สามีข้าคือขุนนางใหญ่ - บทที่ 40 เรียนเขียนอักษร
ที่เซียวลิ่วหลังเอ่ยเตือนไม่ใช่เพราะพวกเขาสนิทกัน แต่ในเมื่อเขาไม่เชื่อ ก็ช่างหัวเขาปะไร
กู้เจียวเดิมก็สนใจภาพวาดนั้นอยู่หรอก แต่พอได้ยินคำว่าของปลอม ความน่าสนใจของภาพนั้นก็พลันลดลง จากนั้นจึงคืนภาพให้แก่บัณฑิตเสี่ยวฉิน
เขาสังเกตเห็นท่าทีที่ดูเหมือนรังเกียจของนาง จึงรีบอธิบาย “เจ้าอย่าไปฟังเขา! ภาพนี้เป็นของจริงนะ!”
กู้เจียวเอ่ยอย่างแน่วแน่ “ในเมื่อสามีข้าบอกว่ามันเป็นของปลอม ก็คงเป็นเช่นนั้น!”
“เจ้า…”
บัณฑิตเสี่ยวฉินรู้สึกโกรธ
หากเป็นเมื่อก่อน เขาคงไม่สนใจเด็กหญิงอัปลักษณ์เช่นนางที่มาขอดูภาพวาดของเขาหรอก แต่วันนี้เขากลับไม่อยากขายขี้หน้าต่อหน้านางเสียงั้น
บัณฑิตเสี่ยวฉินยืดตัวตรงพลางเอ่ย “นี่เป็นภาพวาดของจริง! คนที่ไม่เคยออกไปเจอโลกภายนอกอย่างเจ้าน่ะไม่มีทางเข้าใจหรอก!”
“เจ้าต่างหากที่ไม่เคยออกไปเจอโลกภายนอกน่ะ!” กู้เจียวจะไม่ยอมให้ใครดูถูกสามีของนางแบบนี้!
ครั้งก่อนนั้นเซียวลิ่วหลังแค่ได้ยินมาว่าบัณฑิตเสี่ยวฉินเคยมาหากู้เจียวถึงเรือนเพื่อมาเอาจดหมาย แต่เรื่องที่เกิดขึ้นตอนนี้ก็เป็นที่ประจักษ์แล้วว่ากู้เจียวไม่ได้สนใจบัณฑิตเสี่ยวฉินอีกต่อไป ซ้ำนางยังด่าสวนเขากลับเพื่อปกป้องตนอีกต่างหาก
เซียวลิ่วหลังมองไปทางกู้เจียวอยู่แวบหนึ่ง ก่อนจะเอ่ยเตือนบัณฑิตเสี่ยวฉินด้วยความหวังดี “ข้าว่าเจ้าอย่าเอาภาพนี้ไปปล่อยไก่มอบให้ใครเป็นของขวัญเลย”
เอ่ยจบ เซียวลิ่วหลังก็หันไปตะโกนบอกลุงหลัวเอ้อร์“กลับหมู่บ้านเถิด”
“ได้เลย!” หลัวเอ้อร์ซูไม่ขอยุ่งเกี่ยวกับเรื่องทะเลาะของเด็กน้อย พลางเคลื่อนเกวียนของตนด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม
บัณฑิตเสี่ยวฉินมองดูทั้งคู่กินขนมเปี๊ยะต้นหอมบนเกวียนที่ค่อยๆ เคลื่อนตัวออกไป เขารู้สึกโกรธจนอยากจะด่าพวกเขา!
แต่กระนั้นแล้ว เรื่องที่เกิดขึ้นก็ฝังใจเขาจนได้ หลังจากนั้น เขานำภาพวาดกลับไปยังเรือนตระกูลฉิน บิดาของเขาเอ่ยต้อนรับอย่างไม่ลังเล พลางเอ่ยถาม “เป็นอย่างไรบ้าง หาเจอแล้วใช่ไหม”
“หาเจอแล้วก็จริง…” บัณฑิตเสี่ยวฉินมีท่าทีลังเล
จนบิดาเกิดกังวล “เกิดเรื่องอันใดขึ้นรึ หรือว่าภาพเสียหายแล้ว”
“ไม่เสียหรอก…เอ่อ” สุดท้ายบัณฑิตเสี่ยวฉินก็โพล่งสิ่งที่ลิ่วหลังได้บอกไว้ออกไปให้บิดาได้ฟัง
บิดาของเขาแสดงอาการร้อนรนยิ่งกว่าเขาเองเสียอีก “เจ้าเชื่อคำพูดของคนขาเป๋ด้วยรึ”
“เขาเป็นนักเรียนของสำนักบัณฑิต” ตอนนั้นที่เขาไปหากู้เจียวเพื่อเอาจดหมาย ก็เจอเข้ากับเซียวลิ่วหลังที่สวมชุดเครื่องแบบของสำนักบัณฑิตอยู่พอดี
“แล้วอย่างไรเล่า เป็นนักเรียนของสำนักบัณฑิตแล้วอย่างไรเล่า” บิดาเขาเอ่ยถามอย่างไม่สบอารมณ์
“ก็พวกเขาเรียนเก่งกันมากเลยน่ะสิ” บัณฑิตเสี่ยวฉินเอ่ย
แต่บิดากลับไม่เห็นคล้อยตามเขา “เจ้าเองก็เก่งมากเหมือนกันนี่ ข้าส่งเสียให้เจ้าได้เรียนกับอาจารย์ในเมืองหลวง เจ้าไม่ด้อยกว่าพวกนั้นแน่นอน แถมพวกนั้นน่ะเอาแต่ท่องหนังสือ ได้ออกไปเจอโลกข้างนอกเสียที่ไหนกันล่ะ”
บัณฑิตเสี่ยวฉินนึกในใจ ตอนนั้นเขาก็ยืนยันประโยคนี้ไปแล้วนี่นา!
เขาเป็นคนทะนงตนมากซ้ำไม่ฟังคำติเตียนของผู้อื่น แต่ตอนนั้นคำพูดและท่าทางของเซียวลิ่วหลังกลับทำให้เขารู้สึกถึงความโน้มน้าวและน่าเชื่อถืออย่างบอกไม่ถูก
สุดท้ายบัณฑิตเสี่ยวฉินก็มิอาจพูดให้บิดาของตนเองเชื่อได้ พลางมองบิดาม้วนเก็บภาพและให้คนเอาไปส่งให้ขุนนางในเมืองหลวงตาปริบๆ
…
หิมะตกหนักสามวันติดต่อกัน ถนนในหมู่บ้านถูกปิด รถเกวียนก็วิ่งไม่ได้ พวกชาวบ้านเดิมวางแผนไว้ว่าจะออกไปทำมาหากินตอนก่อนช่วงตรุษจีนเสียหน่อย พอเจอหิมะที่ตกหนักเลยกลายเป็นว่าต้องล้มเลิกไป
ทุกคนได้แต่เฉาอยู่ในบ้าน ไม่มีคนเข้ามาฟังละครของหญิงชราแล้ว หญิงชราเองก็รู้สึกเบื่อหน่ายเลยวานให้กู้เจียวไปตามเซวียหนิงเซียงมาอยู่เป็นเพื่อน
หญิงชราไม่รู้ว่ากู้เจียวและเซวียหนิงเซียงเคยมีเรื่องบาดหมางใจกันมาก่อน นางมาถึงนี่ก็ตอนที่สองคนนั้นคืนดีกันแล้ว อีกทั้งตั้งแต่เซวียหนิงเซียงเจอพวกอันธพาลรุมแต๊ะอั๋ง นางก็มีท่าทีหลบหลีกเพศตรงข้ามมากขึ้น
แทบจะดูไม่ออกเลยว่าเซวียหนิงเซียงนั้นเคยชอบเซียวลิ่วหลังมาก่อน
จะเห็นก็แต่กู้เจียวนี่แหละที่ดูจะตัวติดกันมากขึ้น จนหญิงชราเริ่มอดคิดไม่ได้ว่าหรือแม่นางหม้ายคนนี้คงเกิดถูกใจหลานสะใภ้ของนางเข้าให้แล้ว!
เอาเถอะ เซวียหนิงเซียงเป็นคนเย็บปักถักร้อยเก่ง ผมเผ้าก็เรียบร้อย ถูกใจหญิงชรายิ่งนัก
ช่วงก่อนปีใหม่ ญาติลุงที่อาศัยอยู่ตรงชายแดนได้ส่งจดหมายมาหา
เซวียหนิงเซียงอ่านหนังสือไม่ออก จึงไปขอความช่วยเหลือจากกู้เจียว
เอ่อ…กู้เจียวเองก็เช่นกัน นางอ่านตัวหนังสือไม่ออก ไม่รู้ว่านางนึกยังไงถึงได้คิดว่าตนอ่านหนังสือออก ถึงได้เอาจดหมายมาตั้งใจจะให้ตนอ่านให้ฟัง
กู้เจียวเริ่มทำตัวไม่ถูก!
“ข้า…ข้า…” เซวียหนิงเซียงเห็นว่ากู้เจียวกำลังหน้านิ่วคิ้วขมวด จึงรีบเอ่ยด้วยความตกใจ “เจ้า…เจ้าไม่ได้เป็นบ้าแล้ว ข้านึกว่าเจ้าจะอ่านออกแล้วเสียอีก”
กู้เจียวเมื่อได้ยินดังนั้นก็พลันนึกสงสัยว่า การอ่านหนังสือออกกับการเป็นบ้านี่มันเรื่องเดียวกันหรือยังไง
แต่อย่างไรก็ตาม เซวียหนิงเซียงก็ไม่กล้าไปรบกวนเซียวลิ่วหลัง เป็นเพราะว่าหนึ่ง เรื่องที่เกิดยังคงฝังใจนางอยู่ และสอง นางรู้ดีว่าเมื่อก่อนตัวนางเองเคยทำผิดไว้ นางจึงพยายามไม่เข้าไปใกล้เขา
เซวียหนิงเซียงคอตก ไม่รู้ว่าจะต้องทำอย่างไรดี
กู้เจียวนวดขมับตัวเองพลางใช้ความคิด กู้เจียวเองก็อยากญาติดีกับนาง เพราะหากเซวียหนิงเซียงเกิดต่อต้านขึ้นมา กู้เจียวคงรับมือไม่ไหวแน่
กู้เจียวรู้ดีว่าตนเองไม่ใช่คนใจอ่อนขนาดนั้น แต่เหตุผลหลักคือเซวียหนิงเซียงนั้นคอยช่วยตนแบ่งปันงานปักมากมาย นางเป็นเพื่อนบ้านที่มีประโยชน์มาก
ซึ่งกู้เจียวเองก็ต้องทำตัวเป็นเพื่อนบ้านที่ดีต่อนาง เพื่อแลกกับที่จะให้เซวียหนิงเซียงนั้นมาช่วยตนทำงานเย็บปักถักร้อยที่บ้านในอนาคต
กู้เจียวจึงคว้าจดหมายนั้นมาแล้วเดินเข้าไปในห้องของเซียวลิ่วหลัง ซึ่งตอนนี้ นางไม่ต้องเคาะประตูก่อนแล้ว
ช่วงนี้เซียวลิ่วหลังกำลังอยู่ในช่วงพักฟื้นร่างกาย นางรู้ว่าเขาต้องอ่านหนังสือ นางจึงทำโต๊ะเล็กๆ ที่ตั้งบนเตียงได้เพื่อให้เขาเอาไว้ใช้อ่านหนังสือ ซึ่งตอนนี้เขากำลังเขียนตัวอักษรอยู่ตรงโต๊ะเล็กบนเตียง
เด็กหนุ่มวัยสิบเจ็ด ร่างกายผอมซูบ นัยน์ตาว่างเปล่า ข้อแขนลีบจนติดกระดูก แต่รวมๆ แล้วกลับดูน่าดึงดูดยิ่ง
บนโลกนี้ยังมีคนหน้าตาดีแบบนี้หลงเหลืออยู่ด้วยหรือนี่
กู้เจียวลูบคางตัวเอง
“มีเรื่องอันใดรึ” เซียวลิ่วหลังเห็นว่านางเดินเข้ามาจึงทักถาม
กู้เจียวมักจะชอบชำเลืองมองเขาหลายครั้ง และเขาเองก็รู้ตัวทุกครั้ง แต่กระนั้นแล้ว กู้เจียวกลับไม่รู้สึกเขินอายแต่อย่างใด นางเดินย่างเท้าเดินเข้าไป แล้วหย่อนตัวนั่งลงตรงอีกฝั่งของโต๊ะเล็ก แล้วยื่นจดหมายให้เขา “ข้าอยากให้เจ้าอ่านจดหมายให้ฟังน่ะ”
พูดจบ ตาก็พลันมองไปที่สิ่งของที่อยู่บนโต๊ะของเขา “เอ๋ ของพวกนี้คืออะไรรึ”
“กระดาษแดง เฝิงหลินให้ข้ามาน่ะ” เซียวลิ่วหลังเอ่ย
กู้เจียวไม่สนหรอกว่ากระดาษนี่มาจากไหน จากนั้นเอ่ยถามต่อ “เอาไว้ใช้ทำอะไรรึ”
เซียวลิ่วหลังครุ่นคิดสักพัก จากนั้นเอ่ยตอบ “เอาไว้ตัดเป็นรูปดอกไม้ หรือไม่ก็เอาไว้เขียนชุนเหลียนป้ายปีใหม่น่ะ”
ดวงตาของกู้เจียวเริ่มเป็นประกาย นางไม่เคยตัดกระดาษดอกไม้มาก่อน ซ้ำยังไม่เคยเขียนชุนเหลียนอีกด้วย
ชาติก่อนของกู้เจียว นางไม่เคยได้ทำอะไรแบบนี้เลย มีแต่คนอื่นคอยทำให้ตลอด เพราะนั่นเป็นเรื่องของประเพณีครอบครัว นางไม่มีครอบครัวให้สังสรรค์ และไม่เคยผ่านอะไรแบบนี้มาก่อน
“เจ้าอยากลองเขียนไหม” เซียวลิ่วหลังเอ่ยถาม
“ข้าเขียนไม่เป็นนะ” กู้เจียวก้มหัวพลางมองไปที่นิ้วชี้ของตนเอง
เซียวลิ่วหลังจู่ๆ นึกไปถึงตอนที่กู้เจียวขอให้เขาอ่านคำในใบตำรับยาให้ทีละคำ ทั้งยังนึกถึงภาพตอนที่กู้เจียวคว้าปากกาขึ้นแล้วเซ็นชื่อให้เขา
ที่แท้นางอยากเรียนเขียนตัวอักษรนี่เอง
กู้เจียวคิดในใจ ไม่! ข้าไม่อยาก!
เซียวหลิ่วหลังยกหนังสือที่อยู่บนโต๊ะรวมถึงจดหมายวางลงบนเตียง จากนั้นกางกระดาษสีแดงออก “ข้าจะสอนเจ้าเอง”
กู้เจียว “……”