สามีข้าคือขุนนางใหญ่ - บทที่ 31 เคียงหมอน
พอได้ยินว่าเหลือห้องสุดท้ายเพียงห้องเดียว ทั้งสองคนก็นิ่งไป
คนงานมองทั้งสองคนอย่างสงสัย “ท่านทั้งสองลังเลอะไรอยู่หรือ ข้าบอกแล้วอย่างไรเล่า
ช่วงใกล้สิ้นปีแบบนี้ โรงเตี๊ยมที่ไหนก็คึกคักกันทั้งนั้น บวกกับวันนี้จู่ๆ ก็มีหิมะตกหนักอีก พ่อค้าต่างถิ่นต่างหยุดพักที่หมู่บ้านเรา หากท่านทั้งสองมัวตัวแต่ลังเลเช่นนี้คงไม่มีที่นอนแล้วล่ะ!”
ตลอดทางที่พวกเขาถามมา เหตุใดถึงจะไม่รู้ว่ามีแขกที่ต้องการเข้าพักมีมากเพียงใด เพียงแต่…เช่นนี้ดูเหมือนจะไม่เหมาะสมนัก
แววตาของเซียวลิ่วหลังฉายแววกังวลขึ้นมา
ส่วนกู้เจียวนั้น…ไม่กังวลเลยแม้แต่นิด พวกนางเป็นสามีภรรยาที่ถูกต้องตามกฎหมาย จะนอนด้วยกันแล้วจะเป็นอะไรไปเล่า ยิ่งไปกว่านั้นไม่ได้นางวิ่งโร่ไปขอนอนกับเขาเสียหน่อย แต่เพราะไม่มีห้องต่างหาก ใช่ไหมล่ะ
ทว่านางก็ยังเล่นไปตามน้ำกับเขา ปั้นหน้าลังเล ท่าทางดูน่าเอ็นดูยิ่งนัก
ปกติแล้วเซียวลิ่วหลังเป็นคนอ่อนโยนไม่หักหาญน้ำใจใคร ท่าทางของนางยามก้มหน้าราวกับกระต่ายน้อยไร้พิษภัย สุดแสนจะเชื่อง
ในยามนี้หากจะพาร่างผอมบางของนางฝ่าหิมะออกไปเพื่อหาโรงเตี๊ยมอื่นคงไม่ดีนัก
เซียวลิ่วหลังตั้งสติ “เช่นนั้นก็พักที่นี่ก็แล้วกัน”
คนงานเดินนำทั้งสองขึ้นไปบนห้องชั้นสอง
เหตุที่เหลือเป็นห้องสุดท้ายนั้นไม่น่าสงสัยแต่อย่างใด ห้องเล็กยังไม่เท่าไหร่ แต่หนาวเหน็บเหลือเกินเนี่ยสิ แต่ด้วยเหตุที่หิมะตกด้านนอก โรงเตี๊ยมจึงได้ให้เตาผิงกับพวกเขาไว้ใช้โดยไม่คิดเงิน
ค่าห้องราคาสองร้อยอีแปะ
ปกติแล้วราคาหนึ่งร้อยอีแปะ แต่เป็นช่วงปีใหม่จึงขึ้นราคา
คนงานวางเตาลงแล้วจากไป ก่อนไปยังบอกกับพวกเขาว่าไปกินข้าวเย็นที่โถงใหญ่ได้ หรือจะให้คนยกขึ้นมาให้บนห้องก็ได้
โอ้โห มีบริการให้กับแขกที่เข้าพักด้วยหรือนี่ กู้เจียวพอใจไม่น้อย
แต่กู้เจียวไม่ได้กินข้าวที่โรงเตี๊ยม นางเปิดหน้าต่างออก ร่างบางเกาะขอบหน้าต่าง น้ำลายสอเหม่อมองแผงขายขนมดอกกุ้ยฮวาที่ตั้งอยู่ในตรอกฝั่งตรงข้าม
เธอเริ่มรู้สึกว่าตัวตนในชาติก่อนของตัวเองเริ่มเปลี่ยนแปลงไป อย่างเช่นว่า เมื่อชาติก่อนเธอไม่ชอบกินหวานและไม่ชอบกินเผ็ดด้วย แต่พอมาอยู่ที่กลับชอบกินขนมดอกกุ้ยฮวาและผัดเครื่องแกงเหลือเกิน
“อยากกินขนมดอกกุ้ยฮวาหรือ” เซียวลิ่วหลังที่อยู่ข้างกายนาง เห็นท่าทางน้ำลายสอน่าเอ็นดูของนาง
กู้เจียวพนักห้า “อืม”
ความจริงแล้วกู้เจียวไม่ได้หิวขนาดนั้น อย่างน้อยก็ไม่ได้หิวขนาดที่เซียวลิ่วหลังเห็น แต่ช่วงเวลาที่ได้อยู่ร่วมกันมา ทำให้กู้เจียวค้นพบความจริงอย่างหนึ่งว่า เขาไม่สามารถปฏิเสธท่าทางออดอ้อนของตัวเองได้เลย
เซียวลิ่วหลังพากู้เจียวออกไปจากโรงเตี๊ยม
หิมะด้านนอกตกหนักขึ้นเรื่อยๆ แต่พายุได้หยุดลงแล้ว ละอองหิมะโปรยปรายลงมา บรรยากาศงดงามแสนสงบ
เซียวลิ่วหลังที่อยู่ท่ามกลางหิมะนั้นก็ยิ่งหล่อเหลาขึ้นกว่าเคย จนผู้คนที่สัญจรไปมาบนถนนไม่อาจละสายตาจากเขาได้
ตอนเช้ากู้เจียวกำชับให้เซียวลิ่วหลังใส่เสื้อนอกเพิ่มอีกชั้น แต่ยามตนเองออกบ้านกลับลืมเสียได้ บวกกับร่างบางนี้ทำให้นางทนทานต่อความหนาวได้น้อยกว่าร่างกายเมื่อชาติก่อนนัก ด้วยเหตุนี้ร่างทั้งร่างถึงได้สั่นสะท้าน ไม่ได้มาจากการเสแสร้งแต่อย่างใด
เซียวลิ่วหลังเดินนำอยู่ข้างหน้า หันหลังกลับมามองนางก่อนจะชะงักไป แล้วถอดเสื้อตัวนอกยื่นให้นาง
นางตาเบิกโพลง มองเขาอย่างสงสัย ราวกับไม่เข้าใจความหมายของเขา “หือ”
เซียวลิ่วหลังขยับปาก คิ้วขมวดเล็กน้อย แต่ก็คลุมเสื้อบนร่างให้แก่นางอย่างจนใจ
อุณหภูมิร่างกายและกลิ่นหอมอ่อนๆ จากร่างกายเขายังคงหลงเหลืออยู่บนเสื้อคลุม ทั้งอบอุ่นทั้งหอมหวล
กู้เจียวน้ำตาคลอเบ้า “ขอบใจนัก”
น้ำเสียงนั้นช่างอ่อนหวาน
แม้แต่ตัวเองยังตกใจ
เซียวลิ่วหลังไม่พูดอะไรต่อ แต่กู้เจียวสังเกตเห็นว่าฝีเท้าของเขาช้าลง
แหม รู้จักรอนางด้วยเหรอ
ทั้งสองเดินลัดเลาะไปตามตรอกซอกซอยมาถึงหน้าแผงขายของ ก่อนจะพบว่าที่นี่ไม่ได้ขายเพียงแต่ขนมดอกกุ้ยฮวา แต่ยังขายบัวลอยร้อนกรุ่นอีกต่างหาก
สายตาของกู้เจียวไม่อาจโกหกใครได้ ราวกับจะแปล่งแสงออกมาอย่างไรอย่างนั้น
เซียวลิ่วหลังสั่งบัวลอยสองถ้วยแล้วนั่งลงพร้อมกับกู้เจียว
กู้เจียวให้เถ้าแก่ตอกไข่ลวกหนึ่งฟอง
เถ้าแก่นึกว่านางจะเป็นคนกิน จึงได้ตอกไข่ลงในถ้วยของนาง แต่พอยกบัวลอยมาให้กู้เจียวกลับใช้ช้อนตักไข่ลวกออกแล้วใส่ลงไปในถ้วยของเซียวลิ่วหลัง
เพราะว่าครอบครัวยากจนข้นแค้น น้อยนักที่พวกเขาจะกินข้าวนอกบ้าน พอเห็นกู้เจียวยกไข่ลวกใบนั้นให้ตนเอง แววตาของเซียวลิ่วหลังก็เริ่มสับสน
“เถ้าแก่ ขอไข่ลวกอีกฟอง”
น้ำเสียงของเขาทุ้มต่ำ ยามได้ยินท่ามกลางลมหนาวเช่นนี้กลับฟังดูเย็นยะเยือกยิ่งกว่าเดิม
เถ้าแก่ซาบซึ้งกับสองสามีภรรยาคู่นี้เหลือเกิน จึงลวกไข่ใบใหญ่อย่างบรรจงสวยงาม
กู้เจียวใช้ช้อนเขี่ยไข่แดงของไข่ลวกไปมา
อะไรกัน นางแค่ไม่ชอบไข่ลวกเท่านั้นเอง…
หลังจากกินบัวลอยและไข่ลวกเสร็จ ทั้งสองก็กลับมายังโรงเตี๊ยม แถมในอ้อมอกของกู้เจียวยังมีขนมดอกกุ้ยฮวาอีกหนึ่งกล่อง
เดิมทีตั้งใจว่าจะไปซื้อขนมดอกกุ้ยฮวา แต่กลายเป็นว่าบัวลอยหนึ่งชามกลับไข่ลวกอีกฟองลงท้องไป ก็อิ่มจนกินไม่ไหว
ภายในห้องมีเตาผิง อากาศจึงไม่ได้หนาวมากนัก กู้เจียวจึงถอดเสื้อตัวนอกออก ก่อนจะเรียกคนงานให้ยกชาขึ้นมาให้เหยือกหนึ่ง
บ่าวถามทั้งสองว่าต้องการน้ำร้อนหรือไม่
กู้เจียวจึงตอบไปว่าขอสักนิด
หลังจากอาบน้ำเสร็จเรียบร้อย ทั้งสองก็เตรียมตัวเข้านอน
ที่นี่มีเตียงเพียงหลังเดียว อากาศหนาวพื้นเย็นเฉียบ จะปูฟูกนอนก็คงไม่ไหว ไม่อย่างนั้นได้หนาวตายแน่ โชคดีที่มีผ้าห่มสองผืน กู้เจียวและเซียวลิ่วหลังจึงห่มคนละผืน
พอห่มผ้ากู้เจียวก็เข้าใจว่าทำไมถึงให้ผ้าห่มมาสองผืน ไม่ใช่เพราะพวกเขามากันสองคน
แต่เพราะห่มผ้าเพียงผืนเดียวก็ยังหนาวอยู่ดี
กู้เจียวหนาวจนนอนไม่หลับ มือเท้าแข็งไปหมด
นางได้ยินเสียงหายใจของเซียวลิ่วหลัง ถึงได้รู้ว่าเขายังไม่นอน
“คือว่า…” กู้เจียวอยากจะเรียกเขา แต่ก็พบว่าจวบจบตอนนี้ตัวเองยังไม่เคยเรียกเขาอย่างจริงจังเสียที และแน่นอนว่าเขาก็ไม่เคยเรียกนางเหมือนกัน ราวกับทั้งสองต่างไม่ชัดเจนว่าระหว่างตนมีความสัมพันธ์เช่นไร
สามีภรรยา รึ ก็ไม่ใช่
เพื่อนรึ ก็ไม่ใช่เหมือนกัน
คู่นอน… ไม่ ไม่ใช่แน่นอน!
สุดท้ายกู้เจียวก็ตัดสินใจอย่างยากลำบากแล้วเรียกเขาว่าสามี
“สามี”
ครั้งแรกที่เรียก ยังไม่คุ้นชินสักเท่าไหร่ น้ำเสียงจึงแผ่วเบาเหลือเกิน
ส่วนเซียวลิ่วหลังกลับไม่ขยับไหวเลยสักนิด คงแข็งทื่อไปทั้งตัวเพราะคำว่าสามีนั้นไปแล้วกระมัง
ผ่านไปครู่ใหญ่เขาถึงเอ่ยถามด้วยเสียงทุ้มต่ำ “มีอะไรหรือ”
“เจ้าหนาวหรือไม่” กู้เจียวถาม
“เจ้าหนาวหรือ” เซียวลิ่วหลังถามกลับ
“อืม” น้ำเสียงของกู้เจียวยามค่ำคืนแผ่วเบา ทั้งยังขึ้นจมูกเล็กน้อยเพราะความหนาว
กู้เจียวถือหลักว่าเจ้าแบ่งให้ข้า ข้าก็จะแบ่งให้เจ้า ดึงผ้าห่มของตัวเองมาห่มร่างของเขา จากนั้นพวกเขาทั้งสองคนก็ใช้ผ้าห่มร่วมกันไปโดยปริยาย
ร่างของชายหนุ่มร้อนผ่าว ราวกับเตาไฟน้อยๆ มิปาน
วินาทีนั้นกู้เจียวรู้สึกอบอุ่นขึ้นมาในทันใด
เซียวลิ่วหลังแข็งทื่อไปทั้งตัว ราวกับกำลังลังเลว่าจะถีบแขกไม่ได้รับเชิญคนนี้ออกไปดีหรือไม่
“สามี ข้าไม่หนาวแล้วล่ะ”
เสียงของหญิงสาวช่างอ่อนโยน แฝงไปด้วยความออดอ้อนและพึงพอใจ
เซียวลิ่วหลัง…ไม่ ไม่กล้าถีบเสียแล้ว