สามีข้าคือขุนนางใหญ่ - บทที่ 100.2 เรียกร้องความสนใจ (2)
ณ โรงเรียนเอกชน
ชั้นเรียนปฐมวัยเลิกเรียนแล้ว ทั้งอาจารย์และนักเรียนต่างพากันถอนหายใจโล่งอก นักเรียนตัวน้อยรีบเก็บข้าวของแล้วคว้ากระเป๋าวิ่งปรู๊ดออกจากห้องเรียนราวกับกำลังถูกสัตว์ประหลาดไล่ล่าตามหลัง
อาจารย์ยังเลิกงานไม่ได้ เพราะเสี่ยวจิ้งคงยังไม่กลับ
วันนี้เขาสูดหายใจลึกไปแล้วประมาณหนึ่งร้อยแปดรอบได้
พลางนึกในใจ ถ้าไม่ใช่เพราะลูกชายของตนเองเป็นศิษย์สำนักบัณฑิตละก็ ป่านนี้เขาคงให้เจ้าเด็กตัวแสบนี่ลาออกไปสักร้อยครั้ง!
เห็นจิ้งคงทำตัวซุกซนวุ่นวายอยู่ในเรือนอย่างนี้ แต่พอมาเข้าเรียนเขากลับนั่งนิ่ง ตอนที่เขานั่งเงียบๆ ก็ไม่มีอะไรหรอก แต่พออ้าปากเท่านั้น พวกอาจารย์แทบจะเอาชีวิตไม่รอด!
ด้วยความที่จิ้งคงเป็นเด็กที่มีอิทธพลใหญ่อยู่เบื้องหลัง อิทธิพลที่ว่านั้นก็คือพี่เขยของจิ้งคงที่เป็นศิษย์รักของเจ้าสำนักหลี เกิดเผลอไล่จิ้งคงออกไป ก็เท่ากับเป็นหักหน้าเจ้าสำนักและลูกชายตนเอง
แค่คิดก็ชวนปวดหัวจะแย่
เสี่ยวจิ้งคงหยิบหนังสือซานจื้อจิงขึ้นมา ทำทีเป็นท่องหนังสือ ทั้งๆ ที่จริง สายตาของเขาเอาแต่สอดส่องข้างนอก
“จิ้งคงเอ๋ย พี่เขยเจ้ายังไม่มารับอีกรึ” อาจารย์ที่นั่งอยู่ตรงหน้าชั้นเรียนเอ่ยถามเขา
“งืม” เสี่ยวจิ้งคงเอ่ยตอบด้วยน้ำเสียงอ่อนล้า
“ให้ข้าพาไปดูที่หน้าประตูดีไหม” อาจารย์เสนอทางเลือกให้
“เขาจะมาไม่มาก็ช่าง! ข้าไม่อยากเห็นหน้าเขา!” เสี่ยวจิ้งคงทำทีไม่พอใจ
แม้ปากจะพูดออกมาเช่นนั้น แต่ลูกตาเขากลับจ้องเขม็งไปทางข้างนอกหนักกว่าเดิมเสียอีก
หรือว่าพี่เขยตัวแสบจะไม่ต้องการเขาแล้ว
เขาก็ไม่ต่างอะไรกับพวกที่บอกว่าจะรับเขาไปเลี้ยงแล้วสุดท้ายก็ทิ้งเขาไว้ตรงนั้น
“จิ้งคง” รู้ตัวอีกที อาจารย์ก็มายืนข้างๆ จิ้งคง เอามือสะกิดที่หัวไหล่จิ้งคงเบาๆ “พี่เขยมารับแล้ว”
ในที่สุดก็มาสักที! ในที่สุด! ฝันร้ายของข้าจะได้จบลงสักที!
“จริงรึ” จิ้งคงรีบกระโดดหยองลงจากเก้าอี้ ถึงได้รู้ตัวว่าตัวเองทำท่าดีใจออกนอกหน้าเกินไปหน่อย จากนั้นรีบตีหน้านิ่ง เก็บข้าวของแล้วเอ่ยลาอาจารย์ แล้วเดินออกไปเพื่อไปหาเซียวลิ่วหลัง
“วันนี้ท่านมาช้านะ!”
พอได้ขึ้นรถเกวียน จิ้งคงก็บ่นอุบอิบให้เซียวลิ่วหลังได้ฟัง “วันนี้เจ้าไม่ตั้งใจเรียนรึไง เลยโดนอาจารย์จางสั่งให้อยู่ถึงเย็น”
เซียวลิ่วหลังทำหน้าประหลาดใจ “เจ้ารู้ด้วยรึว่าอาจารย์ของข้าสกุลจาง”
“เสี่ยวซุ่นบอกข้ามาน่ะสิ!” จิ้งคงนึกในใจ มีเรื่องอีกตั้งมากมายที่ข้ารู้ ไม่เพียงแต่นามสกุลของอาจารย์เจ้า แต่ข้ายังรู้ด้วยว่าอาจารย์ของเสี่ยวซุ่นนามสกุลเฉิน เจ้าสำนักนามสกุลหลี!
เสี่ยวจิ้งคงเอ่ยด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “นี่ท่านยังไม่ตอบคำถามข้าเลยนะ วันนี้เจ้าโดนให้อยู่ถึงเย็นใช่ไหม ท่านอย่าเอาแต่ได้ใจที่ตนเองสอบซิ่วไฉได้ อย่าลืมสิว่าท่านยังเป็นบัณฑิตห้องสองอยู่!”
ให้ตายสิ รู้กระทั่งห้องสองเสียด้วย
เซียวลิ่วหลังมองเสี่ยวจิ้งคงด้วยอาการทั้งขำทั้งแค้น “ตัวแค่นี้ เหตุใดถึงได้พูดมากนัก”
เสี่ยวจิ้งคงเท้าเอว พลางเอ่ย “มาสายแล้วยังมีหน้ามากล่าวหาข้าอีก พวกผู้ใหญ่นี่ช่างไร้เหตุผลเสียจริง!”
เซียวลิ่วหลังเอ่ยย้อน “เช่นนั้นแปลว่าเจ้าเป็นเด็กมีเหตุผลงั้นสิ”
“ของมันแน่อยู่แล้วไหม!” เสี่ยวจิ้งคงทำท่ากอดอก
เซียวลิ่วหลังเลิกคิ้วเอ่ยถาม “แล้วเด็กคนไหนกันนะที่ต่อปากต่อคำกับอาจารย์ จนทำให้อาจารย์ลำบากใจน่ะ”
เสี่ยวจิ้งคงรีบเอ่ยแย้ง “ก็อาจารย์พูดผิดนี่นา! ข้าก็เลยช่วยแก้ให้!”
เซียวลิ่วหลังเอ่ยต่อ “แล้วเด็กคนไหนกัน ที่พอเรียนไปได้สักพักก็หนีออกมาจากห้องเรียน”
จิ้งคงเอ่ยด้วยเสียงหนักแน่น “ก็เพราะเขาจะตีข้าน่ะสิ! ข้าไม่ได้ทำผิดอะไรสักหน่อย! เขาจะทำโทษเด็กที่ไม่ได้ทำอะไรผิดไม่ได้นะ!”
อาจารย์มีไม้บรรทัดประจำตัว เด็กคนไหนไม่เชื่อฟังก็จะถูกตีที่ฝ่ามือด้วยไม้บรรทัด เสี่ยวจิ้งคงที่ต่อปากต่อคำกับอาจารย์ในชั้นเรียนจนหน้าแดงหูแดง อาจารย์เกิดโมโหขึ้นมา พลางคว้าไม้บรรทัดหวังจะตีจิ้งคงให้หลาบจำ แต่จิ้งคงดันคว้ากระเป๋าแล้วรีบวิ่งออกจากโรงเรียนไปหน้าตาเฉย
เซียวลิ่วหลังเอ่ยเสียงอ่อน “ในเมื่อเจ้าคิดว่าตัวเองมีเหตุผล เจ้าลองเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้เจียวเจียวฟังดีไหม ให้นางช่วยตัดสิน”
จิ้งคงไม่พูดอะไรต่อ
แม้เขาจะรู้ว่าตัวเองเป็นฝ่ายถูกต้อง แต่อีกใจเขารู้ดีว่าเจียวเจียวไม่มีทางเห็นด้วยกับการกระทำของเขา
เซียวลิ่วหลังหัวเราะเนือยๆ “เหตุใดไม่พูดต่อเล่า เจ้าไม่แน่ใจจุดยืนของตัวเอง หรือเกิดกลัวเจียวเจียวจะไม่ฟังเหตุผลของเจ้ากันแน่”
เสี่ยวจิ้งคงตอบอย่างมั่นใจ “เจียวเจียวไม่ใช่คนไร้เหตุผลสักหน่อย! ข้าเองก็มีเหตุผลของข้า! จะติดก็แค่ เหตุผลของเจียวเจียวกับเหตุผลของข้าอาจไม่ตรงกันก็ได้ ปัญหาอยู่ที่เหตุผล ไม่ใช่ข้ากับเจียวเจียว!”
เซียวลิ่วหลังคิดในใจ เอาแต่พูดวกไปวนมาจนทำเขาเกือบมึน
ทั้งคู่ต่อปากต่อคำกันสักัพกก็เดินทางมาถึงหมู่บ้าน
พวกเขาลงจากรถ เดินมุ่งหน้าไปทางเรือน พอเข้าไป ก็พบว่ามีสมาชิกเพิ่มขึ้นมาอีกคน
สมาชิกใหม่และดูแต่งกายสะอาดสะอ้าน หน้าตาคมคาย ดูปราดเดียวก็รู้ว่าไม่ใช่คนที่นี่
“เจ้าเป็นใคร” เสี่ยวจิ้งคงหันหน้าไปถาม
“ข้าเป็นน้องชายของเจียวเจียว” กู้เหยี่ยนย้ำคำว่าน้องชายอย่างชัดถ้อยชัดคำ “น้องชายแท้ๆ ”
เสี่ยวจิ้งคงพอได้ยินคำตอบก็เกิดร่างเซทันควัน!
อยู่ด้วยกันมาตั้งนานไหงไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าเจียวเจียวมีน้องชายแท้ๆ ด้วย นั่นหมายความว่าเขาได้อภิสิทธิ์มากกว่ากู้เสี่ยวซุ่นน่ะสิ
เสี่ยวจิ้งคงอดไม่ได้ที่จะรู้สึกระแวงกับพ่อหนุ่มคนนี้!
เซียวลิ่วหลังมองดูเหตุการณ์อยู่ห่างๆ พลางเขกหัวจิ้งคงเบาๆ หนึ่งที “มาดูกันว่า ใครกันแน่ที่เป็นน้องชายคนโปรดของเจียวเจียว”
จิ้งคงรีบปัดมือของพี่เขยตัวแสบออก
เขาพูดโน้มน้าวตัวเองในใจว่าไม่ต้องตื่นตระหนก ต่อให้เป็นน้องชายแท้ๆ แล้วอย่างไรเล่า เขาต่างหากที่มาก่อน! ยิ่งไปกว่านั้น ตัวเขาเองก็มีข้อดีตั้งมากมาย
เขาทั้งตัวเล็ก น่ารัก น่าเอ็นดู!
และในตอนนั้นเอง เซวียหนิงเซียงเข้ามาส่งมันเทศพอดี เลยเห็นว่าที่เรือนกู้เจียวมีสมาชิกใหม่เป็นหนุ่มหล่อเพิ่มขึ้นมา
ถือว่าตอนนี้เซวียหนิงเซียเก็บอาการสีหน้าท่าทางได้แล้ว ถ้าเทียบกับเมื่อก่อน
สมาชิกแต่ละคนในเรือนนี้มีแต่คนแปลกๆ ไหนจะบุตรตระกูลสูงส่งเอย ต่อให้มีไทเฮาโผล่มาที่เรือนนางก็คงไม่รู้สึกประหลาดใจเท่าไหร่แล้ว
กู้เหยี่ยนชำเลืองนางอยู่ครู่หนึ่ง แล้วเขาไปทักทาย “เจ้าคือท่านพี่เซวีย เพื่อนบ้านของพี่สาวข้าใช่ไหม ข้าเคยได้ยินนางเล่าให้ฟังน่ะ อ่อ ข้าชื่อกู้เหยี่ยน เป็นน้องชายแท้ๆ ของกู้เจียว”
น้ำเสียงของเขานุ่มนวลอย่างไม่น่าเชื่อ และเขามีรอยยิ้มที่น่ารัก เผยให้เห็นความไร้เดียงสาที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะของกู้เหยี่ยน
เซวียหนิงเซียงตกหลุมพรางความน่ารักของกู้เหยี่ยนเข้าอย่างจัง
เสี่ยวจิ้งคงเริ่มกำหมัดแน่น นึกในใจ เหอะ เหอะ เหอะ โตขนาดนี้ยังมีหน้ามาทำตัวน่ารักใส่คนอื่นอีก แถมยังทำได้ดีเสียด้วย! หึ หน้าไม่อาย!!!
องครักษ์ที่ยืนเฝ้าอยู่ด้านบน พอเห็นดังนั้นก็แทบจะเอาหน้ามุดแผ่นดิน ตอนอยู่ที่จวนไม่ใช่แบบนี้นี่นา ลืมไปแล้วหรือว่าตัวเองเป็นใคร
เสี่ยวจิ้งคงงุ่นงานแม้กระทั่งข้าวเย็นก็กินไม่ลง
พออาบน้ำเสร็จ เขาเกิดนึกขึ้นได้ว่าตัวเองมีข้อดีอะไรอีก
เขาเป็นเณร เณรอ่านคัมภีร์ได้ สวดมนต์ได้!
เขาสวดมนต์ให้เจียวเจียวฟังได้!
ท่านอาจารย์เคยบอกกับเขาว่าเขาเป็นเณรที่ท่องบทสวดมนต์ได้เก่งที่สุด เจียวเจียวจะต้องชอบแน่ๆ!
เสี่ยวจิ้งคงหยิบไม้เคาะและลูกกระวานขึ้นมาจากกระเป๋าของตัวเอง จากนั้นเดินไปที่ห้องกู้เจียว!
แต่พอเดินถึงแค่ตรงลานหลังบ้าน ก็ได้ยินเสียงขลุ่ยดังขึ้น เพลงขลุ่ยฟังดูเหมือนคนที่กำลังร้องไห้คร่ำครวญ และแม้แต่จิ้งคงที่ไม่เข้าใจจังหวะก็สามารถรับรู้ได้ถึงความเศร้าโศก
เขาเอามือกุมหน้าอกข้างซ้ายในทันใด
พอเพลงจบ เขาก็เริ่มน้ำตาเล็ด
ฮือ ฮือ ฮือ นี่มันเป็นเพลงที่ไพเราะที่สุดในโลกเลย! เพราะว่าเสียงสวดของพระตั้งหลายร้อยหลายพันเท่า!
รอบนี้ เขาแพ้ราบคาบ!
แต่เสี่ยวจิ้งคงยังไม่ยอมแพ้ เขายังมีไม้ตายที่ซ่อนอยู่ นั่นก็คือ เขา เลี้ยง ไก่ เป็น!
เขาเป็นเด็กน้อยที่มีความสามารถในการเลี้ยงไก่ตัวน้อยๆ ได้! ไม่มีทางที่กู้เหยี่ยนจะเก่งเรื่องนี้กว่าเขา
“คุณชายน้อยขอรับ ลูกสุนัขมาส่งแล้วขอรับ” องครักษ์อุ้มลูกหมาน้อยแล้วยื่นให้กู้เหยี่ยน แล้วรีบเดินออกไป
กู้เหยี่ยนกับกู้เจียวกำลังเล่นกับลูกสุนัขอย่างสนุกสนาน
เสี่ยวจิ้งคงตอนอยู่ที่วัดไม่เคยได้เห็นลูกหมามาก่อน พอลงจากเขา ก็พอจะเคยเจออยู่บ้าง แต่สุนัขที่เขาเจอมักจะเป็นประเภทดุร้ายเสียส่วนใหญ่ แต่สุนัขที่เขากำลังมองอยู่ตอนนี้ทั้งดูน่ารักและนุ่มนิ่ม
“โฮ่ง!”
เสี่ยวจิ้งคงตกใจจนตัวเซ มันร้องได้ด้วยรึ!
กู้เจียวโดยนกระดูกไปทางแปลงผัก
ลูกสุนัขวิ่งไปคาบกระดูกมาแล้วเอามายื่นให้กู้เจียว
เสี่ยวจิ้งคงเข้าใจว่าลำพังตัวเองเลี้ยงไก่ว่าแสนยากแล้ว แต่นี่อะไร เขาคาดถึงเลยว่ากู้เหยี่ยนจะเลี้ยงสุนัข!
เรื่องยากขนาดนี้ เขาทำได้อย่างไรกัน
ความคิดของจิ้งคงก็คือ อะไรที่มีขนาดเล็กมักจะเลี้ยงง่าย ถ้าตัวโตหน่อยเท่ากับเลี้ยงยาก ยกตัวอย่างตัวเขาเอง เขาตัวเล็ก เลี้ยงง่าย ขอแค่กินอิ่มก็พอ แต่พี่เขยนี่สิที่เลี้ยงยาก ต้องกังวลว่าเขาจะสอบได้ไหม เดินเหินสะดวกไหม
“ไม่ง่ายเลยจริงๆ …”
เสี่ยวจิ้งคงสุดท้ายกลายร่างเป็นปลาตากแห้งนอนนิ่งอยู่บนเตียง
หลังจากที่เซียวลิ่วหลังเก็บของในห้องฟืนเสร็จก็เดินผ่านห้องที่จิ้งคงนอนอยู่
เซียวลิ่วหลังเข้าไปห่มผ้าให้เขา หยิบไม้เคาะ ลูกกระวาน บทสวดมนต์ใส่กลับเข้าไปในกล่อง จากนั้นก็เดินไปที่ห้องโถง
กู้เจียวเองที่เพิ่งจะเดินเข้ามาในห้องโถง เลยถามถึงจิ้งคงด้วยเสียงเบา “เขาหลับหรือยัง”
เซียวลิ่วหลังพยักหน้า แล้วเอ่ยถามด้วยเสียงเบาเช่นกัน “หลับแล้ว กู้เหยี่ยนเล่า”
“เขาก็หลับแล้ว” กู้เจียวเอ่ยจอบ
ทั้งคู่นั่งลงบนเก้าอี้ ถอนหายใจพร้อมกัน
คำถามเมื่อครู่นี้ให้ความรู้สึกเหมือนคนเป็นพ่อเป็นแม่กำลังถามไถ่เรื่องลูก ‘ตัวเล็กหลับหรือยัง ‘หลับแล้ว คนโตล่ะ’ ‘คนโตก็หลับแล้ว’
พอทำหน้าทีพ่อแม่เสร็จ ก็ได้เวลามาทำเรื่องของตัวเอง
กู้เจียวเอ่ยชวนเขา “ทำกายภาพกัน”
ที่ลานด้านหลัง กู้เจียวให้คนมาทำทางหินไว้สำหรับให้เซียวลิ่วหลังทำกายภาพ แม้นางจะรู้ว่าเขาปลงกับเรื่องนี้แล้ว แต่นางทำใจยอมแพ้ไม่ลง
เซียวลิ่วหลังบ่นอุบอิบ “ฝึกไปก็เท่านั้น”
กู้เจียวชี้ไปที่ขาของเขา เอ่ยอย่างหนักแน่น “อย่างน้อยก็เพื่อไม่ให้กล้ามเนื้อสลาย วันไหนเจ้าเดินได้แล้ว ร่างกายของเจ้าก็จะพาเจ้าเดินตามความฝัน พาเจ้าไปที่ๆ อยากไปได้”
คำพูดของนางกินใจเซียวลิ่วหลัง
แต่วินาทีต่อมา เขาก็เย้ยตัวเองในใจ
ความฝันงั้นรึ
เขาไม่มีความฝันหรอก
แต่ประโยคที่บอกว่า ‘วันไหนเจ้าเดินได้แล้ว’ แม้ฟังดูทั่วไป แต่ดูเหมือนมีอะไรแฝงอยู่
นางหมายถึง ‘ให้เขาเดินได้’ หรือหมายถึง ‘ให้เขาเดินออกไป’ กันแน่
เซียวลิ่วหลังมองคนตรงหน้าด้วยสายตาเหม่อ
กู้เจียวไม่พูดอะไรต่อ ขยับมุมปากเล็กน้อย แล้วเอ่ย “ไปกันเถอะ”
นางคว้าไม้เท้าเขาแล้วพยุ่งร่างของเขาไปที่ลาน
ช่วงกลางดึก หมู่บ้านเข้าสู่ความเงียบสงัด
ภายใต้แสงจันทร์ กู้เจียวค่อยๆ ประคองแขนเขาแล้วเดินทีละก้าวบนทางที่ปูด้วยหิน
ดูเผินๆ เหมือนจะไกล แต่พอลองได้เดินแปปเดียวก็เดินมาถึงอีกฝั่ง เหมือนกับความสัมพันธ์ของพวกเขาหรือเปล่า
วันต่อมา เซียวลิ่วหลังตื่นเช้ารีบไปสำนักบัณฑิต วันนี้โรงเรียนของจิ้งคงหยุด เซียวลิ่วหลังเลยเดินทางไปคนเดียว
กู้เจียวนึกว่าจิ้งคงจะนอนต่ออีกสักหน่อยเพราะไม่ต้องไปโรงเรียน ที่ไหนได้ พอเซียวลิ่วหลังออกไปได้พักเดียว จิ้งคงก็ตื่นพอดี
จิ้งคงไปที่ลานหลังเรือนแล้วเริ่มฝึกกำลังภายใน โดยเริ่มจากท่าม้าก่อน จากนั้นก็ฝึกท่ายกขาสูงจนถึงเหนือศีรษะ แล้วให้กู้เจียวเอาถ้วยใส่น้ำมาวางไว้บนเท้าของเขา
เณรน้อยตัวกะปุ๊กลุกตั้งใจฝึกกำลังภายในก็ดูน่ารักไม่เบา
พอเขาฝึกเสร็จ ประจวบเหมาะกับกู้เจียวเพิ่งจะเก็บห้องครัวเสร็จและเตรียมจะออกไปเก็บเห็ดป่าบนเขา
เมื่อเห็นว่ากู้เหยี่ยนกำลังนอนอยู่ เสี่ยวจิ้งคงจึงได้โอกาสเข้าใกล้เจียวเจียว แน่นอนว่าเขาไม่มีวันพลาดโอกาสดีๆ แบบนี้หรอก เลยขออาสาไปเก็บเห็ดกับกู้เจียวด้วย!
กู้เจียวเอ่ยตกลง
ทั้งสองแบกตะกร้าใบเล็กๆ ไว้บนหลัง และทันทีที่เปิดประตู พวกเขาเห็นรถม้าจอดอยู่หน้าเรือน
“ที่นี่คือเรือนของท่านเซียวลิ่วหลังใช่ไหมขอรับ” ชายหนุ่มหน้าตาใจดีก้าวลงจากรถม้า ประสานมือและยิ้มให้นาง
“ท่านคือใครรึ” กู้เจียวถาม
ชายหนุ่มเอ่ยตอบด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม “ท่านคงเป็นฮูหยินเซียวสินะ ท่านผู้ดูแลมีรับสั่งให้เชิญท่านเข้าเมืองมาพูดคุยกันขอรับ”