สตรีแกร่งตระกูลไป๋ - ตอนที่ 94 คุณธรรมความดีของวิญญูชน
“ปกป้องความสงบสุขของแคว้นต้าจิ้น ปกป้องความสงบสุขของชาวบ้าน” องค์หญิงใหญ่พึมพำประโยคนี้ออกมา บีบนิ้วมือของหลานสาวแน่น “เจ้าช่างเหมือนกับท่านปู่ของเจ้าจริงๆ!”
ไป๋ชิงเหยียนก้มหน้าลงมองทางเดินที่ทอดยาวบริเวณปลายเท้า รู้สึกโหวงเหวงในใจ
ไม่ นางไม่เหมือนท่านปู่
ท่านปู่เป็นเป็นวิญญูชนอย่างแท้จริง แต่นางมิใช่
หลังจากเกิดใหม่ นางไม่รู้ว่านางกลายเป็นคนที่ปากพร่ำถึงคุณธรรมความยุติธรรม ทว่า ใจเอาแต่คิดถึงผลประโยชน์ของตัวเองอย่างเห็นแก่ตัวเช่นนี้ตั้งแต่เมื่อใด
การเดินทางไปยังหนานเจียง นางไม่ได้ไปเพราะเป็นห่วงชาวบ้าน ห่วงบ้านเมืองเพียงอย่างเดียว นางสงสารชาวบ้านที่อยู่ติดชายแดนจริงๆ ทว่าเป้าหมายหลักที่นางไปที่หนานเจียงเพราะนางต้องการไปรับน้องชายที่มีชีวิตรอดกลับบ้าน ไปรวบรวมอำนาจที่กระจัดกระจายของกองทัพไป๋
ไป๋ชิงเหยียนเข้าร่วมกองทัพตั้งแต่เยาว์วัยรู้ดีว่าอำนาจทางทหารหมายถึงสิ่งใด
ท่านปู่ของนางมีกองกำลังทหารอยู่ในมือ แต่กลับเชื่อฟังรับใช้ฮ่องเต้อย่างซื่อสัตย์
ไม่ว่าผู้อื่นจะกล่าวว่าท่านปู่หัวโบราณหรือโง่เขลา แต่นางรู้ดีว่านั่นคือคุณงามความดีของวิญญูชนที่แทบจะหาไม่ได้แล้วในยุคนี้
ทว่านางไม่ใช่วิญญูชน ในยุคที่มีแต่ความสงคราม คนที่แข็งแกร่งเท่านั้นที่จะได้รับการยกย่อง
ไม่ว่าจะเป็นวิธีที่น่ารังเกียจหรือวิธีที่ทรงคุณธรรม ต่อให้ต้องใช้อุบายเช่นคนถ่อย…ขอแค่คุ้มครองตระกูลไป๋ให้ปลอดภัย คุ้มครองชาวบ้านให้สงบสุข บัลลังก์ของแคว้นต้าจิ้นถูกครอบครองโดยผู้มีความสามารถ นางจะขอเป็นคนถ่อยเอง
ไม่นาน องค์หญิงใหญ่เอ่ยถามเสียงสั่น “ท่านปู่ของเจ้าเคยกล่าวว่าฮ่องเต้ทรงมีปณิธานที่ยิ่งใหญ่จริงหรือ”
หญิงสาวยิ้มเย็นพลางถามกลับ “ท่านย่าคิดว่า ฮ่องเต้เป็นเช่นนั้นหรือไม่เจ้าคะ”
ก่อนหน้านี้นางกล่าววาจารุนแรงเกินไป เมื่อควบคุมสติได้นางจึงนำถ้อยคำของท่านปู่มาแต่งเติมเล็กน้อยพลางกล่าวออกไป จงใจทำให้ฮ่องเต้รู้สึกผิดเท่านั้นเอง
หากฮ่องเต้ทรงรับรู้ว่าสิ่งใดคือความละอายใจ ก็ควรจะตระหนักรู้ได้ด้วยตัวเองว่าตนเหมาะสมกับคำว่า ‘ปณิธานที่ยิ่งใหญ่’ หรือไม่
องค์หญิงใหญ่หลับตาลง หากเป็นเช่นนี้นางก็วางใจในตัวหลานสาวของนางผู้นี้แล้ว
ลูกศิษย์มักได้ดีกว่าผู้เป็นอาจารย์ หลานสาวที่นางอบรมสั่งสอนเลี้ยงดูมาด้วยตัวเองเก่งกาจกว่านาง การวิเคราะห์สถานการณ์ ใช้ประโยชน์จากสถานการณ์ กลับขาวเป็นดำ กลับดำเป็นขาว นางทำได้ดีมาก ทำได้ดีมากจริงๆ!
องค์หญิงใหญ่กุมมือหลานสาวแน่น มุมปากมีรอยยิ้มแต่ปกปิดความเศร้าในดวงตาไม่ได้
“อาเป่าโตแล้ว เติบโตมาดีกว่าที่ย่าคาดไว้เสียอีก เช่นนี้ย่าก็สามารถไปบำเพ็ญภาวนาที่วัดให้ท่านปู่และดวงวิญญาณของตระกูลไป๋ได้อย่างสบายใจแล้ว” หวังว่าจะลดทอนความรู้สึกผิดในใจของนางที่มีต่อสามี บุตรชายและหลานชายได้บ้าง
ในฐานะขององค์หญิงใหญ่แห่งแคว้นต้าจิ้น นางทำหน้าที่อย่างสุดความสามารถแล้ว
ทว่า ในฐานะภรรยา มารดาและย่า นางไม่ได้ทำมันอย่างเต็มที่นัก
คงมีเพียงการปฏิบัติต่อซู่ชิวและอาเป่าเท่านั้น อาจเป็นเพราะพวกนางล้วนเป็นสตรี องค์หญิงใหญ่มิเคยคิดว่าสตรีจะสามารถทำสิ่งใดที่เป็นการสั่นคลอนอำนาจของราชวงศ์หลินได้ ดังนั้นนางจึงทุ่มเทความรักทั้งหมดไปที่บุตรสาวและหลานสาวคนนี้ของนาง
บางทีอาจเป็นเพราะโชคชะตากลั่นแกล้ง เพราะการตายของซู่ชิว ไป๋เวยถิงจึงตัดสินใจเด็ดขาดพาหลานสาวไปออกรบเพื่อฝึกฝนประสบการณ์ด้วย ทำให้หลานสาวที่นางรักมากที่สุดมีความสามารถที่จะต่อกรกับราชวงศ์
อยู่ในช่วงไว้ทุกข์มิควรไปออกรบ แต่ยอมเป็นคนอกตัญญูเพื่อแสดงความจงรักภักดี
องค์หญิงใหญ่ยังจดจำถ้อยคำที่หลานสาวกล่าวต่อหน้าพระพักตร์ในท้องพระโรงเมื่อครู่ได้ดี นางพอจะคาดเดาเหตุผลที่หลานสาวของนางอยากไปที่หนานเจียงได้ เพราะกองทัพคือรากฐานสำคัญของตระกูลไป๋
บัดนี้นางทำได้เพียงแต่ภาวนาอยู่ในใจว่าสิ่งที่หลานสาวของนางต้องการคืออำนาจที่ทำให้ฮ่องเต้ไม่กล้าแตะต้องตระกูลไป๋…มิใช่กองกำลังที่จะโค่นล้มราชวงศ์หลิน
เมื่อเดินออกมาจากประตูอู่เต๋อ บ่าวรับใช้ของตระกูลไป๋นำรถม้ามาจอดรออยู่ที่หน้าประตูแล้ว
ไป๋ชิงเหยียนคำนับขอบคุณชาวบ้านทุกคนที่ติดตามมาเป็นเพื่อน บอกกับพวกเขาว่าฮ่องเต้ทรงให้สัญญาว่าจะคืนความยุติธรรมให้แก่ตระกูลไป๋ หน้าประตูอู่เต๋อเต็มไปด้วยเสียงโห่ร้องแสดงความยินดีไม่ขาดสาย
“ขอบพระคุณพวกท่านทุกคนมาก ข้าจะจดจำบุญคุณในครั้งนี้ไว้ขึ้นใจ” หญิงสาวคำนับขอบคุณชาวบ้านที่เสนอตัวยอมโดนโบยแทนนางอีกครั้งอย่างซาบซึ้ง
ไป๋ชิงเหยียนประคององค์หญิงใหญ่ขึ้นรถม้าเสร็จ นางมองเห็นฉินซ่างจื้อซึ่งสะพายย่ามไว้ที่หลังยืนอยู่ด้านหลังสุดของกลุ่มชาวบ้าน…โค้งกายคำนับนางอยู่ไกลๆ จากนั้นหมุนตัวเดินจากไป
“พี่หญิงใหญ่ ท่านมองสิ่งใดเจ้าคะ” ไป๋จิ่นถงซึ่งประคองไป๋ชิงเหยียนอยู่มองตามสายตาของหญิงสาวไปอย่างสงสัย
“ไม่มีอันใดหรอก” ไป๋ชิงเหยียนกล่าวพลางโน้มกายเข้าไปในรถม้า
เมื่อรถม้ามาถึงหน้าประตูจวนเจิ้นกั๋วกง เฉินชิ่งเซิงวางเก้าอี้ลงข้างรถม้า ยังไม่ทันจะเอ่ยสิ่งใดกับไป๋ชิงเหยียนก็โดนถงหมัวมัวแทรกกายเข้ามาเสียก่อน
ไป๋ชิงเหยียนหันกลับไปมองเฉินชิ่งเซิงแวบหนึ่ง ชายหนุ่มพยักหน้าอย่างรู้งาน
เมื่อเข้าไปในจวนเจิ้นกั๋วกง หญิงสาวปล่อยมือถงหมัวมัวพลางเอ่ยขึ้น “หมัวมัวช่วยไปเตรียมชุดไว้อาลัยชุดใหม่ให้ข้าหน่อยเถิด ข้าจะไปเยี่ยมจี้ถิงอวี๋สักหน่อย…”
ถงหมัวมัวเห็นว่าชุดของไป๋ชิงเหยียนยังมีคราบเลือดของจี้ถิงอวี๋ติดอยู่ ดวงตาของนางร้อนผ่าวในทันที รีบพยักหน้า “เจ้าค่ะ บ่าวจะไปเตรียมเดี๋ยวนี้เจ้าค่ะ!”
เมื่อเห็นถงหมัวมัวเดินจากไปไกลแล้ว เฉินชิ่งเซิงรีบปรี่เข้ามาทันที ชายหนุ่มหยิบสมุดที่มีไอร้อนจากร่างกายของเขาออกมาจากอกแล้วยื่นส่งให้ไป๋ชิงเหยียน “คุณหนูใหญ่ไป๋ นี่คือรายชื่อของคนที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการส่งเสบียงอาหารไปที่หนานเจียงภายใต้การควบคุมของจ่งหย่งโหวเมื่อสองเดือนก่อนขอรับ!”
หญิงสาวเม้มปากแน่น รับสมุดรายชื่อมาเปิดอ่าน…
ในสมุดนอกจากจะบันทึกรายชื่อของขุนนางที่มีส่วนเกี่ยวข้องในการจัดเตรียมเสบียงแล้ว ด้านหลังยังมีลายมือที่ไม่คุ้นตาจดบันทึกชีวิตและนิสัยของคนพวกนี้เอาไว้ด้วย ดูจากลายมือแล้วยังดูใหม่อยู่
“นี่คือ?”
“นี่คือสิ่งที่ฉินเซียนเซิงซึ่งพักอยู่ที่จวนของเราช่วยเติมเข้าไปขอรับ เซียนเซิงกล่าวว่าสิ่งนี้อาจมีประโยชน์ต่อคุณหนูใหญ่ขอรับ” เฉินชิ่งเซิงรู้สึกละอายใจเล็กน้อย “มิรู้ว่าฉินเซียนเซิงทราบเรื่องที่ข้ากำลังตรวจสอบคนที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการส่งเสบียงได้อย่างใด เซียนเซิงเชิญข้าไปพบ จากนั้นก็ช่วยข้าเติมรายชื่อพวกนี้จนครบ มิเช่นนั้นข้าคงไม่ได้รายชื่อทั้งหมดมาเร็วเช่นนี้ขอรับ! ข้าให้คนไปตรวจสอบคนในรายชื่ออย่างละเอียดแล้ว รายชื่อพวกนี้ถูกต้องครบถ้วนขอรับ! เมื่อครู่ฉินเซียนเซิงก็เชิญข้าไปพบอีกรอบเพื่อเพิ่มเติมเรื่องชีวิตและนิสัยของคนในรายชื่อพวกนี้ขอรับ!”
ฉินซ่างจื้อหาโอกาสลงมือลอบสังหารเหลียงอ๋องได้ คงต้องจับตาดูทุกความเคลื่อนไหวของเหลียงอ๋อง ฉินซ่างจื้อต้องตรวจสอบเรื่องการสมรู้ร่วมคิดระหว่างเหลียงอ๋องและจงหย่งโหวอย่างละเอียดแน่นอน ด้วยความสามารถของฉินซ่างจื้อ รายชื่อพวกนี้ไม่มีทางเป็นของปลอมแน่นอน
จวนเจิ้นกั๋วกงช่วยชีวิตเขาเอาไว้ ฉินซ่างจื้อเป็นวิญญูชน เหตุผลที่เขาไม่ยอมไปจากจวนเจิ้นกั๋วกงเสียที ประการแรกคือเขาต้องการพักรักษาตัว อีกประการก็เพื่อตอบแทนบุญคุณจวนเจิ้นกั๋วกง
บัดนี้เมื่อรู้ว่านางต้องการรายชื่อพวกนี้ ฉินซ่างจื้อจึงยื่นมือเข้าช่วยเหลือ เมื่อตอบแทนบุญคุณแล้วเขาจึงจากไปอย่างสบายใจ
ทว่า คนที่ช่วยฉินซ่างจื้อไว้คือหลูผิง นางแค่อนุญาตให้ฉินซ่างจื้อพักรักษาตัวอยู่ที่นี่ต่อก็เท่านั้น
หญิงสาวปิดสมุดลง นางรู้สึกซาบซึ้งใจ ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งนางจึงเอ่ยสั่ง
“เจ้าไปเตรียมเงินสำหรับออกเดินทางมาสักร้อยตำลึงพร้อมม้าเร็วอีกหนึ่งตัว จากนั้นตามข้าออกไปนอกเมือง”
“ขอรับ! ข้าจะไปเตรียมเดี๋ยวนี้ขอรับ!”
ร่างกายของฉินซ่างจื้อยังมีบาดแผลอยู่ เขาจึงเดินทางไม่ได้เร็วนัก เพิ่งเดินมาถึงศาลาเจ๋อหลิ่วซึ่งอยู่ห่างจากเมืองหลวงเพียงหนึ่งลี้ก็ได้ยินเสียงเฉินชิ่งเซิงเรียกเขา
“ฉินเซียนเซิงโปรดหยุดก่อน ฉินเซียนเซิงโปรดหยุดก่อนขอรับ!”
ฉินซ่างจื้อหันกลับไปมอง เห็นเฉินชิ่งเซิงขี่ม้าเร็วควบเข้ามาพลางกระตุกบังเหียนให้ม้าหยุดลง กระโดดลงจากหลังม้า จากนั้นทำความเคารพเขาอย่างนอบน้อม
“ฉินเซียนเซิงโปรดรอสักครู่ขอรับ คุณหนูใหญ่ของข้ามาส่งเซียนเซิงขอรับ!”
ฉินซ่างจื้อกระชับมือที่ถือย่ามแน่น หันไปมองทางประตูเมือง
รถม้าไม้คันหนึ่งของจวนเจิ้นกั๋วกงที่ยามปกติบ่าวรับใช้ของจวนใช้เมื่อออกไปข้างนอกวิ่งตรงมาทางเขาอย่างรวดเร็ว จากนั้นค่อยๆ หยุดลงตรงหน้าเขา ฉินซ่างจื้อยืดแผ่นหลังตรง
คนบังคับรถม้าคือเซียวรั่วไห่ลูกแม่นมซึ่งมีศักดิ์เป็นพี่ชายของไป๋ชิงเหยียน ชายหนุ่มกระโดดลงจากรถม้า ทำความเคารพฉินซ่างจื้อ ขณะเดียวกันกับที่ชุนเถาแหวกม่านรถม้าออกพลางประคองไป๋ชิงเหยียนลงจากรถม้า