้ว แต่ตระกูลไป๋ที่ซั่วหยางมีอำนาจได้จนถึงทุกวันนี้ล้วนพึงพาบารมีของตระกูลไป๋ของนางทั้งสิ้น ทุกปีที่คนจากซั่วหยางนำของขวัญวันปีใหม่มาให้ ทายาทสายตรงของตระกูลไป๋ที่ซั่วหยางล้วนติดตามมาด้วยทุกครั้ง หวังจะเชื่อมไมตรีกับจวนเจิ้นกั๋วกง
บัดนี้ตระกูลไป๋จัดพิธีศพ ทางนั้นกลับส่งมาเพียงนายท่านซึ่งเป็นบุตรอนุเพียงสองคน แม้จะไม่ถึงขั้นแล่นเรือไปตามลม แต่ก็ดูไร้น้ำใจเกินไปหน่อย
การเอาตัวรอดเป็นสัญชาตญาณในตัวของมนุษย์ทุกคน นางไม่โทษผู้ใดทั้งสิ้น
แต่อดรู้สึกหนาวเหน็บในใจมิได้
หญิงสาวเอ่ยเสียงเบา “ท่านย่าทานยาเสร็จเพิ่งได้พักผ่อน วันหลังเถิด!”
ฉินหมัวมัวพยักหน้ารับแล้วเดินจากไปอย่างรวดเร็ว
ไป๋ชิงเหยียนเดินจูงมือไป๋จิ่นเซ่อไปยังเรือนหน้า คุกเข่าอยู่หน้าโลงศพพร้อมกับท่านแม่ ท่านอาสะใภ้และน้องๆ
ฮูหยินสี่หวังซื่อหมอบอยู่ข้างโลงศพของคุณชายสิบเจ็ดราวกับร่างไร้วิญญาณ ผู้ใดโน้มน้าวก็ไม่ยอมลุกขึ้น…
ผู้ที่มาเคารพศพเป็นคนแรกคือต่งเหล่าไท่จวินที่มาจากตงโจวและท่านน้าชายกับท่านลุงใหญ่ ซึ่งแทบจะยกกันมาทั้งครอบครัว
ต่งฉางหยวนเคารพศพเสร็จจึงมองไปทางไป๋ชิงเหยียนที่น้ำตาคลอพลางโค้งกายคำนับขอบคุณ ชายหนุ่มรู้สึกปวดใจเป็นอย่างมาก เดาว่าเป็นเพราะสถานการณ์ของตระกูลไป๋ในตอนนี้ยังไม่ชัดเจน ตระกูลไป๋ทางซั่วหยางจึงส่งท่านลุงมาเคารพศพเพียงแค่สองท่าน ขุนนางในราชสำนักต่างไม่กล้ามาร่วมงาน แม้แต่ตระกูลฝั่งมารดาของบรรดาท่านอาสะใภ้ของญาติผู้พี่ยังมิส่งคนมาเคารพศพเลยสักคน มีแต่ชาวบ้านในเมืองหลวงที่มายืนอออยู่หน้าประตูจวน พากันร้องไห้ด้วยความโศกเศร้าเสียใจ
เรื่องของตระกูลไป๋ในครั้งนี้สะท้อนให้เห็นความเป็นจริงที่ว่าผู้ใดมีอำนาจมักมีแต่คนประจบสอพลอ ผู้ใดสูญสิ้นอำนาจล้วนไม่มีคนคบหาอย่างกระจ่างแจ้ง
ต่งเหล่าไท่จวินเคารพศพของวีรบุรุษตระกูลไป๋เสร็จจึงจูงมือของต่งซื่อไปยังที่ลับตาคน เอ่ยถึงแผนการของตนให้ต่งซื่อฟังด้วยเสียงแผ่วเบา
“เมื่อวานเสนาบดีกรมขุนนางที่สนิทกับพี่ชายใหญ่ของเจ้าเตือนให้เขาเว้นระยะห่างกับตระกูลไป๋ กล่าวว่าฮ่องเต้อาจใช้โอกาสนี้กำจัดตระกูลไป๋ให้สิ้นซาก ให้พี่ชายของเจ้ากันตัวเองออกมาก่อน! แม่ไตร่ตรองดูแล้ว…เอาอย่างนี้ดีหรือไม่ เมื่อแม่กลับไปจะแสร้งล้มป่วยหนัก พวกเราบอกกับผู้อื่นว่าอาเป่ากับฉางหยวนหมั้นหมายกันมานานแล้ว แม้จะแต่งงานตอนช่วงไว้ทุกข์ แต่หากอ้างว่าเป็นการแก้เคล็ดให้หญิงชราอย่างแม่ ผู้อื่นก็คงมิว่าอันใดหรอก! ส่วนเจ้า…ไปขอหนังสือหย่ามาจากองค์หญิงใหญ่เสีย! พวกเรากลับไปอยู่ตงโจวกัน ช่วยใครได้ก็ช่วยไว้ก่อน!”
ต่งเหล่าไท่จวินกล่าวออกมาอย่างรวดเร็วและร้อนใจ เหมือนว่าก่อนมาที่นี่นางได้เตรียมการมาอย่างดีแล้ว
ในเมื่อรู้ว่าตระกูลไป๋กำลังพังพินาศ ต่อให้นางต้องตายนางก็จะช่วยบุตรสาวและหลานสาวออกมาให้ได้
ต่งซื่อได้ยินคำกล่าวของต่งเหล่าไท่จวิน ใจเต้นรัวอย่างไม่เป็นสุข “ท่านแม่ ท่านแน่ใจหรือไม่เจ้าคะ เสนาบดีกรมขุนนางกล่าวเช่นนั้นจริงหรือเจ้าคะ”
เสนาบดีกรมขุนนางคาดเดาใจผู้อื่นเก่งที่สุด
“เหตุใดแม่ต้องโกหกเจ้าด้วย!” ต่งเหล่าไท่จวินกุมมือบุตรสาวแน่น น้ำเสียงสะอึกสะอื้น “แม่รู้ว่าเจ้าเป็นคนเห็นแก่ความสัมพันธ์ แต่นี่ไม่ใช่เวลาทำตัวเป็นคนดี! พวกเราค่อยๆ วางแผนทีละขั้น เจ้ากับอาเป่าหนีออกมาจากอันตรายนี้ก่อน! แล้วค่อยหาวิธีช่วยคนในตระกูลไป๋ทีละคน! เจ้าไม่ต้องเป็นห่วงองค์หญิงใหญ่ นางเป็นป้าแท้ๆ ของฮ่องเต้ ฮ่องเต้ไม่มีทางทำอันใดนางหรอก!”
ต่งซื่อก้มหน้าคิดไตร่ตรองในใจอย่างรวดเร็ว คุณหนูรองไป๋จิ่นซิ่วออกเรือนไปแล้ว ไป๋จิ่นถงก็ถึงวัยออกเรือนแล้ว แต่คุณหนูสี่ไป๋จิ่นจื้อ คุณหนูห้า คุณหนูหกและคุณหนูเจ็ดยังเล็กอยู่ กว่าฮูหยินห้าฉีซื่อจะคลอดก็อีกตั้งหลายเดือน…
“หวั่นจวิน!” ต่งเหล่าไท่จวินกระชากตัวบุตรสาวอย่างแรง “เจ้าฟังคำที่แม่กล่าวอยู่หรือไม่!”
ครู่หนึ่ง ต่งซื่อมองดูต่งเหล่าไท่จวินด้วยดวงตาที่แดงก่ำ กล่าวยิ้มๆ “ท่านแม่ ข้าแต่งงานกับฉีซานแล้ว ข้าเคยให้สัญญากับฉีซานไว้ หากข้าทิ้งตระกูลไป๋ไปตอนนี้ วันหน้าข้าจะมีหน้าไปพบฉีซานได้อย่างไรเจ้าคะ ข้าจะทนให้ผู้อื่นเห็นว่าตระกูลไป๋บ้านแตกสาแหรกขาดหลังจากที่วีรบุรุษตระกูลไป๋จากไปได้อย่างไรกันเจ้าคะ”
ต่งเหล่าไท่จวินตบตีไปที่แขนของบุตรสาวอย่างทนไม่ไหว “แล้วเจ้าทนเห็นแม่ที่แก่ชราเห็นหนุ่มสาวอย่างพวกเจ้าตายไปต่อหน้าต่อตาได้อย่างนั้นหรือ เจ้าทำสิ่งใดผิด! อาเป่าทำสิ่งใดผิดกัน!”
“ท่านแม่ เดิมทีข้าคิดว่าหากอาเป่าไม่เต็มใจ เช่นนั้นการแต่งงานของฉางหยวนกับอาเป่าก็เป็นโมฆะไป! แต่เมื่อเรื่องเป็นเช่นนี้ ข้าจะบังคับให้อาเป่าแต่งงานให้ได้เจ้าค่ะ! หากตระกูลไป๋รอดพ้นวิกฤตในครั้งนี้ไปได้ก็แล้วไป หากไม่ได้ ภายภาคหน้า ท่านแม่กับน้องสะใภ้ช่วยดูแลอาเป่าด้วยนะเจ้าคะ!”
ต่งซื่อกล่าวจบก็คุกเข่าก้มศีรษะคำนับต่งเหล่าไท่จวิน เอ่ยเสียงสะอื้น “ให้อาเป่าดูแลทดแทนบุญคุณท่านแม่แทนข้านะเจ้าคะ!”
ต่งเหล่าไท่จวินเบนหน้าหนี ใช้ผ้าเช็ดหน้าอุดปากร้องไห้โฮ ใช้มือทุบไปที่อกด้วยความเจ็บปวด นางรู้ว่าบุตรสาวตั้งใจจะตายไปพร้อมกับตระกูลไป๋ ผู้เป็นแม่อย่างนางจะไม่ปวดใจได้อย่างไรกัน นี่คือบุตรสาวที่นางเฝ้าทะนุถนอมมาตั้งแต่เล็กจนโต นี่คือบุตรสาวที่นางคลอดออกมาเอง!
เมื่อเห็นว่าบุตรสาวคุกเข่าไม่ยอมลุกขึ้น ต่งเหล่าไท่จวินพยุงบุตรสาวให้ลุกขึ้นอย่างจนปัญญา สะอึกสะอื้นอย่างรุนแรง “เจ้าเป็นคนมีความคิดตั้งแต่เด็กและให้ความสำคัญกับความสัมพันธ์! ยังมิแต่งงานก็กล้ารับปากจินหลานพี่น้องร่วมสาบานว่าจะรับฉินหล่างเป็นลูกเขย! ตอนนี้…ตอนนี้ยัง…”
ต่งเหล่าไท่จวินร้องไห้สะอึกสะอื้น พยายามควบคุมอารมณ์ของตนเอง กอดบุตรสาวไว้ในอ้อมกอด “ในเมื่อเจ้ายอมตายไปพร้อมกับตระกูลไป๋ เช่นนั้นตระกูลต่งก็จะพยายามปกป้องตระกูลไป๋ไว้อย่างเต็มที่ หวังว่าฮ่องเต้จะเห็นใจหญิงชราอย่างแม่ สงสารตระกูลไป๋ที่จงรักภักดี ไม่ทำลายตระกูลไป๋!”
“ท่านแม่! ท่านแม่…” ต่งซื่อกำเสื้อของต่งเหล่าไท่จวินแน่น ซบหน้าอยู่ในอ้อมกอดของต่งเหล่าไท่จวิน น้ำตานองหน้า ทำได้เพียงเอ่ยเรียกมารดา
ต่งซื่อเป็นสตรีที่เข้มแข็งมาก หลังจากร้องไห้เสร็จ นางก็เริ่มวางแผนหาทางออกให้ตระกูลไป๋
หลังจากเสร็จพิธีศพ นางต้องหาทางส่งพวกเด็กๆ ออกไปจากเมืองหลวง หากเกิดสิ่งใดขึ้นพวกนางจะได้ปลอดภัย หากตระกูลไป๋ปลอดภัยก็ถือเป็นการส่งพวกนางไปเที่ยวเล่นนอกเมืองสักพัก จากนั้นค่อยกลับมา
สองแม่ลูกที่ขลุกอยู่ในเรือนชิงหมิงส่งคนไปสืบเรื่องที่เรือนหน้าอยู่ตลอดเวลา เมื่อรู้ว่าตระกูลฝ่ายมารดาของต่งซื่อ ฮูยินซื่อจื่อมาเคารพศพ ทว่าตระกูลฝ่ายมารดาของสะใภ้คนอื่นต่างเกรงกลัว ไม่กล้าแม้แต่จะมาแสดงความเสียใจ สองแม่ลูกหวาดกลัวในทันที
ท่ามกลางแสงเทียนที่ริบหรี่ ไป๋ชิงเสวียนนอนอยู่บนเตียง นึกถึงตอนที่ตนเองร้องไห้อยู่หน้าประตูเมืองทิศใต้ก็ยิ่งกลัวว่าตัวเองจะพลอยเดือดร้อนไปด้วย
“เสวียนเอ๋อร์ พวกเราเก็บข้าวของหนีไปก่อนดีหรือไม่!” สตรีกลางคนกล่าวอย่างกระวนกระวาย “สถานการณ์ของตระกูลไป๋ในตอนนี้เหมือนจะล่มจมดังที่คุณหนูใหญ่ไป๋กล่าวไว้จริงๆ ! หากมีคำสั่งตัดสินโทษประหารลงมา พวกเราสองแม่ลูกต้องตายไปพร้อมกับตระกูลไป๋ด้วยนะ ลูกรัก…ตราบใดที่ยังมีชีวิต เราก็ยังมีความหวัง! รอให้ตระกูลไป๋ผ่านพ้นวิกฤตนี้ไปก่อนแล้วเราค่อยกลับมาใหม่ก็ได้ เจ้าเป็นบุตรชายที่เหลืออยู่เพียงคนเดียวของตระกูลไป๋ ถึงเวลานั้นพอเจ้ากลับมา เจ้าก็คือท่านกั๋วกงที่สูงศักดิ์ อย่างไรเสียความร่ำรวยมั่งคั่งของตระกูลไป๋ก็ต้องเป็นของเจ้าอยู่วันยังค่ำ!”
———————————————
[1] แล่นเรือไปตามลม สำนวนแปลว่าปรับตัวหรือทำตามสถานการณ์ที่คนส่วนใหญ่ทำในปัจจุบัน