สตรีแกร่งตระกูลไป๋ - ตอนที่ 875 ไม่มีสิ่งใดต้องละอาย
ตอนที่ 875 ไม่มีสิ่งใดต้องละอาย
ไป๋ชิงเหยียนกำมือพลางเม้มปากแน่น ผ่านไปครู่ใหญ่จึงเอ่ยขึ้นเสียงแหบพร่า “ท่านย่า…คิดผิดแล้ว”
จักรพรรดิไร้หัวใจคือหลักการปกครองแผ่นดินของราชวงศ์หลิน!
ทว่า นางคิดว่าการปกครองแคว้นควรใช้กฎหมายเป็นตัวกำหนด กฎหมายไร้หัวใจ ทว่า จักรพรรดิสามารถมีหัวใจได้
นางจะพิสูจน์ให้ท่านย่าเห็นว่าท่านคิดผิด…
“พี่หญิงใหญ่…” ไป๋จิ่นเซ่อก้าวไปด้านหน้า เอ่ยเสียงแผ่วเบา “จี้ถิงอวี๋ไล่ตามไปแล้ว เขาต้องช่วยท่านย่ากลับมาได้แน่นอนเจ้าค่ะ!”
ไป๋ชิงเหยียนพยักหน้า “ส่งคนไปบอกทางซั่วหยางด้วยว่าพวกเราปลอดภัยดี ท่านแม่และบรรดาท่านอาสะใภ้จะได้ไม่ต้องเป็นห่วง”
“พี่หญิงใหญ่ไม่ต้องห่วงเจ้าค่ะ ข้าส่งคนไปแจ้งที่ซั่วหยางแล้วเจ้าค่ะ” ไป๋จิ่นซิ่วกล่าว
ภายในตำหนัก
“เมื่อสุริยุปราคาปรากฏขึ้น สัญลักษณ์อัปมงคลปรากฏกาย เมื่อดวงจันทร์อับแสง เมื่อดวงอาทิตย์อับแสง ราษฎรในแคว้น ตกอยู่ในความทุกข์ยาก สัญลักษณ์แห่งความโชคร้าย เกิดขึ้นอย่างไม่ปกติ แคว้นไร้การปกครอง แคว้นไร้คุณธรรม จันทรุปราคาเกิดขึ้นบ่อยครั้ง ทุกอย่างดำเนินตามปกติ ทว่า เมื่อสุริยุปราคาบังเกิด หมายถึงแคว้นกำลังอับโชค สายฟ้าและพายุโหมกระหน่ำ ใต้หล้ามีแต่ความไม่สงบ คลื่นในแผ่นน้ำก่อตัว ภูเขาพังทลาย หุบเขาลึกกลายเป็นภูผาสูงชัน ต้องโทษผู้นำที่ไม่แยแสต่ออันตรายเหล่านี้”
หลี่หมิงรุ่ยเดินท่อง ‘การผลัดเปลี่ยนในเดือนสิบ’ เข้ามาในตำหนัก จากนั้นโค้งกายทำความเคารพขุนนางทุกคน “บทกวีการผลัดเปลี่ยนในเดือนสิบ ในคัมภีร์ซือจิงคือบทกวีที่ขุนนางผู้น้อยในยุคสมัยของจักรพรรดิโจวโยวเป็นผู้เขียนขึ้น ดวงอาทิตย์เป็นตัวแทนแห่งคุณธรรม เป็นตัวแทนของจักรพรรดิ บัดนี้ที่แคว้นต้าจิ้นของเราไม่สงบสุขเป็นเพราะธรรมชาติต้องการเตือนพวกเราว่าจักรพรรดิที่ไร้คุณธรรมไม่คู่ควรที่จะเป็นจักรพรรดิแห่งแผ่นดินต่อไป อำนาจของราชวงศ์หลินเสื่อมอำนาจลงเช่นเดียวกับราชวงศ์ของจักรพรรดิโจวโยวแล้ว”
“หลี่หมิงรุ่ย! เจ้ายังกล้ามาที่นี่อีกหรือ!” เสนาบดีกรมทหารเสิ่นจิ้งจงชักดาบจากเอวของหลินคังเล่อเตรียมพุ่งเข้าใส่หลี่หมิงรุ่ย โชคดีที่หลินคังเล่อคว้าตัวเขาไว้ได้ทัน
“ทุกท่าน หลี่หมิงรุ่ยทราบดีว่าทุกท่านยังระแวงสงสัยในตัวข้าเพราะก่อนหน้านี้ที่ข้าเคยช่วยเหลือเหลียงอ๋องก่อกบฏ ทว่า ในบรรดาขุนนางที่อยู่ในที่นี้ไม่ได้มีเพียงหมิงรุ่ยคนเดียวเท่านั้นที่เคยช่วยเหลือเหลียงอ๋องมาก่อน ใต้เท้าอัน ใต้เท้าพาน พวกท่านว่าจริงหรือไม่” หลี่หมิงรุ่ยมองไปทางขุนนางสองคนที่ยืนอยู่ด้านหลังสุดด้วยสีหน้ายิ้มๆ
ขุนนางสองคนนั้นยิ้มประจบออกมาเล็กน้อย ใต้เท้าพานรีบก้าวไปด้านหน้าพลางก้มศีรษะคำนับแนบพื้น “นับจากนี้กระหม่อมยินดีรับใช้องค์หญิงเจิ้นกั๋วจนวันตายพ่ะย่ะค่ะ”
หลี่หมิงรุ่ยมองไปทางหลู่เซียง จากนั้นกล่าวขึ้นราวกับต้องการสนทนาเล่นเฉยๆ “ท่านอัครมหาเสนาบดีหลู่ วันนี้เกิดสุริยุปราคาขึ้นบนท้องฟ้า ต่อมาหุบเขาฉงหลวนเกิดแผ่นดินไหว เมืองสุ่ยเจียงเกิดอุทกภัยขึ้น นี่ยังไม่ใช่การเตือนจากสวรรค์ว่าแคว้นต้าจิ้นของเราควรเปลี่ยนผู้นำแผ่นดินอีกหรือ”
“จักรพรรดิต้าจิ้นหมกมุ่นอยู่กับการสร้างหอบูชาเก้าชั้น คิดจะใช้ชีวิตของเด็กหนึ่งพันคนมาปรุงเป็นยาวิเศษเพื่อต่ออายุของตัวเอง จักรพรรดิที่ไม่เห็นค่าชีวิตของชาวบ้าน เห็นชาวบ้านเป็นเพียงสัตว์เดรัจฉานเช่นนี้แตกต่างอันใดกับจักรพรรดิซางโจ้ว[1]กันขอรับ” หลี่หมิงรุ่ยกล่าวอย่างไม่รีบร้อน กำหมัดแน่นราวกับรู้สึกขมขื่นใจมาก “เดิมทีหมิงรุ่ยคิดว่าเหลียงอ๋องจะเป็นจักรพรรดิที่ดีได้ ทว่า สุดท้ายกลับพบว่าตัวเองคิดผิดอย่างมหันต์เหลียงอ๋องไม่ได้ต้องการขึ้นครองบัลลังก์เพื่อดูแลปกป้องชาวบ้าน เขาทำตามอำเภอใจของตัวเอง นึกอยากสังหารผู้ใดก็ลงมือสังหารโดยไม่คิด จักรพรรดิเช่นนี้ต้องกลายเป็นจักรพรรดิซางโจ้วคนต่อไปแน่นอน!”
“ส่วนอดีตองค์รัชทายาท…” หลี่หมิงรุ่ยส่ายหน้า “ทุกท่านคงเห็นแล้ว คนที่ขี้ขลาดเช่นนั้นจะกลายเป็นจักรพรรดิที่ดีได้เช่นไรขอรับ”
“ตระกูลไป๋แห่งเมืองหลวงเป็นตระกูลนักรบมานับร้อยปี พวกเขาปกป้องคุ้มครองชาวบ้านมานับร้อยปี ตระกูลไป๋ช่วยเหลือชาวบ้านแคว้นต้าจิ้นมาโดยตลอด พวกเขาทำสงครามเพื่อปกป้องชาวบ้านแถบชายแดนให้มีชีวิตอยู่อย่างไร้ความกังวล กล่าวได้ว่าไม่มีตระกูลใดในแคว้นต้าจิ้นมีความดีความชอบมากไปกว่าตระกูลไป๋ ไม่มีผู้ใดมีใจรักและปกป้องชาวบ้านไปมากกว่าตระกูลไป๋อีกแล้ว!” หลี่หมิงรุ่ยมองไปทางขุนนางทุกคน “ทุกคนในราชสำนักแห่งนี้ล้วนเคยเป็นสหายของเจิ้นกั๋วอ๋องไป๋เวยถิงและเจิ้นกั๋วกงไป๋ฉีซานมาก่อน ทุกท่านรู้จักนิสัยและคุณธรรมของตระกูลไป๋เป็นอย่างดี”
ขณะที่หลี่หมิงรุ่ยกำลังกล่าวอยู่ ไป๋ชิงเหยียนเดินเข้ามาในตำหนักพอดี “ให้ข้าเป็นคนกล่าวเรื่องนี้กับทุกท่านในที่นี้เองเถิด ไม่รบกวนใต้เท้าหลี่แล้ว”
สิ้นเสียงหลี่หมิงรุ่ยหันไปทำความเคารพไป๋ชิงเหยียน จากนั้นหลบไปยืนอยู่ด้านข้างด้วยท่าทีนอบน้อม
เขากำมือที่ไขว้อยู่ทางด้านหลังแน่นอย่างไม่อยากยอมแพ้ หลี่หมิงรุ่ยเสนอตัวในครั้งนี้เพราะอยากสร้างความดีความชอบต่อหน้าไป๋ชิงเหยียน ผู้ใดจะคิดว่าไป๋ชิงเหยียนจะไม่รับความหวังดีจากเขา กลับเลือกที่จะเผชิญหน้ากับบรรดาขุนนางเหล่านี้เองเช่นนี้
ไป๋ชิงเหยียนเดินขึ้นไปบนบันไดของแท่นสูงซึ่งเป็นที่ตั้งของบัลลังก์มังกรท่ามกลางสายตาของขุนนางในตำหนักทุกคน จากนั้นหมุนกายกลับมาเผชิญหน้ากับทุกคนในตำหนัก กล่าวขึ้น “ไป๋ชิงเหยียนทำสิ่งใดอย่างตรงไปตรงมามาโดยตลอด ข้าไม่มีสิ่งใดต้องละอาย ข้าไม่กลัวที่จะเผชิญหน้ากับทุกท่าน…”
สิ้นเสียงของไป๋ชิงเหยียน บรรดาขุนนางในตำหนักเห็นหลิวหงพาแม่ทัพคนหนึ่งของต้าเหลียงเดินเข้ามาในตำหนัก
“คารวะองค์หญิงเจิ้นกั๋วพ่ะย่ะค่ะ!”
หลิวหงและหยางอู่เช่อทำความเคารพไป๋ชิงเหยียน
ตลอดทางที่ผ่านมาหลิวหงเห็นภาพน่าเวทนาราวกับนรกบนดินตามเมืองต่างๆ มากมาย ความจงรักภักดีที่เขามีต่อจักรพรรดิต้าจิ้นค่อยๆ สั่นคลอนลงเรื่อยๆ…สุดท้ายแปรเปลี่ยนเป็นความสิ้นหวัง ความจริงตอนที่เขามาถึงเมืองหลวงเขายังมีความหวังสุดท้ายอยู่ ไป๋ชิงเหยียนจะกบฏจักรพรรดิต้าจิ้นก็ได้ จักรพรรดิไร้คุณธรรมก็ควรสละราชบัลลังก์ อย่างน้อยองค์รัชทายาทก็เป็นคนมีเมตตาคนหนึ่ง หญิงสาวสนับสนุนองค์รัชทายาทขึ้นครองราชย์ก็สิ้นเรื่อง
ทว่า เมื่อเข้ามาในวังหลวง หลิวหงได้ยินว่าจักรพรรดิต้าจิ้นสวรรคตแล้ว เหลียงอ๋องขึ้นครองราชย์แทน บัดนี้ไม่รู้ว่าองค์รัชทายาทยังมีชีวิตอยู่หรือไม่
หากองค์รัชทายาทไม่รอดชีวิต บางทีการให้องค์หญิงเจิ้นกั๋วขึ้นครองบัลลังก์คงเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด
ไป๋ชิงเหยียนก้มหน้ามองหลิวหงและหยางอู่เช่อที่คุกเข่าข้างหนึ่งรายงานเรื่องที่ได้รับมอบหมาย
หลิวหงกล่าวเสียงดังลั่น “กระหม่อมและแม่ทัพหยางอู่เช่อได้รับคำสั่งให้นำทหารสองหมื่นนายเดินทางไปตามเมืองผู่เหวิน เมืองหลงหยาง เมืองโยวฮว่าและภูเขาเทียนหลานเพื่อกลับมายังเมืองหลวง ระหว่างทางได้สั่งห้ามทางการของทุกเมืองเกณฑ์เด็กส่งไปยังหอบูชาเก้าชั้น อีกทั้งส่งเด็กที่ถูกส่งตัวไปยังทางการกลับไปหาครอบครัวของพวกเขาหมดแล้วพ่ะย่ะค่ะ ส่วนเด็กที่ถูกซื้อตัวมาจากคนค้าทาส กระหม่อมและแม่ทัพหยางพามาเมืองหลวงด้วยพ่ะย่ะค่ะ”
หยางอู่เช่อมองดูหลิวหงที่กล่าวรายงานไม่หมด เขาจึงกำหมัดรายงานต่อ “ระหว่างทาง เมืองผู่เหวิน หลงหยาง เทียนหลานและเมืองอื่นๆ อีกรวมทั้งหมดสิบหกเมืองล้วนก่อกบฏแล้วพ่ะย่ะค่ะ เมื่อได้ยินว่าองค์หญิงเจิ้นกั๋วสั่งห้ามไม่ให้เกณฑ์เด็กไปยังเมืองหลวงและก่อกบฏกับราชวงศ์หลินที่เห็นชาวบ้านเป็นเพียงผักปลาแล้ว พวกเขาจึงยอมออกจากเมืองมายอมจำนนกับองค์หญิงเจิ้นกั๋วพ่ะย่ะค่ะ”
สิ้นเสียงของหยางอู่เช่อ บรรดาขุนนางในราชสำนักเบิกตาโพลงมองไปทางไป๋ชิงเหยียนอย่างตกใจ
องค์หญิงเจิ้นกั๋วก่อกบฏอย่างนั้นหรือ!
หลิวหงขบกรามแน่น หยางอู่เช่อไม่ได้กล่าวผิดแม้แต่คำเดียว โดยเฉพาะเมื่อชาวบ้านเมืองหลงหยางได้ยินว่าองค์หญิงเจิ้นกั๋วก่อกบฏ พวกเขาต่างโห่ร้องด้วยความดีใจ กล่าวว่าในที่สุดพวกเขาก็จะมีผู้ปกครองที่ปกป้องชาวบ้านอย่างแท้จริงเสียที
เมื่อหลิวหงนึกย้อนภาพเหตุการณ์ในตอนนั้น…เขายังอดรู้สึกตื่นตระหนกไม่ได้อยู่ดี
ไป๋ชิงเหยียนยืนหลังตรงกำดาบบริเวณเอวแน่นด้วยมือข้างหนึ่งอยู่บนบันไดสูงอย่างสง่าผ่าเผย หญิงสาวปล่อยให้ขุนนางทั้งหลายจ้องมองมาที่นางโดยไม่มีท่าทีรู้สึกผิดหรือหวาดกลัวแม้แต่น้อย
หญิงสาวเห็นขุนนางบางคนตกอยู่ในภวังค์ บางคนมองมาที่นางอย่างทำตัวไม่ถูก หญิงสาวกวาดสายตามองไปที่หลู่เซียง
หลู่เซียงเป็นคนฉลาด บัดนี้ไป๋ชิงเหยียนกุมอำนาจทางทหารอยู่ในมือ หากนางคิดกบฏขึ้นมาจริงๆ ผู้ใดในที่นี้จะเป็นคู่ต่อสู้ของนางได้
ที่สำคัญข่าวที่หลิวหงและแม่ทัพต้าเหลียงผู้นี้นำกลับมารายงาน…จักรพรรดิต้าจิ้นโหดร้าย คิดนำชีวิตของเด็กหนึ่งพันคนมาปรุงยาวิเศษจนชาวบ้านในเมืองต่างๆ ทนไม่ไหว รวมตัวกันออกมาก่อกบฏแล้ว
[1] จักรพรรดิซางโจ้ว หนึ่งในตัวอย่างจักรพรรดิทรราชย์ในประวัติศาสตร์จีน เป็นจักรพรรดิที่โหดเหี้ยม มัวเมาสุรา เสพสุขกับสตรี