สมาคมแลกเปลี่ยนทราฟฟอร์ด - บทที่ 6 ตอนที่ 91
เวลากลางดึก ปีศาจหลายตนกำลังเดินผ่านทุกๆ มุมของเมือง พวกเขาได้รับคำสั่งให้จับเป็นปีศาจเด็กชื่อว่าจุยเฟิง
จัดการกับปีศาจเด็กตนหนึ่ง เพียงดึงปีศาจโตตนใดตนหนึ่งออกมาจัดการก็ได้แล้ว…แต่ปีศาจโตที่ออกมาเคลื่อไหวในขณะนี้กลับไม่ได้มีเพียงแค่กลุ่มนี้เท่านั้น
ภายในเมืองยังมีอีกหลายกลุ่มที่กำลังดำเนินการแบบเดียวกัน
“เจ้าเด็กคนนี้วิ่งเร็วจริงๆ แต่เสียดายที่ยังเด็กเกิน…นายไปดักด้านหน้าเถอะ ทำให้เขาจนมุม ท่านกุยต้องการจับเป็น แต่ไม่ได้พูดว่าไม่ให้บาดเจ็บ”
ความหมายนี้ชัดเจนมาก…หากจำเป็นก็รุนแรงได้ แต่พวกเขาไม่มีความคิดที่จะฆ่าจริงๆ
แต่สำหรับจุยเฟิงที่ถูกไล่ล่านั้นกลับไม่ได้รับรู้ ที่เขารู้สึกกลัวไม่ใช่ปีศาจที่ไล่ล่าเขาในตอนนี้ ซึ่งเป็น ‘ศัตรู’ อายุเท่ากันหรืออายุน้อยกว่าเขา หรือเรื่องที่จะใช้ ‘การต่อสู้แบบนักเลง’ พวกนี้เขาแก้ไขได้
แต่จนกระทั่งถึงตอนนี้ เขาก็ยังไม่เข้าใจว่าทำไมตัวเองถึงถูกตามล่า จุยเฟิงคิดถึงความเป็นไปได้มากมาย…แต่หากพูดตามเหตุผลแล้วเขาก็ไม่ได้ทำเรื่องอะไรไม่ดี
สิ่งเดียวที่เขาคิดออกก็คือเรื่องของเสี่ยวเจียง…แต่เขาก็ไม่แน่ใจ ถึงครอบครัวของเสี่ยวเจียงว่ามีชีวิตอยู่มาอย่างยาวนาน บรรพบุรุษรู้จักปีศาจไม่น้อย แต่ก็ไม่อาจเคลื่อนไหวพวกปีศาจเหล่านี้ได้
“อย่าวิ่งอีกเลยเจ้าเด็กน้อย ยอมแพ้แล้วตามพวกเรากลับไปพบท่านกุยเถอะ”
ทันใดนั้นตรงหน้าก็ปรากฏเงาดำสายหนึ่งขึ้นขวางทางจุยเฟิง เขารีบหันกลับแต่ก็พบว่าด้านหลังถูกดักเอาไว้แล้ว เขาเงยหน้าขึ้นก็พบเงาดำหลายสายบนหลังคา…ไม่มีทางหนีแล้ว!
“ท่านกุย…ใต้เท้ากุยเชียนอีงั้นเหรอ” จุยเฟิงขมวดคิ้ว
เขากลัวแต่ก็ยังไม่สับสนจนไร้ความคิด ถามออกไปตรงๆ ว่า “ทำไมใต้เท้าท่านนั้นถึงอยากพบฉัน?”
“เรื่องนั้นนายไม่ต้องสนใจ พวกเราได้รับคำสั่งให้พานายไปที่นั่น ดังนั้นทางที่ดีที่สุดก็อย่าได้หนี นายยังเด็ก พวกเราไม่อยากทำอะไรรุนแรงกับนาย”
“ใครจะรู้ว่าตามพวกนายไปแล้วจะเกิดอะไรขึ้น?” จุยเฟิงโมโห แยกเขี้ยว “หากไม่พูดให้ชัดเจน ฉันก็จะไม่ยอมไปกับพวกนาย!”
“ก้าวร้าวโดยกำเนิด” เงาดำด้านหน้าส่ายหน้า “ไม่รู้จักดูสถานการณ์ ยากที่จะทำงานใหญ่ได้…หากพวกเราคิดจะทำร้ายนายจริงๆ มีโอกาสมากมายตลอดเส้นทาง นายยังไม่เข้าใจอีกหรือ? ลงมือเถอะ อย่าเปลืองคำพูดกับเขาอีกเลย”
เงาดำสามสายลอยพุ่งเข้าใส่จุยเฟิง เมื่อเผชิญหน้ากับปีศาจโตสามตนรุมล้อม จุยเฟิงฝืนได้ไม่ถึงสิบวินาทีก็ถูกกดลงกับพื้น
“ปล่อยฉัน! ปล่อยฉัน! ฉันจะฆ่านาย!!!!!”
เขาขัดขืนอยู่บนพื้นอย่างบ้าคลั่ง แต่ก็ทำให้ถูกชกไปหมัดหนึ่ง…เขาสติว่างเปล่า สลบลงไป
“ลงมือหนักเกินไป?” ปีศาจโตตนหนึ่งขมวดคิ้วเอ่ยขึ้น
“เขาเสียงดังเกินไป เจ้าเด็กนี่มีนิสัยก้าวร้าวป่าเถื่อน อีกทั้งสายตายังเต็มไปด้วยความโกรธและความเกลียดชัง…” ปีศาจตนนั้นส่ายหน้าและเอ่ยว่า “บอกกับท่านกุยว่า ภารกิจสำเร็จแล้วจะกลับไปเดี๋ยวนี้”
…
…
จุยเฟิงถูกความเคลื่อนไหวอันแผ่วเบาปลุกให้ตื่นขึ้น พริบตาเดียวที่เขาตื่นก็ได้ยินเสียงตึงๆ…เหมือนเสียงลำโพง
ตรงหน้าเขาเป็นห้องหินขนาดใหญ่ สองด้านซ้ายขวามีปีศาจแบ่งกันยืนข้างละสามตน…ปีศาจเหล่านี้ไม่เพียงแต่เป็นปีศาจโต แต่ยังมีพลังปีศาจที่แข็งแกร่งอีกด้วย
ตรงหน้าของเขามีปีศาจชราถือไม้เท้านั่งอยู่ตนหนึ่ง ซึ่งก็คือกุยเชียนอี
ข้างกายกุยเชียนอีมีกุ่ยอิงยืนอยู่ด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึก
จุยเฟิงคิดจะลุกขึ้นมา แต่กลับพบว่าสองมือของตัวเองถูกโซ่มัดไว้ด้านหลัง ส่วนสองเท้า…ก็มีโซ่ตรวน
“นี่คืออะไร ทำไมพวกคุณถึงจับผมมาที่นี่?”
เมื่อกุยเชียนอีโบกมือเผชิญหน้ากับจุยเฟิงที่ตื่นมาคำราม เพื่อให้ปีศาจทั้งหมดออกไปเหลือเพียงกุ่ยอิง กุยเชียนอีเอ่ยขึ้นในตอนนี้ว่า “จุยเฟิง…นี่เป็นชื่อที่เจ้าตั้งขึ้นเองใช่ไหม? เจ้าไม่มีที่มา ได้ยินมาว่าถูกทิ้งตั้งแต่เด็ก?”
“คุณ…คุณก็คือกุยเชียนอี? เต่าเฒ่าตัวนั้นของเอลิเซียมบาร์?”
“เป็นคนโง่และหัวแข็งจริงๆ” กุยเชียนอีเอ่ย “นิสัยนี้ของเจ้า หากเป็นยุคที่เผ่าปีศาจยังรุ่งเรืองคงยากจะใช้ชีวิตอยู่ได้ นายยังไม่รู้สถานการณ์ของตัวเองในตอนนี้อีกหรือ”
“ก็แค่ชีวิตหนึ่งเท่านั้น! ” จุยเฟิงสบถ “หากฆ่าได้ก็ฆ่าฉันสิ! สิบแปดปีต่อจากนี้ฉันจะได้กลายเป็นผู้กล้าคนหนึ่ง!”
นัยน์ตาของกุยเชียนอีฉายแวววาววาบขึ้นในทันที จุยเฟิงรู้สึกว่าดวงตาของผู้เฒ่าตรงหน้าขยายใหญ่ขึ้นไม่รู้ตั้งกี่เท่า ลากเขาเข้าไปในความดำมืดมิด ทำให้เขาสั่นสะท้าน “เด็กโอหัง! พูดง่ายนัก! ไม่มีใครเคยบอกเจ้าหรือว่า นรกไม่เปิดมานานแล้ว เจ้าตายไปจะมีโอกาสเกิดใหม่งั้นหรือ? ตายแล้วก็จะกลายเป็นวิญญาณเร่ร่อนวนเวียนอยู่ในโลก สุดท้ายก็ต้องหายไปไม่เหลือร่องรอย!”
เกิดเสียงระเบิดดังขึ้นในหัวของจุยเฟิง ปวดจนหัวแทบแตก ร้องออกมา คุกเข่าลงและล้มกองลงไปในฉับพลัน
“แม้แต่ชีวิตของตัวเองก็ไม่รู้จักทะนุทนอม กล้าหาญแต่ไร้ปัญญา โง่เขลาๆ” กุยเชียนอีถอนสายตากลับ “แต่เจ้าวางใจเถอะ ข้าไม่ได้คิดจะเอาชีวิตเจ้า เพียงแต่รับคำสั่งมาจากใต้เท้าหลงให้จับเจ้ามาเท่านั้น”
“หลง…หลงซีรั่ว…” จุยเฟิงที่ล้มกองอยู่บนพื้นเงยหน้าขึ้นมา กัดฟันและพูดว่า “เป็นเธอ…”
เขาไม่เพียงแต่ตกตะลึง แต่อิงตามคำพูดของกุยเชียนอีแล้ว จุยเฟิงยังเข้าใจเรื่องราวได้คร่าวๆ เขาเดาได้อย่างไม่ยากว่าชีสต้องพาเสี่ยวเจียงไปขอความช่วยเหลือจากหลงซีรั่วเป็นอันดับแรก และก็เดาได้ไม่ยากว่าเมื่อใต้เท้าท่านนั้นถามคำถาม ชีสจะตอบว่าเขาเป็นคนร้าย
“ที่แท้ก็เป็นอย่างนี้นี่เอง…เป็นอย่างนี้จริงๆ…” จุยเฟิงกดหัวลงไปยังพื้นอันเยียบเย็น “ยอมเชื่อสัตว์ประหลาดตัวนั้น…”
เขากำลังหัวเราะ หัวเราะขึ้นมาอย่างไม่มีที่มา หัวเราะจนกุยเชียนอีกับกุ่ยอิงคิดว่าเขาตกใจจนเป็นบ้าไปแล้ว
แต่ตอนนี้จุยเฟิงกลับเงยหน้าขึ้นมา เอ่ยถามในทันใดว่า “ใต้เท้ากุยเป็นผู้อาวุโสในเผ่าปีศาจ สูงส่งน่าเคารพนับถือ ผมมีเรื่องไม่เข้าใจ ช่วยอธิบายให้ผมฟังได้ไหมครับ”
“ข้าไม่มีหน้าที่ต้องตอบคำถามของเจ้า” กุยเชียนอีเอ่ยอย่างเรียบเฉย
จุยเฟิงกลับถามตัวเขาเองว่า “ถ้าหากคนทั้งโลกไม่เชื่อคุณเลย ซ้ำยังเล่นงานคุณทั้งที่คุณบริสุทธิ์ คุณจะทำยังไงกับคนในโลก?”
กุยเชียนอีขมวดคิ้วเอ่ยว่า “ในเมื่อบริสุทธิ์ก็ต้องมีเวลาล้างมลทินได้ หรือไม่เจ้าก็พยายามพิสูจน์ความบริสุทธิ์ ไม่งั้นก็รอต่อไป เจ้ายังคิดจะทำอะไรกับโลกอีก? อีกอย่าง ทำไมคนทั้งโลกถึงไม่เชื่อเจ้า? ไม่ใช่เพราะปัญหาของตัวเจ้าเองหรือ”
จุยเฟิงกัดฟันยืนขึ้นมา นัยน์ตาแดงฉาน “ผมแค่ถามว่าจะทำยังไงกับคนในโลก?”
กุยเชียนอีขมวดคิ้วแน่นขึ้นไปอีก ตอนนี้กุ่ยอิงที่อยู่ข้างกายได้ก้าวออกไปหนึ่งก้าว “ท่านกุย เจ้าเด็กคนนี้คงถูกจิตมารเข้าแทรกจนคลั่งไปแล้ว”
“ข้ารู้แล้ว ตั้งแต่เขาลืมตาขึ้นก็รู้แล้ว ไม่รู้ว่าทำไมจิตใจของเจ้าเด็กคนนี้ถึงได้มีความโกรธรุนแรงนัก”
กุยเชียนอีส่ายหน้า “ก็ไม่รู้ว่าเขาผ่านอะไรมาบ้าง…กุ่ยอิง ทำให้เขาสลบแล้วส่งไปให้ใต้เท้าหลงเถอะ อย่าให้จิตมารเข้าแทรก ยังเด็กขนาดนี้ทำไมถึงกลายเป็นแบบนี้ไปได้?”
กุ่ยอิงไม่เคยสนใจสิ่งของนอกกาย เมื่อได้ยินก็รีบเดินเข้าไปฟาดคอของจุยเฟิง…ความแรงนี้ทำให้เขาหมดสติไปทันที
เขาแบกจุยเฟิงขึ้นบ่าและพูดกับกุยเชียนอีโดยไม่หันหน้ากลับมาว่า “ข้าไปเดี๋ยวเดียวก็กลับ”
…
กุ่ยอิงแบกจุยเฟิงออกจากเขตอุตสาหกรรมเก่าที่ตั้งของเอลิเซียมบาร์ เขาเงยหน้ามองฟ้า “พระจันทร์เต็มดวงงั้นหรือ…ต้องรีบกลับมา”
เพราะคืนพระจันทร์เต็มดวงสำหรับปีศาจจำนวนไม่น้อยแล้ว มักจะเป็นเวลาที่นิสัยป่าเถื่อนของพวกเขาถูกกระตุ้นขึ้นมา โดยเฉพาะบรรดาปีศาจในบาร์ที่ถูกกระตุ้นจากเหล้าอยู่แล้ว ตามปกติก็มักจะก่อความวุ่นวายขึ้น
แต่ซุนเสี่ยวเซิ่งชอบความวุ่นวาย เขาบอกว่าเป็นการสร้างสีสันให้เหล่าปีศาจที่ใกล้เน่าเต็มที ดังนั้นกุ่ยอิงจึงมักจะวุ่นวายอยู่เดือนละหนึ่งคืน
ทันใดนั้นกุ่ยอิงก็มองจุยเฟิงบนไหล่แวบหนึ่ง มิน่าเมื่อครู่นี้เขาถึงโดนจิตมารเข้าแทรก เป็นเพราะความพิเศษของคืนพระจันทร์เต็มดวงนี้เอง…อีกทั้งพระจันทร์เต็มดวงสำหรับปีศาจหมาป่าแล้วก็จะกระตุ้นได้ไวกว่าปีศาจอื่นๆ
แต่ตอนนี้ ร่างกายของจุยเฟิงกลับขยับกะทันหันบนบ่าของกุ่ยอิง
กุ่ยอิงชะงัก เขาคิดว่าเมื่อครู่ตัวเองลงมือได้พอดี…จึงแปลกใจที่เจ้าเด็กคนนี้สามารถฟื้นขึ้นมาได้เร็วขนาดนี้
กุ่ยอิงโยนจุยเฟิงลง เจ้าเด็กคนนี้ตื่นขึ้นมาก็คิดจะกัดคอของเขา
หลังจากร่างกายของจุยเฟิงตกลงกับพื้นแล้วก็มีท่าทางดุร้าย พร้อมที่จะกระโจนออกมาได้ทุกเวลา ดวงตาแดงฉาน บนฟันแหลมคมเริ่มปรากฏน้ำลายจำนวนมาก
“จิตมารเข้าแทรกอย่างสมบูรณ์แล้วงั้นหรือ เร็วจริงๆ” กุ่ยอิงพลันก็ยื่นมือออกมา มีดเล่มเล็กเล่มหนึ่งพุ่งออกจากฝ่ามือของเขา “หากเจ้าไปหาใต้เท้าหลงในสภาพสลบอาจจะเจ็บตัวน้อยกว่านี้”
“พวกคุณยังไม่ตอบคำถามของผม!” จุยเฟิงที่กำลังบ้าคลั่งส่งเสียงออกมา
“ยังมีสติ?” กุ่ยอิงขมวดคิ้ว
แต่ในเวลานี้เอง ร่างกายของจุยเฟิงก็เกิดแสงสีเลือดพวยพุ่งออกมา แสงสีเลือดโอบคลุมตัวเขา สุดท้ายก็กลายเป็นเงามายาของหมาป่าเลือดขนาดตัวใหญ่กว่าเขาหลายเท่า
“เจ้าเป็นตัวอะไรกันแน่?”
“ในเมื่อคุณไม่ตอบ งั้นก็ไปตายซะเถอะ!” จุยเฟิงกระโดดพุ่งเข้าไปในพริบตา
กุ่ยอิงสบถ มีดเล็กในมือระเบิดแสงอันเย็นยะเยือกออกมา ไม่ถอยแต่กลับเข้าไปใกล้ ก้าวไปข้างหน้าหนึ่งก้าว ใช้แสงอันเย็นยะเยือกตัดเงามายาของหมาป่าเลือดบนตัวจุยเฟิง
เมื่อแสงอันเย็นยะเยือกตวัดผ่าน เงามายาก็หายไป จุยเฟิงส่งเสียงร้องโหยหวน แผลบนแขนฉีกออก เลือดพุ่งออกมาแต่กลับยิ่งบ้าคลั่งหนักขึ้น
“พอเถอะ เจ้ายังไม่ใช่คู่ต่อสู้ของข้า” กุ่ยอิงเอ่ย “ข้าไม่รู้ว่าเจ้าได้พลังนี้มาจากไหน แต่เห็นได้ชัดว่ามันไม่ใช่ของเจ้า”
“พวกคุณ…เอาแต่เล่นงานผม! พวกคุณเล่นงานแต่ผม!” ทันใดนั้นจุยเฟิงก็กางแขนออก ส่วนเอวโล่งส่งเสียงอันบ้าคลั่งออกมาดังกระหึ่ม!
เสียงนี้ดังมาก จนกุ่ยอิงรู้สึกเหมือนยืนอยู่บริเวณช่องลมของหุบเขาขนาดใหญ่…แสงในดวงตาเริ่มบ้าคลั่งพุ่งไปหาจุยเฟิง
นั่นคือแสงจันทร์ เป็นพลังของพระจันทร์เต็มดวงที่บริสุทธิ์ที่สุด
กุ่ยอิงมองเห็นร่างกายของจุยเฟิงบวมขึ้นมาอย่างฉับพลัน เขาขมวดคิ้วขึ้น นัยน์ตาฉายแสงสีม่วง มีดเล็กในมือแบ่งออกเป็นสองกลายเป็นแสงอันเย็นยะเยือกสองสาย
การฆ่าศัตรูเป็นเรื่องง่ายดายมากสำหรับกุ่ยอิง…แต่การไม่ฆ่าศัตรูสำหรับเขาแล้วกลับเป็นเรื่องยากมาก
เมื่ออสุราปรากฏตัวก็ต้องได้ชีวิต ไม่สามารถเรียกกลับได้
“เจ้าเข้าสู่ภาวะมาร จิตมารเข้าแทรกโดยสมบูรณ์แล้ว หากข้าไม่ฆ่าเจ้า เจ้าก็ต้องระเบิดจนตายอยู่ดี…” กุ่ยอิงสบถ “จะเป็นหรือตายก็ขึ้นอยู่กับเจ้าแล้ว!”
แสงอันเย็นยะเยือกสองสายวาบผ่านไปอย่างรวดเร็ว ร่างกายของกุ่ยอิงแยกเป็นสองร่าง หลังจากไถลไปด้านซ้ายขวาของจุยเฟิง แสงอันเย็นยะเยือกสองสายก็กำลังจะตัดบนและล่าง แต่จุยเฟิงกลับยังยืนดูดซับพลังของพระจันทร์อย่างบ้าคลั่ง
ในที่สุดแสงอันเย็นยะเยือกก็ตัดกัน
แต่ตอนนี้กุ่นอิงกลับหรี่ตาลง…หายไปแล้ว!
จุยเฟิงที่ควรถูกตัดกลับหายไป…ไม่ใช่การหลบหนีแต่หายไปกลางอากาศ หายไปจากสายตาของเขา
แต่กุ่ยอิงก็ไม่ได้ครุ่นคิดอยู่ที่เกิดเหตุนาน เขาเก็บแสงอันเย็นยะเยือกในมือกลับ แล้วรีบย้อนกลับไปเอลิเซียมบาร์ กุยเชียนอีอยู่มาตั้งไม่รู้กี่ปี บางทีอาจจะรู้จักเรื่องเงามายาของหมาป่าเลือด
…
…
“ไม่กลัวตายเหรอ?”
ในห้องโถงของสมาคม เจ้าของสมาคมนั่งอยู่โต๊ะบาร์มองจุยเฟิงแล้วเอ่ยถาม
ที่นี่ไม่มีแสงจันทร์จากดวงจันทร์ จุยเฟิงจึงไม่สามารถดูดซับอะไรได้ แต่ดวงตาเขายังคงแดงฉาน ท่าทางบ้าคลั่งไม่มีทีท่าว่าจะลดลง ดูเหมือนภูเขาไฟที่พร้อมจะระเบิดได้ตลอดเวลา
แต่จุยเฟิงก็รู้สึกว่าตัวเองสงบลงมาก…สงบยิ่งกว่าเมื่อไม่กี่วินาทีก่อน เสียงของเขาแหบพร่าเล็กน้อย เขายิ้มเยาะและเอ่ยว่า “นายบอกว่าฉันมีชีวิตหกสิบปี หากไม่ถึงหกสิบปีก็จะไม่ตายไม่ใช่เหรอ?”
“คุณเลยคิดว่าผมจะต้องช่วยคุณแน่ ใช่ไหมครับ?” ลั่วชิวเอ่ยอย่างราบเรียบ “เด็ดขาดจริงๆ” สีหน้าของจุยเฟิงดูบ้าคลั่งอย่างเห็นได้ชัด “ไม่ว่าฉันจะอธิบายยังไงก็ไม่มีใครเชื่อฉัน กุ่ยอิงคนนั้นต้องการฆ่าฉัน ฉันก็แค่พนันดูสักครั้งเท่านั้น”
“กุยเชียนอีกับกุ่ยอิง รวมถึงบรรดาปีศาจที่ไล่ล่าคุณไม่คิดจะฆ่าคุณจริงๆ” ลั่วชิวเอ่ยว่า “ความจริงแล้ว ตั้งแต่ตอนแรกสุด หากคุณไม่หนีจากสนามกีฬาและพูดอธิบายกับเพื่อนของคุณสักหน่อย เรื่องก็คงไม่บานปลายมาถึงขั้นนี้”
จุยเฟิงสบถและเอ่ยว่า “ฉันไม่สนใจเรื่องพวกนี้! ในเมื่อพวกเขาหาว่าฉันก้าวร้าวโดยกำเนิด แล้วทำไมฉันต้องยอมด้วย? พวกเขาใช้สายตามองผู้ร้ายมองฉันตั้งแต่แรกแล้ว แล้วฉันจะอธิบายได้ยังไง”
ลั่วชิวเอ่ยว่า “หากเปลี่ยนเป็นคุณ คุณจะไม่ตกใจหรือสงสัยเลยเหรอครับ”
จุยเฟิงโมโห พูดคล้ายคำราม “ฉันไม่สน! เสี่ยวเจียงทำกับฉันยังไง? อา! ตอนนั้นฉันไม่น่าช่วยเขาเลย ให้เขาถูกตัวประหลาดตัวนั้นกินไปดีกว่า”
ลั่วชิวพิจารณา สายตาคล้ายจะมองลึกเข้าไปในดวงตาของจุยเฟิง ทันใดนั้นเขาก็เอ่ยขึ้นว่า “ที่แท้นี่ก็คือสิ่งที่เรียกว่าจิตมาร พิเศษจริงๆ ผมเพิ่งเคยเห็นเป็นครั้งแรก…ถูกกระตุ้นจนกลายเป็นมาร?”
จุยเฟิงกลับยิ้มเยาะ ทันใดนั้นก็ล้วงการ์ดสีดำใบนั้นออกมา
เจ้าของสมาคมลั่วยิ้ม “คุณลูกค้าต้องการอะไรครับ”
จุยเฟิงสบถพูดว่า “ดูนายพูดเข้าสิ ฉันยังคิดว่านายจะไม่ทำการค้ากับฉันซะแล้ว”
เจ้าของสมาคมลั่วส่ายหน้า “ไม่หรอกครับ ที่นี่ไม่เคยปฏิเสธลูกค้าที่เข้ามา ไม่สนว่าลูกค้าจะเข้ามาโดยวิธีไหนก็ทำการค้าขายด้วยได้ ไม่ทราบว่าคุณลูกค้าต้องการซื้ออะไรครับ”
“ฉันถูกสงสัยและเจอแต่ความเย็นชา เกลียดความไม่เชื่อใจและทรยศหักหลัง…” สองตาของจุยเฟิงแดงขึ้น “ฉันต้องการ…ให้ทุกๆ คนเชื่อฟังฉัน! ไม่ทรยศไปตลอดกาล!”
“ของแลกเปลี่ยนล่ะครับ”
“วิญญาณของฉัน!”
เจ้าของสมาคมลั่วเอ่ยว่า “ขอโทษด้วยครับคุณลูกค้า เกรงว่าจะไม่พอ”
สีหน้าของจุยเฟิงดุดันขึ้น แต่เจ้าของสมาคมลั่วกลับโบกมืออย่างฉับพลัน
ได้ยินเพียงเสียงติงๆ…ตอนนี้ในมือของเจ้าของสมาคมมีกระดิ่งโบราณอันหนึ่งโผล่ออกมา
“แต่…” ลั่วชิวสั่นกระดิ่งและเอ่ยว่า “มีของอยู่ชนิดหนึ่งชื่อว่า ‘กระดิ่งไซเรน*’ เพียงแค่เขย่ามันก็จะทำให้คนที่ได้ยินเสียงของมันทำตามคำพูดของคุณ แต่สามารถใช้ได้กับผู้ที่อ่อนแอกว่าคุณเท่านั้น อีกทั้งยังควบคุมได้เพียงแปดสิบเอ็ดร่างเท่านั้น…คุณลูกค้าสนใจไหมครับ”
นัยน์ตาของจุยเฟิงฉายแววละโมบ หัวเราะอย่างบ้าคลั่งและเอ่ยว่า “เอามันนี่แหละ!”
*ไซเรน เป็นปีศาจในเทพนิยายกรีก มีเสียงไพเราะสามารถสะกดจิตให้ผู้อื่นทำตามในสิ่งที่ตัวเองต้องการ