สัญญาร้ายของประธานปีศาจ - ตอนที่ 463
ตอนที่ 463 ทุกที่คือบ้านสำหรับหล่อน (ตอนจบ)
เจียงหวั่นหวั่นหยุดชะงักไป รู้สึกราวกับเวลาหยุดเดินไปทันที หล่อนมองไปที่ผู้ชายตรงหน้า สีหน้าแดงฉาดขึ้นทันที
“คุณ…”
“ผมอะไรผม?” กู้หลี่เหลียงยักคิ้วขึ้น ย้อนถามด้วยสีหน้าจริงจัง “ตอนนี้รู้แล้วรึยัง?”
เจียงหวั่นหวั่นชะงักไปครู่หนึ่ง ไม่รู้ว่าควรจะส่ายหน้าหรือพยักหน้าดี
เมื่อกู้หลี่เหลียงเห็นว่าหล่อนไม่ยอมพูดอะไร จึงรีบเข้าไปใกล้หล่อนมากขึ้น วินาทีนั้นสายตาของทั้งสองเผชิญสบตาเข้าหากัน ลมหายใจแทบจะเป็นของกันและกัน บรรยากาศยิ่งคลุมเครือขึ้นเรื่อยๆ “ผมถามคุณอยู่ เจียงหวั่นหวั่น ตอนนี้รู้แล้วรึยัง?”
เจียงหวั่นหวั่นสับสน จนแทบจะหายใจไม่ออก หล่อยลังเลอยู่สักพัก สุดท้ายจึงยอมพยักหน้าลงอย่างช้าๆ
กู้หลี่เหลียงยิ้มขึ้น น้ำเสียงภาคภูมิใจ “โอเค งั้นจากนี้ต่อไป คุณก็เป็นแฟนผมแล้วนะ”
เจียหวั่นหวั่นตะลึงไปครู่หนึ่ง ทันใดนั้นก็ยื่นมือจะผลักเขาออก “เอาอะไรมาพูดแบบนี้….?”
“ก็ผมเคยจูบคุณไง” กู้หลี่เหลียงยืนอยู่ที่เดิม ไม่ขยับ พูดพลาง ยิ้มมุมปาก เชิดคางขึ้น จากนั้นจูบไปที่ปากของหล่อน
“คุณ….คุณทำแบบนี้ได้ยังไง?” เจ๋อน้อยอยู่ตรงนี้นะ
เจียงหวั่นหวั่นกระวนกระวาย หันไปมองเจ๋อน้อยด้านข้าง แต่กลับพบว่าเจ๋อน้อยที่อยู่ตรงนั้นกลับหายไปแล้ว
หล่อนตกใจ “เจ๋อน้อยล่ะ!”
กู้หลี่เหลียงกวาดสายตามองตามหล่อนไป เห็นเพียงแค่ของเล่นกองอยู่ แต่เจ๋อน้อยกลับหายไป เขาร้อนใจขึ้นมาทันที
“ต้องโทษคุณ!” เจียงหวั่นหวั่นหน้าแดง ยกมือผลักกู้หลี่เหลียงออก “ยังไม่รีบไปหาอีก!”
ทั้งสองต่างพากันกระวนกระวาย รีบตามหาเจ๋อน้อยทั่วบริเวณนั้น
ในขณะที่อีกด้านหนึ่ง เด็กน้อยแสนซนกำลังขึ้นลิฟต์ไป “ติ๊ง” เสียงดังขึ้น ประตูลิฟต์ถูกเปิดออก เขารีบวิ่งตรงไปที่ห้องคนไข้
เขาวิ่งหาห้อง ตามความจำของเขา จากนั้นเขารีบผลักเปิดประตูเข้าไป ตะโกนเสียงดัง “คุณแม่!”
ไป๋เสว่เอ๋อร์กับเผยลี่เชินตกตะลึง หันไปมองพร้อมกัน เมื่อเห็นห้าวเจ๋อน้อยวิ่งเข้ามา ทั้งสองตกตะลึงทันที
ไป๋เสว่เอ๋อร์รีบถามขึ้น “เจ๋อน้อย ทำไมหนูถึงกลับมาแล้วล่ะ? ไม่ได้ออกไปแล่นกับคุณน้าเจียงหวั่นหวั่นเหรอ?”
เจ๋อน้อยวิ่งมาที่ข้างเตียง จูงมือไป๋เสว่เอ๋อร์ พูดด้วยสีหน้าจริงจัง “คุณน้าหวั่นหวั่นกับคุณอากู้จุ๊บกัน เดี๋ยวผมเห็นแล้วเป็นตากุ้งยิง ก็เลยรีบวิ่งกลับมาครับ”
ไป๋เสว่เอ๋อร์ได้ยินเช่นนั้น ตกใจขึ้นมาทันที จากนั้นหันไปมองเผยลี่เชินที่นั่งอยู่ด้านข้าง ทั้งสองยิ้มให้กันอย่างมีเลศนัย
ห้าวเจ๋อน้อยก้มลงถูหัวของเขากับแขนของไป๋เสว่เอ๋อร์ พูดด้วยความออดอ้อนน้อยใจ “แม่ครับ ผมคิดถึงแม่ เมื่อไหร่แม่จะออกมาเล่นกับผมได้”
ไป๋เสว่เอ๋อร์รู้สึกเอ็นดู ค่อยๆใช้มือลูบไปที่หัวของเด็กน้อย พูดขึ้น “เดี๋ยวแม่หายดีแล้ว จะพาลูกออกไปเล่นนะ”
เผยลี่เชินที่นั่งอยู่ด้านข้างพูดเสริม “ถึงตอนนั้นหนูอยากไปไหน พวกเราทั้งสองก็จะพาหนูไปนะ”
ห้าวเจ๋อน้อยหันหน้าไปหาไป๋เสว่เอ๋อร์ด้วยสีหน้าประหลาดใจ “คุณอาข้าวโอ๊ตก็จะไปด้วยหรอครับ? แม่โอเคหรอครับ?”
เมื่อเผยลี่เชินได้ยินเจ๋อน้อยเรียกเช่นนั้น เขาไม่พอใจจนขมวดคิ้วขึ้น แสร้งทำเป็นเคร่งขรึม “เจ๋อน้อย ตั้งแต่นี้เป็นต้นไป หนูห้ามเรียกอาว่าคุณอาข้าวโอ๊ตอีกต่อไป”
เจ๋อน้อยกะพริบตาปริบๆ “งั้นให้ผมเรียกว่าอะไรหรอครับ?”
เผยลี่เชินยักคิ้วขึ้น “หนูลืมแล้วหรอ ตอนแรกหนูเคยเรียกว่าอะไร?”
ห้าวเจ๋อน้อยเล่นตัว หัวเราะ “ผมลืมแล้ว”
เผยลี่เชินมองก็รู้ว่าเขาโกหก เขาอุ้มเจ๋อน้อยขึ้นมาทั้งโกรธทั้งขำ พูดขึ้น “ลืมแล้วจริงเหรอ?”
ห้าวเจ๋อน้อยหัวเราะ “ผมลืมแล้ว…”
“งั้นอาจะช่วยหนูทบทวนความจำสักหน่อย”
“ผมลืมแล้วจริงๆ….คุณแม่!”
“……”
ไป๋เสว่เอ๋อร์นั่งอยู่บนเตียง มองดูทั้งสองด้วยความสุขจนยิ้มตาม
ถ้าสามารถหยุดเวลาตอนนี้ไว้ได้ คงจะดีไม่น้อย หล่อนมองดูเผยลี่เชินเล่นกับห้าวเจ๋อน้อย จนไม่ได้สังเกตเห็นคนที่ยืนอยู่ตรงหน้าประตู
ลู่เหยายืนอยู่ตรงหน้าประตู มองผ่านเข้ามาผ่านกระจก เห็นพวกเขาทั้งสามกำลังมีความสุข
หลังจากนั้นสักพัก เขายิ้มขึ้น และเดินกลับออกไป
ช่วงเวลาที่ผ่านมา เขาไปทำงานต่างประเทศโดยตลอด เมื่อกลับถึงเมืองไห่เฉิง ก็ได้ยินข่าวใหญ่ที่เกิดขึ้นมากมาย รวมถึงเรื่องที่ไป๋เสว่เอ๋อร์ได้รับบาดเจ็บ
เขาครุ่นคิดไปมาถึงความรู้สึกตัวเองที่วางใจไม่ได้สักที เขาจึงตัดสินใจมาหาหล่อน แต่คิดไม่ถึงเลยว่าเมื่อมาถึงจะเห็นภาพเหตุการณ์เช่นนี้
ในที่สุด พวกเขาทั้งสามก็ได้อยู่พร้อมหน้ากันเป็นครอบครัวเช่นนี้
ก่อนหน้านี้ที่อยู่เมืองเซียงหนาน เขามักจะไปเยี่ยมเสว่เอ๋อกับเจ๋อน้อยอยู่บ่อยๆ แต่กลับรู้สึกว่ามีความรู้สึกบางอย่างกั้นอยู่ระหว่างเขากับไป๋เสว่เอ๋อร์ ตอนนี้เมื่อเห็นเผยลี่เชินอยู่กับพวกเขาอย่างเป็นธรรมชาติขนาดนั้น เขาจึงเข้าใจขึ้นมาทันที เรื่องบางเรื่องเราไม่สามารถฝืนความรู้สึกได้
เขายิ้มขึ้น แม้ว่าใจของเขาไม่อยากจากหล่อนไป แต่จำต้องยอมไป เมื่อเห็นไป๋เสว่เอ๋อร์กับเจ๋อน้อยมีความสุข เขาก็ไม่รู้สึกเสียใจอีก
เมื่อเดินไปได้สองก้าว เขาเพิ่งนึกขึ้นมาได้ว่าในมือถือตะกร้าผลไม้มาด้วย เขาหันหลังกลับไป เดินไปที่หน้าประตูอีกครั้ง ยื่นตะกร้าผลไม้ให้ลูกน้องหน้าประตู พูดขึ้น “ฝากไว้ด้วยนพ ผมคงไม่เข้าไปแล้ว”
ลูกน้องรู้สึกประหลาดใจ จึงถามกลับ “คุณชื่ออะไรครับ ผมจะรายงานประธานเผยให้”
ลู่เหยายิ้ม “ไม่เป็นไร ถ้าพวกเขาถาม ก็ตอบว่าเพื่อนเก่า”
เมื่อพูดจบ เขาหันหลังเดินกลับออกไปอย่างรวดเร็ว
ลู่เหยาเดินผ่านโถงทางเดิน ทันใดนั้นรู้สึกว่าความรู้สึกกดดันอึดอัดภายในใจหายไปในพริบตา แต่กับไป๋เสว่เอ๋อร์ คงถึงเวลาที่เขาต้องทำใจยอมรับแล้ว
เมื่อเดินถึงทางเลี้ยว ทันใดนั้นก็มีรถเข็นวิ่งมาชนไปที่ขาของลู่เหยา
เขารู้สึกเจ็บที่เท้าอย่างจังจนขมวดคิ้วขึ้น เมื่อเงยหน้าขึ้นมองเห็นพยาบาลสวมชุดยูนิฟอร์มสีชมพูสีหน้ากระวนกระวายเดินเข้ามา “ขอโทษนะคะ ฉันไม่ได้ตั้งใจจริงๆ คุณเจ็บตรงไหนรึเปล่า?”
หล่อนพูดพลาง จับมือของลู่เหยาไว้
ลู่เหยาตกใจตะลึง รีบพูดตอบ “ผมไม่เป็นไรครับ”
เมื่อทั้งสองเงยหน้าขึ้นมา สบตามองกันพอดี ต่างพากันหยุดชะงักไปทันที
พยาบาลสาวน้อยที่ดูสดใสร่าเริงส่งยิ้มให้เขา ค่อยๆปล่อยมือออกจากเขาด้วยท่าทีเคอะเขิน “เอ่อ…คือเมื่อครู่ฉันรีบเกินไป ขอโทษจริงๆนะคะ งั้นเดี๋ยวคุณตามฉันไปทำแผลนะคะ ฉันจะได้ดูด้วยว่าแผลคุณมีฟกช้ำหรือมีอาการอื่นอีกรึเปล่า”
ลู่เหยาลังสักพัก ทันใดนั้นก็คล้อยตามตอบไป “โอเคครับ”
“งั้น..คุณตามฉันมานะ”
คุณพยาบาลหันไปเลื่อนรถเข็น ลู่เหยารีบเดินตามไป จู่ๆหัวใจของเขาเต้น “ตึกตักๆ” เร็วขึ้นทันที
ที่แท้ นี่ก็เป็นอาการใจเต้นก็เป็นแบบนี้…..
หลังจากนั้นหนึ่งเดือน บนรถที่มุ่งหน้าตรงไปยังสนามบิน ไป๋เสว่เอ๋อร์กำลังขะมักเขม้นกับการช่วยห้าวเจ๋อน้อยติดกระดุมเสื้อ “ถ้าลูกเตรียมตัวล่วงหน้า ตอนนี้พวกเราก็ถึงสนามบินกันแล้ว ถ้าเช็คอินไม่ทันต้องโทษลูกเลย!”
ห้าวเจ๋อน้อยเบ้ปากด้วยความน้อยใจ “แม่ อย่าโทษผมสิ ก็คุณพ่อชวนให้ผมเล่นเกมอยู่นั่น….”
“คุณพ่อ?” ไป๋เสว่เอ๋อร์ย้อนถามด้วยความประหลาดใจ “นี่ลูกเปลี่ยนเป็นเรียกเขาว่าคุณพ่อตั้งแต่เมื่อไหร่ แม่ยังไม่อนุญาตเลยนะ…..”
เมื่อผู้ชายที่นั่งอยู่ด้านข้างได้ยิน จึงยักคิ้วขึ้นด้วยความภาคภูมิใจ
ครึ่งเดือนที่ผ่านมา เขาพยายามแก้ไขคำที่เจ๋อน้อยเรียกเขา กว่าจะเปลี่ยนได้ช่างไม่ง่ายเลย
ห้าวเจ๋อน้อยหันไปหาเผยลี่เชิน ยิ้มแต่ไม่พูดอะไร
ไป๋เสว่เอ๋อร์ ขมวดคิ้ว ตีเผยลี่เชิน ถามขึ้นด้วยท่าทีจริงจัง “นี่เป็นฝีมือของคุณใช่ไหม?”
เผยลี่เชินยิ้ม กะพริบตาให้ห้าวเจ๋อน้อย “เรื่องจริงนี่ ไม่เรียกวันนี้สักวันก็ต้องเรียก อีกอย่างต่อไปเจ๋อน้อยก็เป็นลูกชายของผมไม่ใช่เหรอ?”
ห้าวเจ๋อน้อยพยักหน้าให้เขา “ใช่ครับ คุณพ่อพูดถูก!”
ไป๋เสว่เอ๋อร์มองดูพ่อลูกสองคน ทั้งขำทั้งโกรธ “คิดไม่ถึงเลยว่าพวกเธอทั้งสองจะรวมหัวเป็นมิตรกันเร็วขนาดนี้ จะมาแกล้งฉันใช่ไหม?”
“จะเป็นอย่างนั้นได้ยังไงล่ะ? ยังไงผมก็ต้องเชื่อฟังคุณคนเดียวสิ”
เผยลี่เชินพูดพลาง โอบไป๋เสว่เอ๋อร์มากอดไว้ในอ้อมอก
ส่วนห้าวเจ๋อน้อยเข้ามาแทรกตรงกลาง พูดตะโกนเสียงดัง “อ๊าก! หัวของผมถูกบีบจนแบนแล้วครับ!”
ทั้งสามหัวเราะเริงร่าจนไปถึงสนามบิน แต่ทว่ายังตกเครื่อง
ไป๋เสว่เอ๋อร์ขมวดคิ้ว “ทำยังไงดีล่ะ? กลับเซียงหนานไม่ทันแล้ว”
เผยลี่เชินกวาดสายตามองดูตารางบิน หันไปเห็นเที่ยวบินอีกสามชั่วโมงข้างหน้า ทันใดนั้นสายตาของเขาเป็นประกายขึ้นมาทันที “งั้นพวกเราไปเกาะบาหลีกันเถอะ”
เขากระซิบข้างหูไป๋เสว่เอ๋อร์ หัวเราะอย่างมีเลศนัย “ถือซะว่าเป็นฮันนีมูนของพวกเรา”
ไป๋เสว่เอ๋อร์ถามขึ้นด้วยความตกใจ “พาเจ๋อน้อยไปด้วย?”
เผยลี่เชินหัวเราะพลางถามกลับ “ทำไมจะไม่ได้ล่ะ?”
เขาพูดพลางจูงเจ๋อน้อยไปที่เคาน์เตอร์ขายตั๋ว ไป๋เสว่เอ๋อร์นั่งมองดูสองคนพ่อลูก จู่ๆก็ยิ้มขึ้นมา
แท้จริงแล้ว เพียงแค่ได้อยู่ด้วยกันกับพวกเขา ไม่ว่าจะไปที่ไหน สำหรับหล่อนแล้ว ทุกที่ก็คือบ้าน