สมาคมแลกเปลี่ยนทราฟฟอร์ด - บทที่ 6 ตอนที่ 107
มีบางเวลาที่เฉิงอี้หรานคิดว่าตนเองได้เหยียบเข้าไปในสถานที่แห่งนั้นจริงหรือไม่กันแน่
อยู่ดีๆ ก็ออกจากสถานที่หนึ่งไปที่นั่น หลังจากออกมาก็กลับมายังที่เดิม…เกิดความรู้สึกเหลือเชื่อ เหมือนว่าเขากำลังฝันไป
หรืออาจจะมีเพียงแค่วิญญาณของเขาเท่านั้นที่ถูกดึงไปในที่แห่งนั้น?
วันศุกร์ ช่วงบ่ายของวันพิเศษแห่งปี ที่คนในสังคมมีความสุขเป็นพิเศษ
หลังออกจากสมาคมแล้ว เฉิงอี้หรานก็เดินเล่นบนถนนในเมือง
จะปลุกความสามารถในการใช้กีตาร์ต่อได้ยังไง?
ทำนองในใจคืออะไร…หมายถึงความรักในดนตรีร็อคงั้นเหรอ?
แต่เขาไม่ได้รู้สึกว่าตนเองรักดนตรีร็อคน้อยลงเลย เขายังคงหวังให้มีคนรักในเสียงดนตรีของเขามากขึ้น คำถามที่เขาถามตนเองไม่มีตรงไหนที่ไม่เหมือนเมื่อก่อน
เขาเดินไปจนผ่านช่วงพลบค่ำ จนกระทั่งถึงช่วงเวลาหลังอาหารเย็น เฉิงอี้หรานยังไม่กลับไปบ้านพักของจงลั่วเฉิน
แต่จงลั่วเฉินโทรหาเขา ถามว่าเขามีเรื่องอะไรเกิดขึ้นหรือไม่ ไม่ได้ใช้น้ำเสียงที่ดูเป็นห่วง…บางทีอาจจะเพียงแค่อยากรู้ อยากรู้เฉยๆ เท่านั้น
ดังนั้นเฉิงอี้หรานจึงไม่แน่ใจว่า หากให้เขารู้ว่าตนเองไม่สามารถใช้กีตาร์ได้แล้ว เขาจะมีปฏิกิริยาอย่างไร?
ได้ยินว่าพวกคุณชายตระกูลสูงแบบนี้มักจะโหดร้ายยิ่งกว่าคนธรรมดามาก เพราะพวกเขาจำเป็นต้องโหดร้ายถึงจะเดินอยู่ในโลกของตนเองได้ไกลขึ้นหน่อย
เฉิงอี้หรานไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ตนเองถึงจะปลุกความสามารถให้ตื่นได้อีกครั้ง…บางทีอาจจะไม่สามารถปลุกมันได้อีกเลย ตัวเขาเองก็ไม่แน่ใจ เกรงว่าจะไม่สามารถขอเวลาจากจงลั่วเฉินได้อีก
ปิดบัง…คิดว่าคนส่วนมากคงเลือกแบบนี้ใช่ไหม?
ตอนนี้ถึงปิดบังก็ยังเพลิดเพลินไปกับสิทธิพิเศษของบริษัทได้ เป็นคนใหม่แต่ได้รับการปฏิบัติที่พิเศษกว่าคนใหม่คนอื่นๆ จะไม่ทำให้คนรู้สึกลุ่มหลงได้อย่างไร?
“ฉันกำลัง…ทำอะไรกันแน่?”
ปี๊น!!!
เสียงแตรรถที่ผ่านไปปลุกเขาให้ได้สติ เขาหันกลับไปมองทางกลับ ทันใดนั้นก็ไม่แน่ใจแล้วว่าตนเองเดินมาถึงที่ไหน
ไม่ไกลออกไปมีเสียงเพลงดังเข้ามา ผ่านลำโพงราคาถูก เมื่อเสียงดังมาถึงที่นี่ก็มีเสียงแตกแล้ว
มีคนกำลังร้องเพลง
บนถนนมีคนขายเสียงเพลงเยอะเสมอ…ต่างคนก็ต่างมีเหตุผลต่างๆ นานา ซึ่งเฉิงอี้หรานไม่เคยดูแคลนคนที่มาขายเสียงเพลงบนถนนเหล่านี้ เพราะตัวเขาเองก็เคยเป็นส่วนหนึ่งของคนเหล่านี้ด้วย
พวกเขามักจะให้ความรู้สึกสนิทชิดเชื้อกับเขา ใช่แล้ว ก่อนหน้านี้ไม่นานสถานการณ์ของเขาก็ไม่ต่างจากพวกเขามากนัก
ทันใดนั้นเขาก็หัวเราะ ไม่มีความหมายอะไร บางทีอาจจะเป็นแค่สัญชาตญาณ…ทันใดนั้นเขาก็ไม่รู้แล้วว่าตนเองนั้นถือว่าโชคดีหรือว่าโชคร้ายกันแน่
แต่ถึงคุณภาพของเสียงเพลงจะไม่ดี แต่ฟังไปฟังมา เฉิงอี้หรานกลับรู้สึกคุ้นเคย…นี่ นี่เป็นเสียงของหงก้วน
เขาอยู่ที่นี่…อยู่แถวๆ นี้!
…
“ลุง ขอถามหน่อย คนที่ตั้งแผงอยู่ตรงนั้นมาบ่อยไหม?”
“หืม? นายพูดถึงเจ้าคนที่ร้องเพลงดีดกีตาร์คนนั้นเหรอ ใช่ ช่วงนี้มาบ่อย ช่วงเดือนนี้แหละ”
ลุงจูงจักรยานขายลูกกวาดแถวขอบลานกว้างยิ้มและพูดว่า “เจ้าหนุ่มนี่ร้องเพลงใช้ได้เลย…นายจะซื้อลูกกวาดไหม? เอากลับไปให้เด็กๆ”
เฉิงอี้หรานชะงัก เลือกลูกกวาดบนรถของลุง เอาเงินให้และเดินจากไปโดยไม่พูดอะไร
สายตาของเขาไม่ได้ละออกจากหงก้วนที่กำลังร้องเพลงดีดกีตาร์…ไม่ไกลออกไปข้างแผงขายเครื่องชาร์จโทรศัพท์และอุปกรณ์เกี่ยวกับโทรศัพท์มือถือ
ไม่ใช่เขาพบเจอฉันแต่เป็นฉันพบเจอเขา
เวลาผ่านไปนานขนาดนี้แต่เทคนิคก็ยังไม่พัฒนาเลย…ทักษะการร้องเพลงก็เช่นกัน
ไม่มีใครเข้าไปถาม เงินรางวัลก็น้อยจนน่าสงสาร…ดูเหมือนแทบจะไม่มีเลย?
เขากำลังร้องเพลงให้ใครฟัง? ใครกำลังฟังนายร้องเพลง? ไม่ใช่ว่านาย…ละทิ้งแล้วเหรอ?
แต่
แต่ว่า…ทำไมนายยังมีความสุขได้แบบนี้?
ร้องเพลง ‘หลานเหลียนฮวา’
นาย…ไม่กังวลจริงๆ เหรอ?
เฉิงอี้หรานเดินไปถึงหน้าของหงก้วนอย่างไม่รู้สึกตัว หงก้วนมองเห็นเฉิงอี้หราน นิ้วมือที่กำลังดีดสายกีตาร์ค่อยๆ ช้าลง ช้าลงจนในที่สุดก็หยุดครึ่งทาง
“อี้หราน ทำไมนาย…” หงก้วนเงยหน้าขึ้นอย่างมึนงง
“คุยหน่อยได้ไหม?” เฉิงอี้หรานถอนหายใจ
…
“นาย…กินข้าวหรือยัง?”
สถานที่ที่พวกเขานั่งไม่ใช่สถานที่ชั้นสูง สะดวกหรือสงบ แต่เป็นม้านั่งหลังแผงของหงก้วน หงก้วนไม่รู้จะถามอะไรดีจึงสุ่มถามออกไปแบบนั้น
เฉิงอี้หรานชำเลืองมองคนตรงหน้า…คนที่ร่วมไล่ล่าหาฝันด้วยกันกับเขา คนที่อยู่สลัมในเมืองหลวงด้วยกันกับเขา คนที่ขายเพลงบนหัวมุมถนนบาร์โฮ่วไห่เช่นเดียวกันกับเขา
เขาก้มหน้าลงบีบแท่งลูกกวาดรูปคนในมือ ค่อยๆ ขยับตัว ยิ้มอย่างขมขื่นพูดว่า “พวกเรากลายเป็นคนแปลกหน้ากันขนาดนี้แล้ว”
หงก้วนเกาหัว จากนั้นก็เงยหน้าขึ้น ไม่รู้จะต่อคำอย่างไร
“เพราะหลี่จื่อเฟิง” ทันใดนั้นเฉิงอี้หรานก็พูดชื่อนี้ขึ้นมา
หงก้วนชะงัก และก็พูดชื่อนี้ขึ้นมา “หลี่จื่อเฟิง?”
เฉิงอี้หรานเม้มปาก มองหงก้วนและพูดเบาๆ ว่า “เขาหลอกฉันและก็หลอกนาย สัญญาที่นายเซ็นไม่ใช่ความคิดของฉัน ทางฉันก็เห็นสัญญาอีกฉบับหนึ่งซึ่งก็ไม่ใช่ความคิดของนาย แต่…”
เฉิงอี้หรานพูดถึงตรงนี้ก็หยุดลง ยิ้มเยาะ “แต่ตอนนั้นฉันเชื่อ…ขอโทษด้วย”
หงก้วนนิ่งลงครู่หนึ่ง จากนั้นก็ตบบ่าเฉิงอี้หราน ยิ้มและพูดว่า “ครึ่งเดือนนี้จื่อเหยาก็จะคลอดแล้ว เธอเอาแต่จู้จี้ถามฉันว่าทำไมนายไม่ไปเยี่ยมเธอเลย พูดว่าได้ดีแล้วลืมเพื่อน ถ้ามีเวลา ไปเยี่ยมไหม?”
“ขอโทษด้วย” แต่เฉิงอี้หรานหันหน้าไป น้ำเสียงแหบพร่า “เห็นได้ชัดว่าแค่โทรหานาย เรื่องง่ายๆ แค่นั้น แต่ฉัน…”
เขาสูดลมหายใจเข้า ขยี้จมูก “แต่ว่าฉัน ฉันคิดว่า…หรือฉันจะเป็นคนแบบนั้น?”
หงก้วนคิดครู่หนึ่งและพูดว่า “แต่ก่อนตอนเสี่ยวเมิ่งยังอยู่ นายก็ชอบทำแต่เรื่องโง่ๆ ตอนนี้ผ่านมาหลายปีแล้ว ก็ยังทำเรื่องโง่ๆ เหมือนเดิม…ไม่เปลี่ยนไปเลยจริงๆ ลาโง่ ฉันชินแล้ว”
เฉิงอี้หรานหันกลับมา สำลักเล็กน้อย “ไปตายซะ”
หงก้วนกลับพูดว่า “ฉันเองก็โทรหานายได้ และก็เป็นเพียงเรื่องง่ายๆ แต่ฉันก็ทำแบบเดียวกัน นายว่าฉันก็เป็นคนแบบนั้นไหม?”
เฉิงอี้หรานชะงัก
ทั้งสองคนมองหน้ากันและหัวเราะขึ้นมา
เฉิงอี้หรานถอนหายใจพูดว่า “ก็ผู้ชายนิ”
หงก้วนพยักหน้า และก็พูดอย่างจนปัญญา “ก็ผู้ชายนิ”
นั่งไปครู่หนึ่ง
เฉิงอี้หรานก็ถามขึ้นว่า “คิดชื่อลูกไว้หรือยัง?”
หงก้วนส่ายหน้า อากาศค่อนข้างหนาว เขาถูๆ มือ “มือของนาย ไม่เป็นอะไรมากใช่ไหม?”
เฉิงอี้หรานมองดูนิ้วของตนเอง ส่ายหน้า “นิ้วมือหัก จะหายดีได้เร็วขนาดนั้นที่ไหน”
หงก้วนรู้สึกเศร้า “ดูแล้ววันอาทิตย์นายคงขึ้นเวทีไม่ได้แล้ว น่าเสียดาย แต่ว่าบริษัทคงไม่โทษนายใช่ไหม?”
“ตอนนี้ไม่ แต่ต่อไป…” เฉิงอี้หรานส่ายหน้าพูดว่า “ต่อไปพูดยาก”
“เป็นเพราะเรื่องรถชนส่งผลกระทบไม่ดีกับชื่อเสียงนายงั้นเหรอ” หงก้วนลองถาม
“ไม่เกี่ยวกับเรื่องรถชนหรอก” เฉิงอี้หรานส่ายหน้า “มีหลายเรื่อง…ซับซ้อนมาก ซับซ้อนยิ่งกว่าเรื่องที่พวกเราเคยเจอตอนอยู่ข้างถนนมาก”
“งั้นเหรอ…ฉันไม่ค่อยเข้าใจพวกเรื่องของบริษัทใหญ่เลยจริงๆ” หงก้วนพยักหน้า ไม่ถามมากความอีก เขาเชื่อว่าเฉิงอี้หรานในตอนนี้น่าจะจัดการปัญหาของตนเองได้ดี
ตอนนี้เฉิงอี้หรานลุกขึ้น ออกแรงบิดเอว
หงก้วนเงยหน้าถามว่า “นายจะกลับแล้วเหรอ”
“ดึกมากแล้ว ฉันเองก็แอบออกมา ถึงเวลาต้องไปแล้ว” เฉิงอี้หรานพยักหน้า
“งั้นนายก็ระวังตัวหน่อยนะ” หงก้วนหัวเราะและพูดออกมา
เฉิงอี้หรานหันหน้าจากไป เพิ่งเดินไปไม่กี่ก้าว เขาก็ชะงักฝีเท้า แต่ไม่ได้หันกลับไป “จริงสิ อย่าขายเครื่องชาร์จโทรศัพท์ไปด้วยร้องเพลงไปด้วยได้ไหม แบบนั้นดูไม่เป็นมืออาชีพเลย?”
หงก้วนหัวเราะ พูดกับแผ่นหลังของเฉิงอี้หรานว่า “ก็ฉันต้องการเงินค่านมนิ?”
เฉิงอี้หรานไม่ได้พูดอะไร เพียงแค่ชูมือขึ้น นั่นเป็นสัญลักษณ์ของร็อค…ทันใดนั้นเขาก็มีความคิดบางอย่างขึ้นมา
…
…
เมื่อเฉิงอี้หรานกลับถึงบ้านพักก็เห็นจงลั่วเฉินกำลังทำกับข้าวเอง ทำสเต็กเนื้อวัวไวน์แดงอย่างง่าย
“กินคนเดียวเหรอครับ” เฉิงอี้หรานเอ่ยปากถามก่อน
“มีส่วนของคุณด้วย แต่ต้องดูว่าคุณกินมาแล้วหรือยัง” จงลั่วเฉินไม่หันกลับมา ใช้ที่คีบทอดสเต็กด้วยความตั้งใจ
“ไม่เป็นไร ผมไม่หิว” เฉิงอี้หรานส่ายหน้า แต่ทันใดนั้นก็พูดว่า “ใช่แล้ว ผมอยากคุยกับคุณเรื่องหนึ่ง”
“ว่ามาเลยครับ” จงลั่วเฉินกลับด้านสเต็ก ส่วนอีกมือก็เขย่ากะทะเบาๆ
“คืนวันอาทิตย์ ให้หงก้วนขึ้นเวทีแทนผมเถอะ”
“หงก้วน?” มือของจงลั่วเฉิงเคลื่อนไหวช้าลงเล็กน้อย จากนั้นก็เร็วขึ้นอีกครั้ง “ทำไม…หรือว่า คุณรู้สึกติดค้างเขา เลยอยากชดใช้ให้เขา?”
“นิดหน่อย” เฉิงอี้หรานพูด “อีกอย่าง ตอนเขาอยู่บนเวทีก็เอากีตาร์ของผมให้เขาใช้”
ครั้งนี้จงลั่วเฉินถึงหันหน้ามามองเขาอย่างประหลาดใจ “คุณยอมตัดใจได้งั้นเหรอ”
เฉิงอี้หรานพูดว่า “คุณเคยพูดไม่ใช่เหรอ ว่าหงก้วนก็ใช้มันได้? แต่ไม่แน่ใจว่าตอนเขาใช้นั้นจะมีขอบเขตเท่าไร ผมเองก็อยากรู้จุดนี้…ในเมื่อตอนนี้มือของผมยังขยับไม่ได้ งั้นก็ลองดูเถอะ ขอเพียงไม่เปิดเผยเรื่องกีตาร์ให้หงก้วนรู้ก็พอ…อีกอย่างผมเป็นคนดีดและคนอื่นถูกสะกดจิตมาตลอด คราวนี้ผมอยากดูว่าถ้าเวลาคนอื่นดีดแล้วผมจะเป็นยังไง…คุณมีปัญหาอะไรไหมครับ”
“ไม่มี” จงลั่วเฉินส่ายหน้า “ไม่มี ความคิดนี้ไม่เลว พวกเราขุดเรื่องความลับของกีตาร์เองดีกว่าเอาผลประโยชน์เข้าไปแลกกับเจ้าของสมาคมคนนั้น”
เฉิงอี้หรานยักไหล่และเดินขึ้นบันไดอย่างผ่อนคลายดุจยามปกติต่อหน้าจงลั่วเฉิน…เขาจำเป็นต้องรักษาความสงบต่อหน้าผู้ชายคนนี้ถึงจะหลบสัมผัสอันเฉียบคมของอีกฝ่ายได้
ทำนองในใจคืออะไร…หงก้วน นายบอกฉันได้ไหม?
ส่วนฉัน…ก็มีเพียงเรื่องนี้เท่านั้นที่ทำให้นายได้
ฉันรู้ว่านายไม่เคยละทิ้งมาก่อน และไม่เคยจากไปไหน
*หลานเหลียนฮวา ชื่อเพลง