สวินหยาง ยอดหญิงไร้พ่าย ภาค 2 - ตอนที่ 15.1
สวินหยาง ยอดหญิงไร้พ่าย ภาค 2 – บทที่ 15.1 คดีเลือด (1)
บทที่ 15 คดีเลือด (1)
โดย
Ink Stone_Romance
เดิมทีฉู่สวินหยางไม่ได้ใส่ใจนางมากเท่าไรนัก นางหลบหลีกเช่นนี้ทำให้ฉู่สวินหยางรู้สึกระแวดระวังมากขึ้นบ้าง ฉู่สวินหยางหันกลับไปมองตามหลังนางที่กำลังรีบเดินไป พอมองแบบนี้ก็รู้สึกคุ้นตาจริงๆ แต่พอผ่านไปได้สักพักนางก็นึกไม่ออกแล้วว่าเคยเห็นหญิงคนนี้ที่ไหนมาก่อน
หญิงคนนั้นเดินออกจากหอยลนทีก็มีรถม้าธรรมดาๆ ขับมาเทียบข้างทาง พอรับนางแล้วก็ขับออกไป
ชิงหลัวจอดรถม้าแล้วเดินมา นางเห็นฉู่สวินหยางกำลังยืนเหม่อลอยอยู่ตรงประตูทางเข้าพอดี จึงมองตามสายตาของนางไปพลางถามว่า “ท่านหญิงกำลังมองอะไรอยู่หรือ? มีอะไรหรือเปล่าเจ้าคะ?”
“อ๋อ ไม่มีอะไร!” ฉู่สวินหยางถูกขัดจังหวะขณะที่กำลังคิดอยู่ในใจ นางยิ้มให้แล้วเดินเข้าไปในห้องโถง
ข้างในมีเด็กรับใช้คนหนึ่งออกมาต้อนรับ “โอ้! ท่านทั้งสองเชิญทางนี้!”
เจ้านายกับบ่าวคู่นี้แต่งตัวไม่ธรรมดา แสดงว่าต้องมาจากตระกูลผู้ดีเป็นแน่ เด็กรับใช้คนนั้นต้อนรับขับสู้เป็นอย่างดี แต่กลับเหมือนลำบากใจเล็กน้อย “ขออภัยด้วยจริงๆ ขอรับ ตอนนี้ห้องชั้นบนเต็มหมดแล้ว หากว่าท่านหญิงไม่รังเกียจ ข้าน้อยจะหาโต๊ะชั้นล่างที่เงียบๆ ให้ท่านก่อนขอรับ”
ชิงหลัวกำลังจะปฏิเสธ ห้องชั้นบนก็เปิดประตูออกมาพอดี เด็กรับใช้หันไปมองตามเสียงที่เขาได้ยินแล้วยิ้มเจื่อนพลางพูดว่า “ตอนนี้มีแขกออกไปแล้ว ข้าน้อยจะรีบไปจัดการทำความสะอาดให้ท่านทั้งสองขอรับ”
ฉู่สวินหยางเงยขึ้นไปมองโดยไม่ได้ตั้งใจ ปรากฏว่าแขกคนนั้นเป็นคนที่นางเคยเห็นมาก่อน
ผู้ติดตามเปิดประตูให้ซูหลิน ขณะที่เขากำลังก้มหน้าจัดการกับแขนเสื้อของเขา แล้วก้าวเท้าออกมาจากห้องพัก
“ท่านทั้งสองโปรดรอก่อนสักครู่!” เด็กรับใช้รีบขออนุญาตปลีกตัวออกมาจากฉู่สวินหยางและชิงหลัวแล้วรุดวิ่งขึ้นไปชั้นบนพลางพูดว่า “คุณชายค่อยๆ เดิน ไว้โอกาสหน้ามาใหม่นะขอรับ”
สายตาซูหลินช่างหยิ่งยโส เขาดูหมิ่นเด็กรับใช้คนนั้นโดยไม่แม้แต่จะทักทายปราศรัย เขาเดินลงมาจากชั้นสองพอกำลังจะออกไปข้างนอกก็เหลือบเห็นฉู่สวินหยาง
ตอนนั้นเขาคาดไม่ถึงว่าจะเจอนาง จึงชะงักฝีเท้า สายตาเคร่งขรึมแล้วก็ละสายตาก้าวเท้าเดินออกไปอย่างรวดเร็ว
เดิมทีฉู่สวินหยางก็ไม่แปลกใจ เพราะหอยลนทีชื่อเสียงเป็นที่ร่ำลือ เห็นซูหลินปรากฏตัวที่นี่ก็ไม่ใช่เรื่องแปลก ทว่าเมื่อครู่ที่เขานิ่งงันไปชั่วพริบตานั้น ฉู่สวินหยางกลับสังเกตเห็นว่าสีหน้าเขาเหมือนกลัวโดนจับได้ว่าทำผิดมากระทั่งคล้ายกับดูลุกลี้ลุกลน…
หรือว่าเขามาที่นี่และมีเรื่องที่ไม่อาจให้ใครรู้ได้งั้นหรือ?
ฉู่สวินหยางพินิจพิจารณา
เมื่อส่งซูหลินไปแล้ว เด็กรับใช้คนนั้นก็รีบวิ่งแจ้นมารับแขกต่อพลางพูด “เชิญท่านทั้งสองขึ้นไปชั้นบนขอรับ”
“คงไม่แล้วล่ะ พอดีข้ามาหาคนตามนัด” ฉู่สวินหยางยิ้ม นางกำลังจะถามเขาถึงห้องพิเศษที่เหยียนหลิงจวินอยู่ ก็มีคนเปิดประตูบานหนึ่งตรงมุมชั้นบน อิ้งจื่อเดินออกมาจากข้างใน
“ท่านหญิง ท่านมาแล้ว!” พอเห็นฉู่สวินหยาง อิ้งจื่อก็รีบรุดลงมาต้อนรับนาง
เด็กรับใช้คนนั้นเห็นว่าสถานการณ์เป็นเช่นนี้จึงถอยออกมา แล้วออกไปต้อนรับแขกที่กำลังเข้ามาใหม่
“ข้ามีธุระจึงมาถึงล่าช้า นายท่านของเจ้ายังอยู่ใช่หรือไม่?” ฉู่สวินหยางถาม
“เจ้าค่ะ! เชิญท่านหญิงขึ้นไปเถิด!” อิ้งจื่อพยักหน้า นางคุยกับฉู่สวินหยางเล็กน้อย แล้วเดินไปครัวด้านหลัง
หลังจากที่อิ้งจื่อเดินไป ฉู่สวินหยางก็ส่งสายตาให้ชิงหลัวพลางพูด “เจ้ารีบสะกดรอยตามซูหลินไป ข้าคิดว่าเขาดูไม่ชอบมาพากล”
“เจ้าค่ะ!” ชิงหลัวขานรับ แล้วหันหลังรีบตามเขาออกไปทันควัน
ฉู่สวินหยางขึ้นไปยังชั้นสองเดินตรงไปยังห้องรับแขกพิเศษ ขณะนั้นเหยียนหลิงจวินกำลังนั่งต้มชาอยู่บนเตียง บรรยากาศภายในห้องปกคลุมไปด้วยกลิ่นชาที่กำลังล่องลอยอยู่ ลบเลือนอากาศหนาวในฤดูหนาวไปจนหมดสิ้น
พอได้ยินเสียงนางเปิดประตู เหยียนหลิงจวินก็หันไปยิ้มให้นางพลางพูดว่า “เข้ามาเถิด!”
ฉู่สวินหยางถอดเสื้อคลุมแล้วแขวนไว้ข้างๆ ฉากบังลม จากนั้นก็เดินไปนั่งลงตรงหน้าเขา “เจ้ามานานแล้วหรือ?”
“ข้าไม่มีธุระก็เลยมาถึงก่อนล่วงหน้าแล้ว” เหยียนหลิงจวินตอบพลางรินชาแล้วยื่นถ้วยชาให้นาง “เจ้าเพิ่งมาจากจวนผิงกั๋วกงหรือ? ทุกอย่างราบรื่นดีหรือไม่?”
“ก็ดีนะ!” ฉู่สวินหยางยิ้มมุมปาก พลางประคองถ้วยชาแล้วค่อยๆ ดื่มชา “ฉู่เยว่เหยาก่อเรื่องสร้างความวุ่นวายไปทั่วทำให้ตระกูลเจิ้งได้รับผลกระทบไม่น้อย แม้ว่าจะเป็นเรื่องภายใน แต่เป็นไปไม่ได้ว่าพวกเขาจะไม่สนใจชื่อเสียงของวงศ์ตระกูล ข้าก็แค่ช่วยสงเคราะห์ให้ก็เท่านั้น ส่วนพวกเขาจะซาบซึ้งในน้ำใจของข้าหรือแค้นฝังใจก็แล้วแต่ว่าพวกเขาจะคิดอย่างไร”
ไม่ว่าเรื่องของจวนผิงกั๋วกงจะใหญ่หรือไม่ เปิดโปงออกไปก็ไม่มีประโยชน์ ยิ่งคนในตระกูลของพวกเขามีเรื่องน้อยเท่าไรก็ยิ่งต้องเป็นเรื่องดีอย่างแน่นอน ดังนั้นถึงแม้จะว่าเช่นนั้น ฉู่สวินหยางกลับไม่ได้กังวลมากนัก
“ข้ารู้แค่ว่าชายาอ๋องหนานเหอกับฮูหยินเจิ้งไม่สนิทสนมสักเท่าไร แต่ว่าพวกนางก็เป็นคนสายเลือดเดียวกัน หากเจ้าอยากจะต่อสู้เพื่อได้รับการสนับสนุนจากตระกูลเจิ้งหรืออยากเป็นกลางไม่เข้าข้างฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งก็ไม่ได้ง่ายขนาดนั้น” เหยียนหลิงจวินตอบ
เรื่องผลประโยชน์ของตระกูลผู้ดีมีสกุลเป็นจุดสนใจของคนเหล่านี้มาช้านาน เรื่องนี้มีความเกี่ยวข้องกับคนแซ่เจิ้งเพราะไม่ว่าอย่างไรนางก็เป็นลูกสาวของตระกูลเจิ้ง
ฉู่สวินหยางก็รู้ว่าความคิดที่นางอยากช่วงชิงจวนผิงกั๋วกงนั้นเหมือนจะเพ้อฝัน จึงไม่ขี้เกียจที่จะสืบสาวราวเรื่องเช่นกัน และแค่เอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “เมื่อสองสามวันก่อนก็เพิ่งจะเจอกัน เจ้าเรียกข้าออกมาอีกทำไม?”
เหยียนหลิงจวินยิ้มมุมปากไม่ได้พูดอะไร เพียงแค่ล้วงกล่องผ้าทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้าขนาดเล็กออกมาจากในแขนเสื้อแล้วส่งให้นาง
กล่องใบนั้นดูเหมือนหลายปีแล้ว สีจึงเก่าไปบ้าง
ฉู่สวินหยางยิ้มตาหยีพลางเขย่ากล่องที่อยู่ในมือ แล้วมองไปทางเขาว่า “อะไรน่ะ?”
เหยียนหลิงจวินไม่ตอบ เพียงแค่อมยิ้มและก้มหน้าลงไปจิบชา
ฉู่สวินหยางไม่อยากดูเขาอุบเรื่องไว้ไม่ยอมบอก จึงเปิดกล่องออกดู ข้างในมีปิ่นหยกประดับผมคู่หนึ่งที่ใช้ผ้าสีแดงห่อไว้ ชิ้นหนึ่งเล็กชิ้นหนึ่งใหญ่
เนื้อหยกอุ่นชื้น แต่สีกลับไม่ได้บริสุทธิ์มากนัก เป็นหยกสีเลือดล้ำค่า
หยกชิ้นใหญ่นั้นแกะสลักเป็นดอกตูมที่บานได้ครึ่งหนึ่ง ฉู่สวินหยางมองไปแวบแรก นึกว่าเป็นดอกอวี้หลาน แต่พอมองดูดีๆ ถึงได้รู้ว่าเป็นดอกโม่ลี่ฮวา
ปิ่นปักผมตั้งแต่ส่วนหัวยันส่วนท้ายมีสีแดงเลือดนกปนสีมรกตที่งดงามโปร่งใสแลดูน่าประหลาดใจยิ่ง กลีบดอกไม้มีสีสันปะปนกันมากมาย ส่วนเกสรดอกไม้สีแดงก็เกาะกันเป็นกลุ่มก้อนงดงามเกินจะบรรยาย
ฝีมือแกะสลักปิ่นปักผมอันนี้แลดูเรียบง่าย แต่หากดูอย่างละเอียดจะพบว่าก้านของดอกมะลิผลุบๆ โผล่ๆ ออกมาเล็กน้อย ดูด้วยตาเปล่าไม่อาจแยกแยะได้อย่างชัดเจนว่าสลักเป็นรูปอะไรกันแน่ ฉู่สวินหยางจึงยากที่จะยืนยันได้จริงๆ
ปิ่นชิ้นเล็กน่าจะมีลวดลายการสลักหยกธรรมชาติเหมือนกันกับหยกชิ้นใหญ่ แต่ฝีมือแกะสลักปิ่นหยกชิ้นเล็กนั้นเรียบง่ายกว่ามาก เป็นดอกไม้ตูมที่ยังไม่ผลิบาน แต่เหมือนกับหยกชิ้นใหญ่ที่ก้านดอกไม้นูนเว้าไม่เสมอกันดูแล้วช่างลึกลับซับซ้อนยิ่งนัก
ปิ่นหยกสีแดงสองชิ้นนี้ทำออกมาได้ยอดเยี่ยมยากจะประเมินค่า การแกะสลักดูธรรมดาทั่วไปแต่ความจริงฝีมือช่างแกะสลักโดดเด่นไม่ซ้ำใคร อย่างน้อยที่สุดเท่าที่ฉู่สวินหยางรู้จักช่างฝีมือภายในกรมวังแผนกแกะสลักเครื่องประดับก็ไม่อาจแกะสลักได้ประณีตละเอียดอ่อนได้เช่นนี้
ฉู่สวินหยางยื่นมือไปสัมผัสหยกชิ้นนั้น แล้วเอ่ยด้วยสีหน้างุนงงว่า “ไม่มีอะไรเสียหน่อย แล้วมอบของชิ้นนี้ให้ข้าทำไม?”
ฉู่สวินหยางจริงจัง แต่เหยียนหลิงจวินยื่นให้นาง นางก็แน่ใจว่าอีกฝ่ายจะมอบของชิ้นนี้ให้นาง
เหยียนหลิงจวินกลั้นไม่อยู่จึงหัวเราะออกมา เขาไม่ได้ตอบแต่กลับย้อนถามนางว่า “ชอบหรือไม่?”
“อื้ม!” ฉู่สวินหยางพยักหน้า นิ้วมือสัมผัสปิ่นปักผมชิ้นนั้นหลายครั้งไม่ยอมปล่อยมือ
“งั้นเจ้าก็เก็บไว้เถอะ!” เหยียนหลิงจวินตอบพลางจิบชาอีกครั้ง แล้วทันใดนั้นก็เปลี่ยนไปพูดเรื่องอื่น “วันเกิดของเจ้าคือวันที่สิบสองเดือนมีนาคม พิธีปักปิ่น[1] จะจัดขึ้นในวันนั้นหรือจะเลื่อนไปจัดให้ตรงกับเทศกาลซ่างซื่อ[2] หรือ?”
วันที่สิบสองเดือนมีนาคมเมื่อสิบห้าปีก่อนนั้นเป็นวันที่กองทัพใหญ่ของซีเยว่บุกโจมตีเมืองสวินหยาง และพิชิตธงของแคว้นสุดท้ายอย่างราชสำนักต้าหรงได้อย่างราบคาบ ดังนั้นวันเกิดของฉู่สวินหยางใครๆ ก็ต่างรับรู้และไม่ได้เป็นความลับอะไร
เพียงแต่ตอนนี้สำหรับฉู่สวินหยางแล้ววันนี้กลับไม่ใช่วันที่ทำให้คนอื่นมีความสุขขนาดนั้น
ฉู่สวินหยางสายตาเปล่งประกายวูบหนึ่งแล้วมืดสลัวลงไปในพริบตา ตอนที่เงยหน้าขึ้นมาก็กลับมายิ้มเหมือนตอนแรกพลางพูด “วันที่สิบสองวันนั้นในวังมีงานเลี้ยงเฉลิมฉลอง ไม่ต้องจัดในวันนั้นแล้ว ข้าไปปรึกษาหารือกับท่านพ่อแล้วว่าจะจัดพิธีพร้อมกับน้องอีกสี่คนในวันที่สามเดือนมีนาคม จะได้ไม่ต้องเสียเวลาซ้ำยังไม่ต้องยุ่งยากวุ่นวาย!”
ขณะที่นางพูดก็ยังหยอกล้อพลางจับจ้องปิ่นปักผมที่อยู่ในมือของนาง “ทำไม? นี่เจ้าให้ข้าใช้ในพิธีปักปิ่นเหรอ?”
“จะว่าเช่นนี้ก็ได้” เหยียนหลิงจวินยิ้มแล้วสะบัดชายเสื้อคลุมลงจากเตียงแล้วเดินอ้อมไปนั่งข้างหลังนาง
ปกติฉู่สวินหยางไม่ชอบเครื่องประดับกระจุกกระจิก เครื่องประดับผมที่นางมีอยู่ส่วนมากเป็นหยกและเงิน ปิ่นหยกคู่นี้จึงถือว่าถูกใจนางจริงๆ
เหยียนหลิงจวินนั่งอยู่ข้างหลังเขาจัดแต่งเส้นผมที่ชี้ฟูออกมาของนาง มุมปากยิ้มแฝงความอบอุ่น แล้วหยิบปิ่นหยกอันที่ค่อนข้างเล็กออกมาจากในกล่องและหาที่ปักปิ่นนั้นให้นาง
———————————————————
[1] พิธีปักปิ่น เป็นพิธีที่เด็กสาวที่มีอายุ 15 ปี ซึ่งถือเป็นวัยที่สามารถออกเรือนมีครอบครัวได้แล้วจะต้องผ่านพิธีบรรลุนิติภาวะ โดยทำการรวบผมมัดเป็นมวยไว้กลางศีรษะ ผู้ใหญ่จะเชิญแขกผู้หญิงมาช่วยปักปิ่นปักผมให้กับเด็กสาว แสดงถึงว่าเด็กสาวคนนั้นเติบโตเป็นผู้ใหญ่พร้อมที่จะออกเรือนแล้ว
[2] เทศกาลซ่างซื่อ ตรงกับวันขึ้น 3 ค่ำตามปฏิทินจันทรคติของจีน ปัจจุบันมักเรียกว่า หนีว์เอ๋อเจี๋ย เล่ากันว่า วันนี้เป็นวันประสูติของหวางตี้ ซึ่งเป็นบรรพบุรุษของชนชาติจีน สมัยโบราณผู้คนจะใช้ต้นกล้วยไม้ต้มน้ำ เพราะนอกจากส่งกลิ่นหอมแล้ว ยังเชื่อว่า น้ำต้นกล้วยไม้สามารถขจัดสิ่งอัปมงคลได้ ต่อมากลายเป็นเทศกาลเฉพาะสำหรับหญิงสาว โดยเฉพาะเป็นเทศกาลแสดงถึงการโตเป็นสาวของเด็กหญิงชาวฮั่น สาวๆ จะอาบน้ำกล้วยไม้ แต่งชุดสวยงาม ร้องรำทำเพลงริมแม่น้ำ เที่ยวชมวิวฤดูใบไม้ผลิและขออธิษฐานให้มีความสุขตลอดชีวิต