สลับชะตา ชายามือสังหาร - ตอนที่ 208 คำเชิญของราชสำนักจันทร์ประจิม
“ฝ่าบาท บุตรสาวของพวกเรา… นางตายได้เช่นไรเพคะ กลุ่มโอหัง… กลุ่มโอหังถูกล้างผลาญไปสิ้นแล้ว…นี่เป็นไปได้อย่างไรกันเพคะ” ฉินโม่ตกใจจนพูดจาขาดห้วง พลางกุมมือนางกำนัลเอาไว้แน่น
“เฮอะ ระยะนี้กลุ่มโอหังของพวกเจ้าทำตัวโอหังอยู่พอสมควรมาตลอดหลายปีจริงๆ กล้าทำเรื่องใหญ่โตอย่างการคิดล้างผลาญกลุ่มนกนางนวลลับหลังข้าได้!” จักรพรรดิจันทร์ประจิมพูดด้วยรอยยิ้มเย็น
“ฝ่าบาท ข้าเพียงแต่คิดว่าอาณาจักรจันทร์ประจิมมีกลุ่มทหารรับจ้างมากมายถึงเพียงนั้น น้อยลงไปกลุ่มสองกลุ่มก็ไม่เห็นเป็นไร… นอกจากนี้พวกเขายังสังหารน้องชายข้า ข้าก็แค่ล้างแค้นให้น้องชายเท่านั้นเองนะเพคะ” ฉินโม่พูดอธิบาย
“ล้างแค้นหรือ เฮอะ ล้างแค้นไม่สำเร็จก็ก่อความวุ่นวายมันเสียเลยสินะ!” จักรพรรดิจันทร์ประจิมพูด “ตอนนี้เจ้าจงนั่งเฉยๆ ให้ข้าอยู่ที่นี่เสีย ถ้าหากมีความเคลื่อนไหวอันใดให้ข้าเห็นอีก ก็อย่าหาว่าข้าไม่รักษาน้ำใจสามีภรรยาก็แล้วกัน!”
พอพูดจบจักรพรรดิจันทร์ประจิมก็เดินไปโดยไม่หันหน้ามามองเลยแม้แต่น้อย
ฉินโม่รู้สึกว่าตรงหน้ามืดดับ นางหงายหลังหมดสติไปทันที
“พระชายา พระชายาเพคะ!” นางกำนัลรีบให้นางกำนัลที่อยู่ด้านข้างหลายคนเข้ามาช่วยกันพยุงฉินโม่เข้าไปยังศาลาพักร้อนด้านข้าง
ผ่านไปครู่ใหญ่ ฉินโม่จึงค่อยได้สติกลับคืนมา ประโยคแรกที่พูดเมื่อลืมตาตื่นขึ้นก็คือ “สืบ… ไปสืบมาให้ข้าทีว่านี่มันเรื่องอันใดกัน!”
น่าเสียดายที่เมื่อนางกำนัลที่ได้รับคำสั่งออกไปข้างนอกเพื่อสืบหา กลับพบว่าพวกนางไม่ได้รับอนุญาตให้ออกจากตำหนักหวาซา นอกจากนี้ยังส่งราชองครักษ์จำนวนไม่น้อยมาล้อมตำหนักหวาซาเอาไว้ด้วย ทั้งยังออกคำสั่งว่าไม่อนุญาตให้คนนอกตำหนักหวาซามารายงานข่าวคราวใดๆ เป็นอันขาด
แต่นางกำนัลผู้นั้นก็ยังมีความสามารถอยู่พอตัว ไปสืบหาข่าวมาจนได้รู้ว่าที่ซีเย่ว์ซีตายนั้นเป็นฝีมือของพวกซือหม่าโยวเย่ว์
“ซือหม่าโยวเย่ว์ผู้นี้สังหารน้องชายข้าไปแล้ว ตอนนี้ยังมาสังหารบุตรสาวข้าอีก! ข้ากับนางอยู่ร่วมโลกกันมิได้เสียแล้ว!” ฉินโม่ขว้างปาข้าวของในห้องจนเกลี้ยงก็ยังมิอาจระบายความโกรธแค้นในใจได้หมด
เนื่องด้วยข่าวที่ได้รับมีจำกัด ดังนั้นคนของตำหนักหวาซาจึงไม่รู้ว่าเจ้าไก่ฟ้ามีตัวตนอยู่ ด้วยเหตุนี้จึงตัดสินใจผิดพลาด ทำให้พวกเขาต้องชดใช้อย่างน่าอนาถ
“พระชายา ข้ายังได้ยินว่าฝ่าบาททรงเชิญคนพวกนั้นมาเข้าร่วมงานเลี้ยงด้วยนะเพคะ!” นางกำนัลพูด
“งานเฉลิมพระชนมพรรษาของฝ่าบาทน่ะหรือ ฝ่าบาททรงเชิญพวกเขามาได้อย่างไรกัน” ฉินโม่ถลึงตาใส่นางกำนัล “แต่นี่ก็เป็นโอกาสอันดี ฆ่าพวกเขาให้ตายนอกวังมิได้ แต่ในวังข้าพูดคำไหนก็ต้องเป็นคำนั้น!”
“พระชายา พวกเราจะทำเช่นไรกันดีเพคะ” นางกำนัลถาม
“หาหนทางติดต่อคนของพวกเรา ให้ดักรออยู่แถวๆ สมาคมปรมาจารย์วิญญาณ พอพวกเขามาถึงเมืองหลวงก็เปิดฉากฆ่าเสียตรงนั้นเลย!” ฉินโม่พูด
“เพคะ พระชายา” สาวใช้พูดจบแล้วก็ออกไปจัดการ
“ช้าก่อน ให้บรรดาจ้าววิญญาณเหล่านั้นไป ไม่รู้ว่าพวกเขามียอดฝีมือระดับใดคุ้มกันอยู่ แต่ในเมื่อทั้งจ้าววิญญาณหูและจ้าววิญญาณหลิ่วล้วนตายไปกันหมดแล้ว ส่งคนพลังยุทธ์ต่ำต้อยไปก็ไม่มีประโยชน์หรอก” ฉินโม่พูด
“หม่อมฉันเข้าใจแล้วเพคะ!” นางกำนัลย่อกายคารวะก่อนจะถอยออกไป
“ซือหม่าโยวเย่ว์ ข้าจะทำให้เจ้าไปไม่กลับ!”
ณ เมืองผิงคัง ซือหม่าโยวเย่ว์มองเจ้าเมืองผู้มีรอยยิ้มระบายเต็มหน้า เหตุใดจึงดูเหมือนดอกเบญจมาศอันสดใสเช่นนี้เล่า
“แค่กๆ ไม่ทราบว่าท่านเจ้าเมืองเรียกตัวพวกเรามาพบด้วยเรื่องอันใดหรือ” เว่ยจือฉีเห็นสีหน้าของซือหม่าโยวเย่ว์ก็รู้แล้วว่าเธอคิดถึงเรื่องไม่ดีเสียแล้ว เพื่อป้องกันไม่ให้เธอพูดออกมา ตนจึงเอ่ยปากถามขึ้น
เจ้าเมืองละสายตาจากเจ้าไก่ฟ้า แล้วหยิบเทียบเชิญสีทองอร่ามอันหนึ่งออกมาพลางเอ่ยว่า “นี่คือเทียบเชิญที่องค์จักรพรรดิจันทร์ประจิมของข้าทรงส่งมาให้ทุกท่าน ทรงอยากเชิญพวกเจ้าไปเข้าร่วมงานเลี้ยงฉลองวันพระราชสมภพของฝ่าบาทที่เมืองหลวงในอีกสิบวันให้หลัง”
“เชิญพวกเราไปเข้าร่วมงานเลี้ยงอย่างนั้นหรือ” เจ้าอ้วนชวีมองเจ้าเมืองแล้วพูดว่า “พวกเรามิได้รู้จักกับจักรพรรดิจันทร์ประจิมเสียหน่อย แล้วเขาจะอยากเชิญพวกเราไปทำไมกัน”
ในเมื่อเทียบเชิญของจักรพรรดิจันทร์ประจิมส่งมาแล้วพวกเขาก็ไม่ควรปฏิเสธ ถึงอย่างไรก็ต้องไปใช้ค่ายกลนำส่งของเมืองหลวง
เว่ยจือฉีรับเทียบเชิญมาแล้วพูดว่า “พอถึงตอนนั้นพวกเราจะไปให้ตรงเวลา”
“ฮ่าๆ เช่นนั้นอีกสักสองสามวันพวกเราไปพร้อมกันก็ได้” เจ้าเมืองพูด “พวกเจ้าไม่คุ้นเคยกับที่นั่น หวังว่าข้าจะได้รับเกียรติให้เป็นผู้นำทางของพวกเจ้านะ”
“ได้ไปพร้อมกันกับท่านเจ้าเมืองนับเป็นเกียรติของพวกเราแล้ว” เว่ยจือฉีอมยิ้มพูด
“ฮ่าๆๆ เช่นนั้นพอถึงเวลาพวกเราก็ไปพร้อมกันนะ!” เจ้าเมืองพูดพร้อมหัวเราะเสียงดัง “ส่งเทียบเชิญเรียบร้อยแล้ว ข้าขอตัวกลับก่อน”
“ข้าไปส่งท่านเจ้าเมืองเอง” ไป๋หยวนฉุนทำท่าผายมือเชิญแล้วออกไปพร้อมกับเจ้าเมือง
พอเจ้าเมืองจากไป ไป๋อวิ๋นฉีก็เบ้ปากแล้วเอ่ยว่า “เชิญพวกเจ้าแต่ไม่เห็นเชิญพวกเราเลย”
“เจ้าไม่ไปก็ดีแล้วนี่ ใครจะไปรู้ว่านี่เป็นงานเลี้ยงซ่อนแผนสังหารหรือไม่” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด
“ก็จริงอยู่” ไป๋อวิ๋นฉีพยักหน้า เมืองหลวงนั้นอันตรายกว่าเมืองผิงคัง ถ้าหากเขาไปก็ไม่แน่ว่าอาจกลายเป็นตัวถ่วงของพวกเขาแทน
“เอาล่ะ รับเทียบเชิญกันเสร็จแล้วก็กลับไปพักผ่อนเถิดนะ” ซือหม่าโยวเย่ว์บิดขี้เกียจคราหนึ่งก่อนกลับออกไป
พวกเว่ยจือฉีก็ตามกลับไปยังเรือนที่พักด้วย
เป่ยกงถังไม่ได้ไปด้วย พอซือหม่าโยวเย่ว์กลับไปแล้วก็ไปยังห้องของเสี่ยวถูซึ่งเป่ยกงถังกำลังสอนสิ่งพื้นฐานบางอย่างให้กับเสี่ยวถูอยู่
เป่ยกงถังเห็นซือหม่าโยวเย่ว์เข้ามาจึงเอ่ยถามว่า “เรียกเจ้าไปมีเรื่องอันใดหรือไม่”
“อื้ม” ซือหม่าโยวเย่ว์เดินเข้าไปแล้วยกกาน้ำชาบนโต๊ะขึ้น ก่อนจะดื่มจากปากของกาน้ำชา เมื่อดื่มพอแล้วจึงเอ่ยว่า “จักรพรรดิจันทร์ประจิมให้พวกเราไปเข้าร่วมงานเลี้ยงในอีกสิบวันให้หลังน่ะ ท่านเจ้าเมืองส่งเทียบเชิญมาแล้ว”
“ให้พวกเราไปเข้าร่วมงานเลี้ยงอย่างนั้นหรือ งานเลี้ยงซ่อนแผนสังหารหรือไร” เป่ยกงถังขมวดคิ้ว
“ข้าว่าไม่ใช่หรอก” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด “มีเจ้าไก่ฟ้าอยู่ เขาคงจะไม่อยากเชิญสัตว์อสูรเหนือเทพตนหนึ่งไปบุกงานเลี้ยงซ่อนแผนสังหารหรอกกระมัง”
“ก็จริงนะ” เป่ยกงถังรับคำ
“อีกสองสามวันพวกเราค่อยไปกัน ก่อนไปข้าต้องทลายเปิดเส้นลมปราณของเสี่ยวถูให้หมดก่อน” ซือหม่าโยวเย่ว์พูดพลางลูบศีรษะเสี่ยวถู
เสี่ยวถูก้มศีรษะต่ำ ไม่พูดไม่จามาโดยตลอด น้ำตาหยดแล้วหยดเล่าหลั่งรินลงมาจนอกเสื้อเปียกชุ่ม
เป่ยกงถังเห็นน้ำตาของเสี่ยวถูจึงถามว่า “เสี่ยวถู เป็นอะไรไปน่ะ ร้องไห้ทำไมกัน”
เสี่ยวถูเงยหน้าขึ้นมา ดวงหน้าเล็กมีน้ำตานองหน้า เขามองทั้งสองคนพลางเอ่ยว่า “พี่สาว พวกท่านจะทอดทิ้งเสี่ยวถูแล้วใช่หรือไม่”
“หืม?”
“พวกท่านจะทลายเปิดเส้นลมปราณของข้าทั้งหมดก่อนจะจากไป หลังจากนั้นพอไปก็จะไม่พาข้าไปด้วยแล้วใช่หรือไม่เล่า” เสี่ยวถูพูดอย่างน้อยใจ
ซือหม่าโยวเย่ว์และเป่ยกงถังประสานสายตากันแวบหนึ่ง พวกเธอคิดเช่นนี้เอาไว้จริงๆ
“เสี่ยวถู เรื่องที่พวกเราจะไปทำกันนั้นอันตรายอย่างยิ่ง ถ้าหากเจ้าติดตามไปกับพวกเราด้วยก็อาจมีอันตรายได้นะ” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด
“ข้ารู้ว่าพวกท่านจะไปช่วยท่านปู่” เสี่ยวถูพูด “แต่ข้าอยากไปกับพวกท่านด้วยนี่นา”
“เจ้าไม่อยากอยู่ที่นี่ต่อหรือ” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด “ถ้าหากเจ้าอยู่ที่นี่ต่อ พี่อวิ๋นฉีก็จะคอยดูแลเจ้า ให้เจ้าเติบใหญ่ขึ้นอย่างสงบสุข”
เสี่ยวถูส่ายศีรษะอย่างแรงแล้วพูดว่า “ข้าอยากอยู่กับพวกท่าน พี่สาว พวกท่านพาข้าไปด้วยเถิดนะ! เสี่ยวถูไม่อยากแยกจากพวกท่านเลย”
“เสี่ยวถู ถ้าหากเจ้าไปกับพวกเรา ไม่แน่ว่าชีวิตในภายภาคหน้าอาจต้องพบเจอกับการไล่ล่าสังหารไม่รู้จบ เจ้าเข้าใจหรือไม่” เป่ยกงถังเอ่ยแนะนำ “ไม่เหมือนกับอยู่ที่นี่ ที่นี่เจ้าจะได้มีสภาพแวดล้อมอันมั่นคง ได้รับการบ่มเพาะเป็นอย่างดี ไม่แน่ว่าในภายหน้ายังอาจได้ทำการทำงานดีๆ อีกด้วย”
เสี่ยวถูยังคงส่ายหน้าแล้วพูดอย่างแน่วแน่ว่า “ข้าไม่กลัวชีวิตที่ลุ่มๆ ดอนๆ หรอก ถ้าหากมีคนชั่วมารังแกพวกท่าน ข้าก็จะช่วยพวกท่านสู้กับคนชั่วเอง! พี่สาว พวกท่านอย่าทอดทิ้งเสี่ยวถูเลยนะ ได้หรือไม่ขอรับ”
…………………………………….