สามีข้าคือขุนนางใหญ่ - ตอนที่ 878-1 กลับภูมิลำเนาอย่างมีเกียรติ
ตอนที่ 878-1 กลับภูมิลำเนาอย่างมีเกียรติ
สถานที่ที่กลับมาได้คือภูมิลำเนา สถานที่ที่กลับไปไม่ได้คือบ้านเกิด
บ้านเกิดคือหมู่บ้านต้าจิ่งที่อยู่ภูมิลำเนาเก่า
ไกลเกินไป เป็นดินแดนห่างไกลที่ไม่มีโอกาสได้กลับไป
ส่วนเฟิ่งเทียน เป็นจุดเริ่มต้นของซ่งเก้าสกุล เป็นสถานที่ที่ทำให้ซ่งเก้าสกุลได้เริ่มต้นชีวิตใหม่ นี่ก็คือภูมิลำเนา
เดินทางรอนแรม ในที่สุดก็มาถึงแล้ว
จิ่งหมอมอคอยหันไปบอกไท่กงเหรินที่อยู่ในรถม้า
“เหล่าฮูหยิน ฮูหยิน คุณหนู พ่อบ้านจวนเก่าของจวนผู้สำเร็จราชการมาแล้ว กำลังรอน้อมทักทายอยู่ที่หน้าประตูเมืองเจ้าค่ะ”
“เหล่าฮูหยิน ฮูหยิน คุณหนู หมอมอข้างกายสะใภ้ใหญ่จวนซู่อี้ปั๋วกำลังรอน้อมทักทายระหว่างทางที่รถม้าวิ่งผ่านเจ้าค่ะ”
จวนซู่อี้ปั๋วคือใครกัน
อ๋อๆ ใช่ ท่านย่าหม่านึกออกแล้ว บ้านพ่อแม่สามีพี่สาวคนโตของเสี่ยวพั่น
สะใภ้ใหญ่จวนซู่อี้ปั๋ว เช่นนั้นก็ต้องเป็นคนสนิทข้างกายที่พี่สาวคนโตของเสี่ยวพั่นส่งมาสิ
“เหล่าฮูหยิน ฮูหยิน คุณหนู ฮูหยินผู้ว่าฯ หลี่ ผู้ว่าการเขตเฟิ่งเทียนพาคุณหนูสามคนของจวนรวมถึงญาติที่เป็นสตรีมารอต้อนรับอยู่ที่หน้าศาลาสิบลี้เจ้าค่ะ”
ฝูกุ้ยก็เดินเข้ามาบอกหลังจากจิ่งหมอมอ อีกเดี๋ยวให้เตรียมตัวลงรถม้า
อย่าเห็นว่าก่อนหน้านี้มีจวนผู้สำเร็จราชการ มีจวนซู่อี้ปั๋ว ครอบครัวผู้ว่าฯ หลี่จะดูด้อยกว่า
แต่สองจวนก่อนหน้านี้ ต่อให้สถานะจะสูงส่งแค่ไหน คนที่มาก็แค่พ่อบ้านหรือคนดูแล จัดอยู่ในประเภทบ่าวรับใช้
หากบ่าวเหล่านี้ไปหาที่บ้านซ่งเก้าสกุล ก็ต้องเรียกไปคุยต่อหน้า
อาศัยปากของบ่าวรับใช้ถามสารทุกข์สุขดิบและขอบคุณ
แต่ครั้งนี้อยู่ในช่วงเดินทาง ยังไม่ถึงบ้าน ดังนั้นการตอบรับบ่าวที่ถูกส่งมาต้อนรับแบบนี้ก็คือ แค่โผล่หน้าออกไปให้เห็นเล็กน้อยตอนผ่านพร้อมพยักหน้า เพื่อบอกว่าเห็นแล้ว ขอบคุณ
อีกเดี๋ยวบ่าวเหล่านี้ก็จะกลับไปบอกนาย แค่มาให้เห็นหน้าญาติของผู้ว่าฯ ซ่งก็จบแล้ว
แต่พอมาถึงผู้ว่าฯ หลี่ไม่เหมือนกัน ต้องลงจากรถม้า
เพราะทางนั้นไม่ได้ส่งพ่อบ้านหรือบ่าวคนอื่นมา แต่เจ้านายของจวนมารอรับเอง
อีกอย่าง อย่าเห็นว่าเป็นคนในครอบครัวผู้ว่าฯ หลี่ มีสถานะเทียบเท่าผู้ว่าฯ ซ่งกับเฉียนเพ่ยอิง ต่อให้คนที่มาเป็นคนในครอบครัวนายอำเภอที่ตำแหน่งต่ำกว่าผู้ว่าฯ ซ่ง พวกเราก็ต้องลงจากรถม้าเหมือนกัน
เอาเป็นว่าเจ้านายของจวนมาแล้ว ต่อให้ครอบครัวซ่งไม่อยากพบปะเท่าไร แต่ในทางมารยาทก็ต้องลงมาพูดคุยเล็กน้อยถึงค่อยเดินทางต่อ
ตรงศาลาสิบลี้มีลมพัดแรง หิมะกำลังจะตก เริ่มมีหมอกและละอองหิมะปลิวมาติดหน้าแล้ว
สภาพอากาศแบบนี้ให้ลงมาคุยกัน อีกฝ่ายหนาวตัวแข็ง ครอบครัวเราก็ไม่ได้ดีไปกว่ากัน
เล่นเอาซ่งฝูหลิงไม่เป็นอันได้คุยกับคุณหนูสามคนดีๆ มัวแต่พะวงว่าลมพัดแรงจะพัดหมวกบนศีรษะของนางปลิวไป
คุณหนูสามคนของสกุลหลี่ก็แอบเศร้า รู้สึกว่าทำภารกิจผูกมิตรกับคุณหนูซ่งไม่สำเร็จ
ก่อนออกจากจวน แม่กับญาติๆ ตั้งใจกำชับเป็นพิเศษ ผูกมิตรกับบุตรสาวของผู้ว่าฯ ซ่งตอนนี้ยังทัน อย่างไรเสียก็ยังเป็นแค่คุณหนูซ่ง เป็นพระชายาอ๋องเมื่อไรค่อยไปผูกมิตรก็ยากแล้ว
เล่นเอาเฉียนเพ่ยอิงเอาแต่มองต่างหูของหลี่ฮูหยินขณะที่พูดคุยกัน
ต่างหูระย้าบนหูซ้ายของหลี่ฮูหยินถูกลมพัดขึ้นไปเกี่ยวผม ต่างหูขวาก็แกว่งไปมา ระหว่างคุยกันมือที่จับผ้าเช็ดหน้าก็แข็งจนแดงก่ำ
ลำบากพวกหลี่ฮูหยินที่มาเพื่อ ‘ผูกมิตร’ จริงๆ
อย่างไรเสียครอบครัวเราก็เพิ่งลงจากรถม้า ในรถมีหม้ออังมือ
แต่พวกหลี่ฮูหยินกลับยืนรอที่นี่นานแล้ว มีหม้ออังมือ แต่มันก็แทบไม่มีประโยชน์เลยในพื้นที่ตะวันออกเฉียงเหนือ
คิดดูแล้วกัน สภาพอากาศที่อุณหภูมิติดลบสามสิบกว่าองศา ตอนหนาวที่สุดติดลบได้ถึงสี่สิบองศา ถือชามบะหมี่ร้อนๆ คุยได้ประโยคเดียว หันมาดูอีกทีบะหมี่ในชามแข็งโป๊กไปแล้ว ลมพัดมาทีหนาวสุดขั้วหัวใจ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงหม้ออังมือเลย
นี่ก็เป็นสาเหตุที่ว่าทำไมคนทางเหนือถึงชอบใส่เสื้อหนังสัตว์ เพราะมันกันลมได้
อืม และยังมีสาเหตุที่คนทางเหนือชอบตะโกนกระโชกโฮกฮาก
สภาพแวดล้อมแบบไหน ก็มักสร้างคนให้เป็นแบบนั้น สำหรับคนที่นี่ เรื่องไหนตะโกนพูดแล้วจบไว พวกเขาก็จะแหกปากตะโกน ก็มันหนาวนี่
ถ้ากล้าชวนอีกฝ่ายคุยไร้สาระกลางฤดูหนาว กล้าพูดพร่ำเพรื่อ เดี๋ยวได้หนาวตายกันหมด ใครกล้าทำแบบนั้น อีกฝ่ายไม่หัวร้อนได้เหรอ
สรุปว่า กับครอบครัวของผู้ว่าฯ หลี่ พวกเราคุยกันพอเป็นพิธีก็พอแล้ว มารยาทหยุดเพียงเท่านี้ เชื้อเชิญจวนซ่งไปเป็นแขกแล้ว ไว้ค่อยคุยกัน
ท่านย่าหม่ายิ้มพลางโบกมือให้คนในครอบครัวผู้ว่าฯ หลี่ ระหว่างนั้นก็เดินเร็วแบบเห็นได้ชัด กลับขึ้นรถม้าอีกครั้ง
ทางด้านหลี่ฮูหยินก็โล่งอก ขืนยังคุยกันต่อนางได้หนาวตายแน่
จากจุดนี้ทำให้มองออกว่า เมื่อถึงฤดูหนาว บรรดาคนในครอบครัวของขุนนางทางเหนือ ต่อให้ใส่ใจเรื่องมารยาทอยากวางตัวให้ดูสูงส่งขนาดไหน ก็ยังสู้ทางใต้ไม่ได้
สวมเสื้อผ้าหลายชั้น ข้างนอกหนาว คำพูดคำจาไม่มาก ต่อให้ในห้องจะตกแต่งดีขนาดไหนก็ต้องมีเตียงอุ่น ห้องโถงสวยแค่ไหนก็ต้องมีอ่างผิงไฟขนาดใหญ่
ตอนผ่านตัวเมืองเฟิ่งเทียน
หลี่ซิ่วก็ขึ้นรถด้วย ตามกลับหมู่บ้านด้วยกัน
ขบวนรถม้าหายไปครึ่งหนึ่ง คันที่บรรทุกคนไม่หยุด ไม่ได้วางแผนจะพักในเมือง
พอหลี่ซิ่วขึ้นรถม้าก็รีบถามทันที “ทำไมพวกเจ้าเพิ่งมาถึง ช่วงหลายวันนี้ข้ากับพวกต้าหลังเทียวไปเทียวมาที่ประตูเมืองหลายรอบ คิดว่าพวกเจ้าคงใกล้ถึงแล้ว แต่ก็ไม่มี”
เสี่ยวเป่าลูกชายของหลี่ซิ่วขึ้นรถม้าคันลุงซ่ง พอขึ้นไปก็มองหาคน “พวกพี่ๆ ข้าล่ะ พี่ซ่วนเหมียว พี่จินเป่า”
พวกพี่ๆ รับปากเขาแล้วว่า กลับมาบ้านครั้งนี้จะไปที่สำนักศึกษากับเขา ไปวางมาดหน่อย
ยังจะวางมาดอะไรล่ะ เลิกเพ้อเจ้อ ตัวกะเปี๊ยกกันทั้งนั้น
อาจารย์พูดกับซ่งฝูเซิงอย่างอ้อมๆ ว่า ปีหน้าแนะนำให้พวกเด็กๆ ของซ่งเก้าสกุลที่เรียนหนังสือเรียนซ้ำชั้น
ยกหมี่โซ่วขึ้นมาเป็นตัวอย่าง ถึงแม้ผลการเรียนจะกลางๆ ไม่ถึงขั้นต้องซ้ำชั้น แต่เขายังเด็ก จะเลื่อนขึ้นหรือไม่ก็ได้ ปล่อยให้เรียนชั้นเตรียมสอบไปเรื่อยๆ
แต่พวกเด็กที่เหลือเป็นประเภทไม่ตั้งใจเรียน จับฟาดไปหลายสิบทีก็ยังไม่ได้ผล ยิงนก ยิงธนู ขี่ม้า ทำได้ดีกันทั้งนั้น แต่พอนั่งเรียนหนังสือกลับไม่ได้เรื่องสักคน
เอาแค่ก่อนหน้านี้ ซ่งฝูเซิงกลับบ้านบอกว่าต้องเรียนซ้ำชั้น ซ่งฝูสี่ก็โมโหมาก รองเท้าบินใส่จินเป่า จับมาฟาด
จงอวี้นานๆ จะได้กลับบ้านสักครั้ง ตอนแรกก็รักและคิดถึงซ่วนเหมียวจื่อมาก ลูกพ่ออย่างนั้นอย่างนี้ แต่พอรู้เรื่องก็จับไม้กวาดฟาดซ่วนเหมียวจื่อ เพราะซ่วนเหมียวจื่อเถียงว่า ‘แปลงมะเขือจะปลูกออกมาเป็นพริกได้เหรอ ข้าเรียนไม่เก่งก็ได้พ่อนั่นแหละ’
ฝูกุ้ยตะโกนโวยวายทั่วลานบ้าน พวกเด็กไม่เอาไหน ไปเรียนยังทำขายหน้า กลับบ้านมาช่วยทำสวนดีกว่าเช่นนั้น เงินจะได้ไม่เสียเปล่า
ตอนนั้นที่พากันตีเด็กๆ ถ้าไม่มีท่านลุงซ่งที่เป็นที่เคารพรักอยู่คงจบเห่แล้ว คงได้ตีไปอีกหลายวัน คนนั้นตีเสร็จคนนี้เริ่มต่อ เล่นเอาซ่งฝูเซิงมองหมี่โซ่วแล้วก็คันไม้คันมือ อยากตีบ้าง ก็แค่หมี่โซ่วไหวตัวทัน วิ่งหนีไปก่อนแล้ว ช่วงนั้นไม่กล้าเข้าใกล้ท่านลุง
ตอนท่านลุงซ่งเกลี้ยกล่อมได้พูดว่า “อาจารย์สอนไม่ดีเองหรือเปล่า ทำไมเมื่อก่อนก็เห็นพั่งยาสอนน้องๆ ได้ดี แต่ละคนท่องกลอนฉะฉาน แต่พอมาอยู่ที่นี่ยกให้อาจารย์ ดูซิสอนอีท่าไหน ต้องโทษอาจารย์ที่สอนไม่เป็น”
บรรดาพ่อคนทั้งหลายเริ่มหายโมโห เพราะรู้สึกว่ามีเหตุผล
รู้สึกเหมือนถูกสำนักศึกษาหลอกเอาเงินอย่างไรชอบกล
เพราะแบบนี้ ท่านลุงซ่งก็เลยมองเสี่ยวเป่าด้วยความเอ็นดู เดี๋ยวจับเดี๋ยวลูบ ขอปู่ทวดดูหน่อยซิ โตแค่ไหนแล้ว ระหว่างนั้นก็พูดว่า “พวกพี่ๆ ของเจ้ายังไม่หยุดเรียนเลย ปีนี้ไม่ยอมตั้งใจเรียนกัน ตอนนี้เลยออกเดินทางก่อนไม่ได้ อีกไม่กี่วันมาพร้อมอาสามของเจ้า”
เวลานี้ขบวนรถม้าจะออกจากเมืองแล้ว กำลังมุ่งหน้าสู่หมู่บ้านเหรินจยา
พวกชาวบ้านที่อยู่ตรงประตูเมืองพากันซุบซิบ ตระกูลใหญ่ตระกูลไหนกลับมากันเนี่ย ขบวนใหญ่ขนาดนี้
ก็ญาติของคนดังเฟิ่งเทียนไงล่ะ ซ่งฝูเซิงที่โด่งดังไปทั่ว