สตรีแกร่งตระกูลไป๋ - ตอนที่ 872 คลังสมบัติส่วนตัว
ตอนที่ 872 คลังสมบัติส่วนตัว
ไป๋ชิงเหยียนมองไปทางตำหนักใหญ่ที่หันหน้าเข้าหาประตูอู่เต๋อ แผ่นกระเบื้องเคลือบสะท้อนแสงแดดจนสว่างเรืองรองราวกับตำหนักแห่งนี้ไม่เคยเกิดสงครามขึ้นมาก่อน ตำหนักใหญ่ตั้งตระหง่านอยู่ท่ามกลางแสงอาทิตย์บนท้องฟ้าที่กว้างใหญ่ ไม่ว่าจะเกิดการผลัดเปลี่ยนขึ้นกี่ราชวงศ์ ไม่ว่าสุดท้ายแล้วอำนาจของราชวงศ์จะตกอยู่ในมือของผู้ใด ตำหนักแห่งนี้ก็ยังคงอยู่ต่อไปไม่เสื่อมคลาย
หลู่เซียงและขุนนางคนอื่นๆ ยืนอยู่กลางลานกว้างหน้าตำหนักใหญ่ เมื่อไป๋ชิงเหยียนยกมือขึ้น พวกเขาเห็นกองทัพเหล่านั้นหยุดนิ่งโดยพร้อมเพรียงกัน ทั่วบริเวณเงียบกริบในทันที มีเพียงเสียงลมพัดผ่านธงจนปลิวสยายไปมาตามแรงลมเท่านั้น บรรยากาศช่างน่าหวาดหวั่นและน่ายำเกรงยิ่งนัก
ทันใดนั้นเองลมพายุเริ่มก่อตัวขึ้น ท้องฟ้าที่สว่างจ้าจากแสงอาทิตย์ค่อยๆ มืดครึ้มลง
ขุนนางคนหนึ่งชี้ไปบนท้องฟ้าพลางตะโกนลั่น “ดูนั่นเร็ว!”
ทุกคนเงยหน้ามองขึ้นไปบนท้องฟ้า พวกเขาเห็นดวงอาทิตย์กลมโตที่ส่องแสงสว่างเรืองรองหายไปเสี้ยวหนึ่ง ความมืดค่อยๆ กลืนกินดวงอาทิตย์ที่ส่องแสงแผดจ้าอยู่บนนภาสูงอย่างช้าๆ ความมืดค่อยๆ ปกคลุมเมืองหลวงทั้งเมืองของแคว้นต้าจิ้น…
ไม่นานบนท้องฟ้าเหลือเพียงวงแหวนของดวงตะวันเท่านั้น
นี่คือปรากฏการณ์ที่ไม่เคยเกิดขึ้นในรอบหนึ่งพันปีที่ผ่านมา บัดนี้กลับเกิดขึ้นในช่วงเวลานี้ โหรหลวงรีบแทรกตัวออกมาจากกลุ่มขุนนาง จากนั้นคุกเข่าตะโกนลั่น “แคว้นไร้การปกครอง มีแต่ความโหดร้าย เกิดหายนะขึ้นแล้ว!”
คิ้วของหลู่เซียงกระตุกอย่างรุนแรง การเกิดสุริยุปราคาคือลางร้ายของแผ่นดิน
ไป๋จิ่นเซ่อเงยหน้ามองสุริยุปราคาบนท้องฟ้าพลางกำมือแน่น สุริยุปราคาเป็นสัญลักษณ์แห่งหายนะที่มักเกิดขึ้นเมื่อจักรพรรดิผู้ปกครองแคว้นไร้คุณธรรม
ในเมื่อจักรพรรดิไร้คุณธรรมแล้วเหตุใดผู้ที่มีคุณธรรมมากกว่าจะเข้าแทนทีไม่ได้
ดูเหมือนว่าสวรรค์กำลังเข้าข้างพี่หญิงใหญ่ของนางอยู่ แม้แต่สวรรคย์ยังทนเห็นราชวงศ์ที่เสื่อมโทรมอย่างราชวงศ์หลินปกครองแคว้นต่อไปไม่ได้
บรรดาขุนนางพากันคุกเข่าลงบนพื้น เงยหน้าคำนับฟ้าดินพลางร้องไห้ออกมาอย่างเจ็บปวด
บรรดาทหารที่อยู่บนกำแพงเมืองตีกลอง เป่าแตรลั่น…
ไม่นานความมืดที่บดบังดวงอาทิตย์อยู่ก็ค่อยๆ เลือนรางลง เมืองหลวงเริ่มกลับมาสว่างขึ้นอีกครั้ง แสงแดงที่แผดจ้าทำให้ทุกคนรีบก้มหน้าลงอย่างแสบตา ไม่ว่าบรรดาขุนนางจะมองไปทางใด พวกเขาล้วนเห็นเพียงแสงสีเขียวที่เลือนรางเท่านั้น สิ่งเดียวที่พวกเขาเห็นชัดท่ามกลางแสงสีเขียวที่เลือนรางเหล่านี้คือร่างของสตรีในชุดเกราะเงินที่นั่งอยู่บนหลังม้าขาวเท่านั้น
ไม่นานแสงตะวันก็กระจายทั่วท้องฟ้าอย่างเต็มที่ เมืองหลวงทั้งเมืองสว่างเรืองรองเป็นสีทองจากแสงอาทิตย์อีกครั้ง
ไป๋ชิงเหยียนกำดาบที่เอวแน่นพลางเดินขึ้นไปบนบันไดสูง
เซี่ยอวี่จั่งประคองร่างของหลู่เซียงที่ยังคงตาลายอยู่ให้ลุกขึ้น จากนั้นกล่าวเสียงเบาหวิว “หลู่เซียง นั่นองค์หญิงเจิ้นกั๋วขอรับ”
หลู่เซียงรู้สึกเหมือนสะดุ้งตื่นจากความฝัน เขาถูกเซี่ยอวี่จั่งประคองให้เดินนำบรรดาขุนนางที่เหลือลงจากบันไดสูงไปด้านล่างเพื่อต้อนรับองค์หญิงเจิ้นกั๋วที่นำกองทัพกลับมายังเมืองหลวง
“องค์หญิงเจิ้นกั๋ว!” หลู่เซียงกล่าวเสียงสะอื้น เขารีบเดินนำขุนนางเข้าไปทำความเคารพไป๋ชิงเหยียนเป็นคนแรก
เมื่อยึดเมืองหลวงหานของต้าเหลียงได้แล้ว ไป๋ชิงเหยียนนำทัพกลับมาถึงเมืองหลวงของต้าจิ้นในเวลาอันสั้นเช่นนี้ คำนวณจากเวลาดูแล้วหญิงสาวคงเร่งเดินทางทั้งวันทั้งคืนโดยไม่หยุดพัก
ทว่า ไม่คุ้มค่าจริงๆ เพื่อจักรพรรดิที่เห็นชาวบ้านเป็นเพียงสิ่งไร้ค่า เพื่อรัชทายาทที่ขี้ขลาดและไร้ศักดิ์ศรีเช่นนั้น…ไม่คุ้มค่าเลยจริงๆ
ต่งชิงผิงพยักหน้าให้ไป๋ชิงเหยียนยิ้มๆ ถ้อยคำมากมายติดอยู่ในลำคอ เขารีบส่งสัญญาณให้ไป๋ชิงเหยียนเข้าไปช่วยพยุงหลู่เซียงก่อน ไป๋ชิงเหยียนพยักหน้าแล้วเดินไปด้านหน้า “หลู่เซียงไม่ต้องมากพิธี! ทุกคนไม่ต้องมากพิธี!”
“รายงาน…”
ไป๋ชิงเหยียนเพิ่งประคองหลู่เซียงลุกขึ้นจากพื้นก็มีทหารคนหนึ่งขี่ม้าเร็วเข้ามารายงาน
ทหารผู้นั้นกระโดดลงจากหลังม้าโดยไม่รอให้ม้าหยุดนิ่งดี เขายื่นฎีกาด่วนให้ไป๋ชิงเหยียนด้วยมือทั้งสองข้าง “ทูลองค์หญิงเจิ้นกั๋ว มีรายงานด่วนจากเมืองเฝินผิงว่าเจ้าเมืองและแม่ทัพคุ้มกันเมืองเฝินผิงนำทัพก่อกบฏในวันที่ห้า เดือนห้าเพราะไม่ต้องการมอบเด็กหญิงและชายจำนวนแปดสิบคนให้ทางการพ่ะย่ะค่ะ ทหารส่งข่าวเห็นว่าเมืองหลวงกำลังวุ่นวายจึงไม่กล้าเข้ามาส่งข่าว ข่าวจึงล่าช้าไปหน่อยพ่ะย่ะค่ะ”
“รายงาน..”
ทหารอีกคนขี่ม้าเร็วเข้ามาในวังหลวง เขาลงจากหลังม้า จากนั้นคุกเข่ายื่นฎีกาด่วนให้ไป๋ชิงเหยียน “ทูลองค์หญิงเจิ้นกั๋ว เกิดแผ่นดินไหวอย่างรุนแรงขึ้นที่หุบเขาฉงหลวนในวันที่สิบ เดือนห้า เขื่อนของเมืองสุ่ยเจียงพังทลาย น้ำท่วมเมืองและที่นาของเมืองสุ่ยเจียงจนเสียหายอย่างหนัก ดินโคลนถล่มลงมาไม่หยุด ชาวบ้านได้รับบาดเจ็บและล้มตายเป็นจำนวนมากพ่ะย่ะค่ะ!”
กลุ่มขุนนางหลู่เซียงตกใจอย่างหนัก สถานการณ์ในเมืองหลวงยังไม่ทันสงบดี เหตุใดจึงมีทั้งเหตุการณ์แผ่นดินไหว น้ำท่วมและดินโคลนถล่มเกิดขึ้นเช่นนี้กัน…
ไป๋ชิงเหยียนรีบรับม้วนไม้ไผ่มาเปิดอ่าน หญิงสาวกวาดสายตาอ่านเนื้อหาเพียงคร่าวๆ จากนั้นตะโกนขึ้นเสียงดังลั่น “ทุกท่าน ตอนนี้เกิดภัยพิบัติขึ้นอย่างรุนแรง ทุกท่านตามไป๋ชิงเหยียนเข้าไปปรึกษาในตำหนักก่อนเถิด”
หลู่เซียงพยักหน้ารับคำ
ขุนนางราชสำนักต้าจิ้นที่ถูกเหลียงอ๋องปลดชุดขุนนางออกและเพิ่งผ่านความเป็นความตายมาไม่มีเวลาสนใจสภาพเครื่องแต่งกายของตัวเอง พวกเขาเดินตามไป๋ชิงเหยียนที่สวมชุดเกราะที่เต็มไปด้วยเลือดเข้าไปด้านในตำหนักด้วยสภาพสะบักสะบอม
บรรดาขุนนางอ่านฎีกาที่เจ้าเมืองสุ่ยเจียงส่งมาอย่างคร่าวๆ จากนั้นถกเถียงว่าจะช่วยเหลือเมืองสุ่ยเจียงได้เช่นไร ไป๋ชิงเหยียนยืนอ่านฎีกาด่วนที่เมืองเฝินผิงส่งมาอยู่บนบันไดหยกกลางท้องพระโรง
เจ้าเมืองเฝินผิงก่อกบฏเพราะราชโองการรวบรวมเด็กชายและหญิงจำนวนหนึ่งพันคนของจักรพรรดิต้าจิ้น
ตามราชโองการที่ประกาศออกมา เสนาบดีกรมการคลังฉู่จงซิ่งให้ทางการเมืองเฝินผิงส่งมอบเด็กหญิงและชายจำนวนแปดสิบคนให้ราชสำนักโดยคำนวณจากจำนวนประชากรที่มีในเมืองเฝินผิง ฮูหยินของเจ้าเมืองรู้ว่าจักรพรรดิต้าจิ้นต้องการนำชีวิตของเด็กเหล่านี้ไปปรุงเป็นยาวิเศษจึงโต้เถียงกับขุนนางที่เหลียงอ๋องส่งไปด้วยความโมโห ขุนนางผู้นั้นแทงดาบเข้าที่หน้าอกของภรรยาของเจ้าเมืองเฝินผิงด้วยความโมโห
ทุกคนในเมืองเฝินผิงล้วนรับรู้ว่าเจ้าเมืองเฝินผิงรักภรรยายิ่งกว่าชีวิตของตัวเอง เขาตัดศีรษะของขุนนางผู้นั้นและก่อกบฏในทันที
“เจ้าเมืองสุ่ยเจียงส่งคนไปเตือนเมืองใกล้เคียงและส่งชาวบ้านอพยพออกจากเมืองสุ่ยเจียงแล้ว ดูเหมือนว่าน้ำจะยังคงท่วมไม่หยุด บัดนี้ยังไม่อาจสรุปจำนวนชาวบ้านที่เสียชีวิตได้ เสบียงจมน้ำหมดแล้ว…” หลู่เซียงกล่าวกับไป๋ชิงเหยียน
“องค์หญิงเจิ้นกั๋ว สิ่งที่สำคัญที่สุดในตอนนี้คือการส่งทหารไปช่วยบรรเทาทุกข์พ่ะย่ะค่ะ”
“ทว่า บัดนี้ไม่รู้ว่าเสนาบดีกบฏกรมการคลังฉู่จงซิ่งหนีไปที่ใด ขุนนางอีกหกกรมที่ร่วมก่อกบฏกับเหลียงอ๋องก็มีอยู่ไม่น้อย พวกเราต้องจัดตั้งขุนนางเหล่านี้ขึ้นมาใหม่ก่อนจึงจะสามารถกำหนดเรื่องการบรรเทาทุกข์ได้ มิเช่นนั้นคนที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้คงไม่รู้ว่าควรติดต่อหาผู้ใดกันแน่พ่ะย่ะค่ะ”
“เรื่องนี้เป็นเรื่องเร่งด่วน ตอนนี้เราไม่มีเวลาจัดสอบขุนนางมารับตำแหน่งใหม่ ทุกกรมโยกย้ายคนขึ้นไปเสริมตำแหน่งที่ยังว่างในกรมของตัวเองตามควาสามารถและระดับของขุนนางแต่คนด้วย” ไป๋ชิงเหยียนกล่าวอย่างรวดเร็วและมั่นคง “ขุนนางกรมการคลังอยู่ที่ใด”
ขุนนางกรมการคลังทุกคนพากันก้าวออกมาด้านหน้า
“ตอนนี้กรมการคลังสามารถจับหาเงินและเสบียงไปช่วยเหลือภัยพิบัติที่หุบเขาฉงหลวนได้เท่าใด” ไป๋ชิงเหยียนเอ่ยถาม
ขุนนางกรมการคลังมองหน้ากันไปมา พวกเขากำลังคิดคำนวณอยู่ในใจ ปีนี้จักรพรรดิต้าจิ้นใช้เงินสร้างหอบูชาเก้าชั้น ต่อมาก็นำเงินจำนวนหนึ่งไปซ่อมแซมเขื่อนกว่างเหอ จากนั้นเกิดโรคระบาดขึ้น กรมการคลังกำลังคิดว่าจะไปหาเงินมาจากที่ใดได้อีก
ขุนนางผู้น้อยในกรมการคลังคนหนึ่งที่เครื่องแต่งกายเต็มไปด้วยเลือด สภาพทุลักทุเลก้าวไปด้านหน้าด้วยสีหน้าสงบนิ่ง จากนั้นกล่าวขึ้น “ทูลองค์หญิงเจิ้นกั๋ว ตอนที่เหลียงอ๋องก่อกบฏ เขากักตุนเสบียงไว้ในวังหลวงค่อนข้างมาก กระหม่อมคำนวณดูแล้วว่าน่าจะเพียงพอต่อคนจำนวนสองหมื่นคนในระยะเวลาสิบวันพ่ะย่ะค่ะ ทว่า กระหม่อมขอบังอาจทูลให้เปิดพระคลังสมบัติส่วนพระองค์ของจักรพรรดิต้าจิ้นเพื่อนำมาใช้บรรเทาทุกข์ภัยพิบัติในครั้งนี้พ่ะย่ะค่ะ!”
คำกล่าวนี้เป็นคำกล่าวที่อุกอาจมาก จักรพรรดิต้าจิ้นไม่อยู่…เขากล้าบอกให้องค์หญิงเจิ้นกั๋วเปิดคลังสมบัติส่วนตัวของจักรพรรดิต้าจิ้นโดยพละการ หากองค์หญิงเจิ้นกั๋วเปิดจริงๆ เมื่อจักรพรรดิต้าจิ้นคาดโทษจะทำเช่นไร
“เจ้ามีนามว่าอันใด” ไป๋ชิงเหยียนถาม