สวินหยาง ยอดหญิงไร้พ่าย ภาค 2 - ตอนที่ 26.3
สวินหยาง ยอดหญิงไร้พ่าย ภาค 2 – บทที่ 26.3 เจ้าทำข้าเสียนิสัยหมดแล้ว! (3)
บทที่ 26 เจ้าทำข้าเสียนิสัยหมดแล้ว! (3)
โดย
Ink Stone_Romance
ในขณะเดียวกันนั้นเอง ฉู่สวินหยางก็ปลีกตัวออกไปตั้งนานแล้ว โดยใช้ข้ออ้างว่าไปดูของกำนัลที่ได้มากับฉู่เยว่หนิง
กล่องจำนวนหลายใบถูกวางเอาไว้อยู่ในมุมหนึ่งของสวน หรูโม่กำลังนับจำนวนอยู่
ฉู่สวินหยางเปิดดูกล่องที่วางอยู่ด้านบนดู แสงอาทิตย์ส่องสะท้อนกับเพชรนิลจินดาในหีบกล่องพวกนั้น ทำให้นางมองแล้วรู้สึกแยงตา
“เมื่อไม่กี่วันก่อนฮ่องเต้เพิ่งส่งของกำนัลมาให้ไม่ใช่เหรอเจ้าคะ? ทำไมถึงส่งมาอีกแล้วล่ะ?” ฉู่เยว่หนิงหยิบกำไลหยกออกมา ยกขึ้นส่องดูกับแสงอาทิตย์
“ใครจะไปรู้เล่า เขาให้มาก็รับไว้เถอะ” ฉู่สวินหยางยิ้ม “อย่างไรแล้วการแต่งงานของน้องสี่ก็ใกล้เข้ามาเต็มที ถือซะว่าเป็นของกำนัลแต่งงานของน้องแล้วกัน”
ฉู่เยว่หนิงหน้าแดงระเรื่อ พูดอย่างเขินอายว่า “พี่สามแกล้งข้าอีกแล้วนะเจ้าคะ!”
ฉู่สวินหยางยิ้มตาหยีพูดแกล้งเธอ แต่ในใจนางรู้ดีอยู่แล้ว…
เหยียนหลิงจวินรู้ข่าวการเคลื่อนไหวล่าสุดของซูอี้ทั้งหมด หากอยู่ในสถานการณ์ปกติ ที่จริงรายงานการต่อสู้คราวนี้มันต้องส่งมาถึงตั้งแต่สองวันก่อนแล้ว แต่ระหว่างทางฉู่ฉีเฟิงเข้าไปขัดขวางการส่งข่าวเข้า เพื่อที่จะได้ให้ข่าวรายงานครั้งนี้มันส่งมาถึงฮ่องเต้วันนี้พอดีเป็นอย่างแน่นอน
หรือพูดง่ายๆ ก็คือ…เขาสร้างสถานการณ์ให้มันส่งถึงวันนี้นั่นเอง
เมื่อสิบห้าปีที่แล้ว ฉู่อี้อันตั้งใจวางแผนให้พวกนางสองคนเกิดวันที่เป็นมงคล ทำให้ฮ่องเต้ประทับใจชื่นมื่นเป็นอย่างมาก สิบห้าปีให้หลัง พี่ชายของนางยังใช้วิธีเดิม ช่วยเปิดทางให้นางเดินหน้าต่อไปได้อย่างราบรื่น
ภายในราชวงศ์ซีเยว่นั้น นางไม่ได้ถือว่าเป็นท่านหญิงที่สูงส่งที่สุด แต่นางเป็นคนที่พิเศษต่างจากคนอื่นมากที่สุดในสายตาฮ่องเต้
สำหรับฮ่องเต้แล้ว พวกชื่อเสียงยศถาบรรดาศักดิ์พวกนั้นมันไม่มีค่าอะไรเลย สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับเขาก็คือปากท้องชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนต่างหาก
และด้วยความบังเอิญที่เกิดขึ้นหลายต่อหลายครั้ง พูดได้เลยว่าตอนนี้นางเป็นคนที่ฮ่องเต้ให้ความสนใจมากเลยทีเดียวเชียว
แต่เป็นแบบนี้ก็ดี ยิ่งนางได้รับเกียรติจากฮ่องเต้มากเท่าไร มันก็ยิ่งเป็นเรื่องดีสำหรับพ่อและพี่ชายของนาง
ทั้งสองคนส่งเสียงพูดคุยกันอยู่ท้ายเรือนสักพัก แต่ละคนก็แยกย้ายออกไป ตอนนั้นฮูหยินรองกับฉู่เยว่ซินเองก็เดินเข้ามาในสวนจากทางเข้าด้านข้างพอดี
พวกนางมองหีบกล่องกองพะเนินตรงนั้น ฮูหยินรองอิจฉาจนดวงตาแดงก่ำ พูดขึ้นด้วยโมโหว่า “ก็แค่บังเอิญเท่านั้นแหละ นำโชคอะไรกัน? หึ!”
“ท่านแม่เจ้าคะ!” ฉู่เยว่ซินขมวดคิ้ว หันมองรอบด้านแล้วพูดว่า “วันนี้มีแขกมาที่จวนเราเยอะ เดี๋ยวคนอื่นมาได้ยินเข้าเอานะเจ้าคะ!”
“แม่ก็แค่ร้องขอความเป็นธรรมให้ลูกอยู่นี่อย่างไรเล่า” ฮูหยินรองหน้าเปลี่ยนสีในทันที จากนั้นปรายตามองสภาพอ่อนแอของฉู่เยว่ซิน นางก็ยิ่งโมโหทนไม่ไหวแล้วพูดระบายออกมาอีกว่า “ถ้าเจ้ารู้จักคว้าโอกาสเอาไว้ซะบ้าง แม่เองก็ไม่ต้องพลอยโดนมองข้ามแบบนี้ด้วยหรอก พิธีสาบานตนของเจ้าเมื่อปีที่แล้วก็จัดงานอย่างขอไปที พอมาปีนี้ถึงคราวงานของเจ้าเด็กสองคนนั่นกลับจัดงานซะใหญ่โตหรูหรา งานแต่งงานของเจ้า ท่านพ่อของเจ้าเองก็ยังเอาแต่ยื้อไม่กล้าพูดถึง หากเจ้ามีความสามารถสักครึ่งหนึ่งของสวินหยาง ท่านพ่อของเจ้าเองก็คงโอ๋เจ้าอย่างดีแล้วเหมือนกัน ไม่ต้องถึงมือข้ามาจัดการดูแล เป็นห่วงสายตาคนอื่นที่มองมาแบบนี้หรอก”
ฮูหยินรองปลดปล่อยความแค้นที่อดกลั้นมานานออกมาจนหมด นางไม่สามารถไปบ่นระบายอารมณ์กับฉู่อี้อันได้ เลยมาระบายอารมณ์คับแค้นใจทั้งหมดใส่กับฉู่เยว่ซิน
ฉู่เยว่ซินนั่งรับฟังหน้านิ่งเฉย แต่ในมือแอบกำผ้าเช็ดหน้าเอาไว้แน่น
เรื่องงานแต่งงานของนางนั้น เดิมทีฉู่อี้อันวางแผนจะจัดงานแต่งงานขึ้นตั้งแต่เมื่อปีที่แล้วแล้ว แต่เพราะเกิดเรื่องนางสนมที่ฮูหยินรองกับฉู่เยว่เหยาเป็นคนก่อขึ้น ทำให้เขาโมโหเป็นอย่างมาก เลยพักเรื่องแต่งงานเอาไว้ก่อนชั่วคราว จากนั้นฮูหยินรองก็ถูกคุมขัง แล้วถูกปล่อยตัวตอนหลังปีใหม่ นางเองก็ไปถูกชะตาเข้ากับบุตรชายคนโตของรองเสนาบดีกรมคลังแห่งสกุลข่งเข้า นางเลยเอาเรื่องนี้ไปบอกฉู่อี้อัน แต่ฉู่อี้อันกลับไม่เห็นด้วยกับการแต่งงานครั้งนี้ เขาเลยไม่ได้ตอบรับคำขอของนาง
แล้วนี่เห็นวันแต่งงานของฉู่เยว่หนิงเองก็ถูกกำหนดฤกษ์ไว้แล้ว ฮูหยินรองย่อมใจร้อนเป็นธรรมดา ทำให้ความแค้นที่มีอยู่ในใจมีมากขึ้นกว่าเดิม แล้วยิ่งตอนนี้ฮ่องเต้แสดงออกอย่างชัดเจนว่าเอ็นดูฉู่สวินหยางกับฉู่เยว่หนิงแบบนั้น มันก็ยิ่งทำให้นางรู้สึกโกรธแค้นมากขึ้นไปอีกเท่าตัว
หากเป็นเมื่อก่อนฉู่เยว่ซินคงไม่พูดถึงไม่สนใจ ความรู้สึกเจ็บปวดที่ท่านพ่อของตนนั้นลำเอียง แต่ตอนนี้…
ความคิดของนางเปลี่ยนไปแล้ว
นางคิดอยู่แล้วว่าฉู่อี้อันไม่มีทางเห็นด้วยกับการแต่งงานของนางและสกุลข่งเป็นแน่
หลังจากที่นางได้เจอกับซูอี้เมื่อตอนเทศกาลโคมไฟวันนั้น นางก็ไม่คิดสนใจเรื่องอื่นเรื่องใดอีก เพียงแค่…
เมื่อกี้ตอนที่พวกนางออกไปรับพระราชโองการตอนนั้น นางตั้งใจมองหาสาดส่องไปสายตาไปในกลุ่มฝูงชน แต่กลับไม่เห็นซูอี้อยู่ตรงนั้น
เมื่อคิดแบบนั้นแล้วก็รู้สึกแย่ขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้
ฮูหยินรองได้ยินนางถอนหายใจเข้า ก็ยิ่งหงุดหงิดมากขึ้นไปอีก นางสะบัดผ้าเช็ดหน้าแล้วพูดเสียงดังว่า “ข้าบอกว่าเจ้าไม่กระตือรือร้นเลย เจ้าก็ไม่กระตือรือร้นตามเนี่ยนะ วันๆ เอาแต่ร้องไห้ฟูมฟาย มันจะไปทำอะไรได้เล่า?”
ฉู่เยว่ซินเม้มปากแน่นไม่เล็ดลอดเสียงใดออกมา
ฮูหยินรองพูดด่าไม่หยุดนานสองนาน แต่ก็เหมือนทุบกำปั้นลงไปบนปุยนุ่น เมื่อนางรู้ว่าทำไปก็ไร้ประโยชน์ ก็รีบก้าวเท้าเดินออกไปอย่างโมโห
ฉู่เยว่ซินยืนอยู่ในตรอกเล็กๆ ตรงนั้นอย่างโดดเดี่ยว คำพูดของฮูหยินรองพวกนั้นนางฟังจนเบื่อ จนไม่สนใจอะไรพวกนั้นแล้ว ก็เพราะท่านพ่อลำเอียง นางจะไปทำอะไรได้เล่า?
แต่แค่ว่า…
ทำไมวันนี้ซูอี้ถึงไม่ได้มากันนะ?
ปกติแล้วเขาต้องตัวติดกับเหยียนหลิงจวินตลอดเวลานี่? นางมองเห็นเหยียนหลิงจวินในกลุ่มฝูงชน แต่กลับมองไม่เห็นแม้แต่เงาของคนคนนั้นเลย
ฉู่เยว่ซินเดินไปคิดไปอย่างใจลอย ด้วยความที่นางก้มศีรษะอยู่ เลยชนเข้ากับหน้าอกของคนตรงข้ามเข้าอย่างจังพอดี
“ท่านหญิงรอง!” เจิ้งเยียนยิ้มขึ้นเล็กน้อย สีหน้านั้นไม่เป็นธรรมชาติอย่างชัดเจน
เดิมทีนางอยากรอให้ฉู่เยว่ซินออกไปก่อน แต่นางคิดไม่ถึงว่าอีกฝ่ายจะเดินเข้ามาทางนี้ ส่วนที่ที่นางยืนอยู่เมื่อครู่ก็ไม่มีที่ให้หลบเลยแม้แต่น้อย เลยต้องจำใจเดินออกไป
เมื่อฉู่เยว่ซินมองปราดเดียว นางก็สัมผัสได้ถึงความผิดปกติขึ้นทันที แววตามืดมนลงเล็กน้อย แต่ยังไม่เผยสีหน้าใดออกมา นางพูดขึ้นเพียงแค่ว่า “เจ้าออกมาเดินเล่นหรือ?”
“ข้า…” เจิ้งเยียนหยักหน้า ด้วยความที่นางได้ยินเข้ากับบทสนทนาของสองแม่ลูกนั้น เลยแสดงท่าทางออกมาได้อย่างไม่เป็นธรรมชาติสักเท่าไร “ข้าแค่มาเดินเล่นน่ะเจ้าค่ะ เดี๋ยวก็จะกลับไปที่ห้องโถงแล้ว”
พูดพลางก็เดินผ่านฉู่เยว่ซินจากออกไป
ฉู่เยว่ซินเป็นคนมองสีหน้าคนเก่งมาตั้งนานแล้ว แค่กวาดตามองทีเดียว นางก็รู้แล้วว่ามีอะไรไม่ชอบมาพากล…
ดูท่าอีกฝ่ายไม่ได้รู้สึกผิดที่แอบฟังพวกนางสองแม่ลูกคุยกัน แต่ในตัวของเจิ้งเยียนมีความหวาดกลัวกังวลสับสนมากยิ่งกว่านั้น
ฉู่เยว่ซินจ้องมองแผ่นหลังของนาง
เจิ้งเยียนเดินก้าวเท้าออกไปอย่างรวดเร็ว ไม่นานนักก็เดินเลี้ยวแล้วหายลับไป
———————————–