สตรีแกร่งตระกูลไป๋ - ตอนที่ 86 คนน่าสงสาร
ตอนที่ 86 คนน่าสงสาร
“ปกป้องฮูหยินสี่!” ต่งซื่อเบิกตาโพลง ตะโกนออกมาเสียงดัง
องครักษ์ข้างกายของเซียวหรงเหยี่ยนไหวตัวรั้งฮูหยินสี่ไว้ได้ทันก่อนที่ศีรษะของนางจะกระแทกเข้ากับโลงศพซึ่งห่างออกไปเพียงนิ้วเดียวเท่านั้น
ไป๋ชิงเหยียนขนลุกซู่ไปทั้งร่าง ใจรู้สึกเหมือนโดนน้ำมันราดซ้ำไปบนกองไฟ เมื่อเห็นว่าองครักษ์ของเซียวหรงเหยี่ยนช่วยท่านอาสะใภ้สี่ไว้ได้ทัน มือที่กำเสื้อไว้แน่นจึงค่อยๆ ผ่อยคลายลง
ต่งซื่อถลาเข้าไปประคองฮูหยินสี่ไว้ กล่าวเสียงสะอื้น “น้องสะใภ้สี่! เจ้าห้ามคิดสั้นเช่นนี้นะ!”
“ซิ่นอ๋องสมควรตาย! เขามันคนเลือดเย็น! เขาทำอย่างนี้กับตระกูลไป๋ได้อย่างใดกัน! ทำแบบนี้กับลูกชายข้าได้อย่างใดกัน! สวรรค์…ท่านช่างไม่มีตาเสียเลย เหตุใดจึงไม่ปล่อยให้ซิ่นอ๋องตายอยู่ในสนามรบ เหตุใดไม่ปล่อยให้ตายไปเสีย!”
สตรีอ่อนแออย่างฮูหยินสี่สูญเสียทั้งสามีและบุตรชายไปในคราวเดียวกัน นางไม่หวาดกลัวสิ่งใดอีกแล้ว ไม่สนว่าเขาเป็นโอรสของฮ่องเต้ นางพร้อมจะตายอยู่แล้วขอด่าระบายอามรมณ์สักหน่อยจะเป็นอันใด
“ท่านแม่!”
“ท่านแม่!”
คุณหนูห้าและคุณหนูหกถลาเข้าไปคุกเข่ากอดขาของฮูหยินสี่เอาไว้ ร้องไห้พลางกล่าวขึ้น
“ท่านแม่! ข้าไม่มีท่านปู่กับท่านพ่อแล้ว ข้าไม่อยากสูญเสียท่านแม่ไปอีกคนเจ้าค่ะ!” คุณหนูหกไป๋จิ่นหวาร้องไห้สะอึกสะอื้น
คุณหนูห้าไป๋จิ่นเจาร้องไห้พลางกล่าวออกมา “แม้ข้ากับน้องสาวจะไม่ใช่ลูกแท้ๆ ของท่าน แต่ท่านแม่ดูแลข้ามาตั้งแต่เล็ก ท่านแม่คือแม่แท้ๆ ของพวกข้า หากท่านจากไปพร้อมท่านพ่อและน้องชาย แล้วข้ากับน้องสาวจะทำอย่างใดเจ้าคะ!”
ฮูหยินสี่หวังซื่อก้มหน้ามองดูบุตรสาวอนุฝาแฝดที่กำลังกอดขาของนางอยู่ ใจอ่อนยวบ ร่างทั้งร่างล้มพับลงบนพื้น กอดบุตรอนุทั้งสองคนไว้แน่นพลางร้องไห้โฮ
วันที่ซิ่นอ๋องนำศพกลับมายังเมืองหลวง เขาใช้โลงศพที่บางราวกับกระดาษบรรจุร่างของท่านกั๋วกงและคุณชายคนเล็กสุดของตระกูลไป๋ ตอนที่คุณชายสิบเจ็ดไปออกรบร่างของเขายังสูงไม่เท่าม้าเลยด้วยซ้ำ เขาสละชีพเพื่อบ้านเมือง ทว่าคนเลือดเย็นอย่างซิ่นอ๋องกลับไม่สั่งให้คนเย็บศีรษะกับร่างของคุณชายสิบเจ็ดให้ติดกัน นำศพกลับมาทั้งอย่างนั้นเพราะต้องการเหยียบย่ำดูถูกตระกูลไป๋ ช่างโหดเหี้ยมอันใดเช่นนี้!
เด็กอายุเพียงสิบขวบแถมยังสละชีพเพื่อบ้านเมือง เสียชีวิตลงอย่างน่าอนาถเช่นนั้น ไม่มีเสบียงอาหารประทังชีวิต…ในท้องเต็มไปด้วยดินโคลนและเศษไม้!
ตั้งแต่ที่แคว้นต้าจิ้นมีตระกูลไป๋คอยปกป้องคุ้มครอง ศัตรูไม่กล้ารุกรานแคว้น บ้านเมืองอุดมสมบูรณ์ เด็กของตระกูลใดเคยอดอยากบ้าง! แม้กระทั่งขอทานข้างถนน…ยังไม่เคยกินดินโคลนและเศษไม้เลยด้วยซ้ำ
ซิ่นอ๋องเป็นถึงโอรสของฮ่องเต้ เป็นบุรุษหนุ่มร่างสูงใหญ่กว่าม้า แต่เขากลับโหดร้ายขี้ขลาดถึงเพียงนี้ ยิ่งไปกว่านั้นคือเขากล้าโยนความผิดทั้งหมดให้วีรบุรุษผู้กล้าที่สละชีพเพื่อบ้านเมืองอีก
คนผู้นี้ไม่เพียงโหดเหี้ยม ขี้ขลาด เห็นแก่ตัว เขายังเป็นคนชั่วช้าที่หน้าไม่อายอีกต่างหาก
ไป๋ชิงเหยียนกัดฟันกรอด เจ็บปวด ร้องไห้ อาละวาดมามากพอแล้ว เมื่อได้ฟังบันทึกสถานการณ์รบอีกครั้ง เดิมทีนางคิดว่านางเจ็บปวดจนชินชากับมันแล้ว แต่ราวกับมีคนนำน้ำมันมาราดใส่กองไฟที่สุมอยู่ในใจของนางจนความแค้นแผดเผาขึ้นอีกครั้ง
หญิงสาวรับม้วนไม้ไผ่มาจากมือของท่านแม่ ท่านอาสะใภ้สอง ไป๋จิ่นถง ไป๋จิ่นจื้อแล้วนำมากอดไว้แนบอกอย่างน้ำตาคลอ คุกเข่าศีรษะคำนับแนบพื้นเบื้องหน้าโลงศพของตระกูลไป๋
เมื่อเงยหน้าขึ้นอีกครั้ง ดวงตาของหญิงสาวแดงฉานดั่งไฟเผา ไอสังหารแผ่ไปรอบกายราวกับวิญญาณอาฆาตแค้นที่ผุดขึ้นมาจากขุมนรก “ท่านปู่ ท่านพ่อ ท่านอาและน้องชายถูกคนทรยศชั่วช้าบีบทำร้ายจนเสียชีวิต วันนี้ไป๋ชิงเหยียนขอสาบานต่อหน้าดวงวิญญาณที่จงรักภักดีของตระกูลไป๋ ให้สัญญาว่าจะทวงความยุติธรรมคืนให้แก่ตระกูลไป๋ หากหลิวฮ่วนจางและซิ่นอ๋องไม่ได้ชดใช้ด้วยชีวิต ทุกอย่างไม่กระจ่างแจ้ง ข้าจะไม่มีวันยอมแพ้เด็ดขาด!”
กล่าวจบไป๋ชิงเหยียนจึงลุกขึ้นยืน ยืดกายตรงเดินออกไปจากจวนเจิ้นกั๋วกง
ดวงตาล้ำลึกของเซียวหรงเหยี่ยนจ้องไปที่แผ่นหลังซึ่งหนักแน่นมั่นคงของไป๋ชิงเหยียน หรี่ตาลงเล็กน้อย คุณหนูใหญ่ตระกูลไป๋ยังคงเป็นสตรีเลือดเย็นที่ขี่ม้าไล่ฆ่าฟันศัตรูอย่างอาจหาญผู้นั้นอยู่ ถ้อยคำที่กล่าวว่าจะให้ซิ่นอ๋องชดใช้ด้วยชีวิต นอกจากคุณหนูใหญ่ตระกูลไป๋แล้ว เกรงว่าคงไม่มีผู้ใดในเมืองหลวงกล้ากล่าวเช่นนี้อีก
“คุณหนูใหญ่ไป๋จะนำบันทึกสถานการณ์รบไปที่ใดกัน” ฉีอ๋องกังวลใจมาก
ไป๋ชิงเหยียนซึ่งยืนอยู่ใต้ป้ายชื่อของจวนเจิ้นกั๋วกงหมุนตัวกลับมาอย่างแรงจนชายชุดไว้อาลัยสะบัดปลิวเล็กน้อย หญิงสาวกัดฟันกล่าว
“ไปหน้าวังหลวง ไปตีกลองเติงเหวิน! ไปร้องทุกข์ให้ตระกูลไป๋! ไปทวงความยุติธรรมให้ท่านปู่ ท่านพ่อ ท่านอาและบรรดาน้องชายของข้า!”
ฉีอ๋องเบิกตาโพลง เข้าใจในทันทีว่าคุณหนูใหญ่ไป๋ต้องการไปกดดันเสด็จพ่อของเขา!
“พี่หญิงใหญ่ ข้าไปด้วยเจ้าค่ะ!” ไป๋จิ่นถงที่น้ำตาอาบหน้ากำชายเสื้อของตัวเองแน่น ก้าวขาเดินข้ามธรณีประตูออกไป สีหน้าหนักแน่น
ไป๋จิ่นซิ่วที่ดวงตาแดงฉานกัดฟันลุกขึ้นยืน “ข้าไปด้วยเจ้าค่ะ!”
“ข้าไปด้วย!”
ไป๋จิ่นจื้อกล่าวจบ เสียงขององค์หญิงใหญ่ก็ดังก้องมาจากทางด้านหลัง
“อาเป่าหยุดเดี๋ยวนี้!”
หญิงสาวได้ยินเสียงจึงกอดม้วนไม้ไผ่ในอ้อมกอดแน่น นิ้วมือเย็นเฉียบในทันที ร่างพลันแข็งทื่อ
คนเราสามารถเข้มแข็งขึ้นได้เพราะความสัมพันธ์ทางสายเลือด แต่ก็สามารถกลายเป็นคนอ่อนแอลงได้เพราะความสัมพันธ์ทางสายเลือดได้เช่นกัน คนที่แข็งแกร่งดังเหล็กกล้าสามารถโดนโจมตีจนพ่ายแพ้ย่อยยับ
ทว่าบัดนี้ ต่อหน้าโลงศพยี่สิบกว่าโลงของตระกูลไป๋ นางไม่มีทางยอมถอยเพราะท่านย่าเด็ดขาด
ต่อให้ท่านย่าต้องการหยุดยั้งนาง มันก็ไม่มีประโยชน์อันใดแล้ว
ท่ามกลางสายตาของผู้คนมากมายในเมืองหลวงในเวลากลางวันเช่นนี้ ท่านย่าของนาง องค์หญิงใหญ่แห่งราชวงศ์หลินจะกล้าจับนางขังไว้ในเรือนหลังเช่นนั้นหรือ!
นางอดรู้สึกผิดหวังและเจ็บปวดไม่ได้ หลังจากที่ได้ยินเรื่องในบันทึก รับรู้ว่าสามี บุตรชายและหลานชายของท่านเสียชีวิตอย่างน่าอนาถสักเพียงใด หลังจากที่รับรู้ว่าหลานชายคนที่สิบเจ็ดของท่านถูกตัดศีรษะ คว้านท้องอย่างไรบ้าง ทว่าองค์หญิงใหญ่ ท่านย่าของนางยังคงต้องการปกป้องราชวงศ์หลินอยู่…
หญิงสาวหันกลับมา ดวงตาล้ำลึกแดงฉานคู่นั้นมองไปทางองค์หญิงใหญ่ น้ำเสียงเบาหวิว “ท่านย่าจะห้ามข้าหรือเจ้าคะ!”
มองเห็นสายตาที่เต็มไปด้วยความผิดหวังและหวาดระแวงของหลานสาวที่นางเลี้ยงมาเองกับมือ มองเห็นหลานสาวอีกสามคนที่ตัวเกร็งเพราะความโมโห ถ้อยคำขององค์หญิงใหญ่จุกอยู่ที่ลำคอ เอ่ยออกมามิได้
ทว่านางคือองค์หญิงใหญ่ แม้จะชราภาพมากแล้ว แต่ท่าทีน่าเกรงขามและความทระนงในศักดิ์ศรีกลับมีมากขึ้นตามอายุ แม้ใบหน้าจะดูซีดเซียว ทว่าผมที่ขาวโพลนถูกหวีเรียบร้อยเป็นระเบียบ นางยังคงยืนยืดกายตรงเช่นเดิม
ดวงตาที่ผ่านการร้องไห้มาขององค์หญิงใหญ่แดงก่ำ นางกำไม้เท้าหัวพยัคฆ์ในมือแน่น เดินไปหยุดอยู่ตรงหน้าไป๋ชิงเหยียนโดยมีเจี่ยงหมัวมัวคอยช่วยพยุง ประสานสายตากับไป๋ชิงเหยียน น้ำเสียงที่ยามปกติมีแต่ความอ่อนโยนบัดนี้แหบพร่าขึ้นเล็กน้อย
“การแก้แค้นของตระกูลไป๋จะให้เด็กสาวอย่างเจ้าเป็นแกนนำได้อย่างใดกัน! ข้าเป็นฮูหยินของเจิ้นกั๋วกงแห่งจวนเจิ้นกั๋วกง! ข้ายังมิตาย! นั่นมันสามี ลูกชาย หลานชายของข้า! ต่อให้ข้าต้องตายข้าก็จะทวงความยุติธรรมคืนให้แก่พวกเข้าให้จงได้!”
เหนือความคาดหมายของไป๋ชิงเหยียน ทว่าก็สมเหตุสมผล
ดวงตาของหญิงสาวแดงก่ำยิ่งกว่าเดิม แต่ใจอ่อนยวบลง เทียบกับพวกนางที่สูญเสียท่านพ่อและพี่น้องแล้ว ที่จริงคนที่น่าสงสารที่สุด…คือองค์หญิงใหญ่ ท่านย่าของนาง สามี บุตรชาย หลานชายเสียชีวิตอยู่ที่หนานเจียงทั้งหมด ส่วนคนที่ทำเรื่องเลวร้ายพวกนี้คือคนในตระกูลฝั่งมารดาของท่านเอง
คำโบราณกล่าวไว้ว่าความเจ็บปวดของมนุษย์มีอยู่สามแบบ สูญเสียบิดาตั้งแต่วัยเยาว์ สูญเสียสามีในวัยกลางคน สูญเสียบุตรชายในวัยชรา
คนพวกนี้ล้วนเป็นคนที่น่าสงสาร
หญิงสาวเดินเข้าไปพยุงองค์หญิงใหญ่ กล่าวสะอื้น “ท่านย่า…พวกเราจะไปกับท่านย่าเจ้าค่ะ!”