สามีข้าคือขุนนางใหญ่ - บทที่ 107.2 หึงหวง (2)
“เจียวเหนียงเอ๋ย! เจียวเหนียง!” แม่นางโจวเปลี่ยนสีหน้าเย็นชาในอดีตเป็นรอยยิ้มประจบสอพลอสุดฤทธิ์ “นี่พวกเจ้ากำลังจะไปในตัวเมืองหรือ”
ระหว่างพูดคุย แม่นางโจวกับกู้ฉังไห่ได้มาหยุดอยู่ตรงหน้ากู้เจียวแล้ว
กู้ต้าซุ่นมิได้เต็มใจมานัก เขาหอบห่อผ้าเดินรั้งท้ายอยู่หลายสิบก้าว
เซียวลิ่วหลังขมวดคิ้วเล็กน้อย กู้เจียวปล่อยม่านรถลง แล้วบอกให้เขาไม่ต้องลงมา
กู้เจียวหันไปมองแม่นางโจว “พวกเจ้ามาทำอะไรกัน”
“เอ๊ะ ดูเจ้าพูดเข้าสิ หลานเขยจะเข้าเมืองไปสอบ ข้าจะไม่มาส่งได้หรือ เจ้าดูสิ นี่เป็นน้ำใจเล็กๆ น้อยๆ ของป้าสะใภ้ใหญ่!” แม่นางโจวบอกพลางส่งไข่ไก่ทั้งตะกร้าให้กับมือกู้เจียว
กู้เจียวรู้ว่านางคิดแผนการชั่วร้ายอะไรอยู่จึงไม่ได้ยื่นมือไปรับ
แม่นางโจวกระอักกระอ่วน นางส่งสายตาให้กับกู้ฉังไห่
กู้ฉังไห่ถอนหายใจเบาๆ บอกกับกู้เจียวว่า “เจียวเหนียง ครานี้เข้าเมืองไปสอบเดินทางไกลนัก ลิ่วหลังแข้งขาไม่ดี ให้ต้าซุ่นตามไปกับเขาด้วยดีกว่า ระหว่างจะได้มีคนคอยดูแล”
“ใครดูแลใครกันแน่” กู้เจียวถามอย่างไม่เกรงใจ
ต่อให้เซียวลิ่วหลังจะขาเป๋อยู่หน่อยๆ แต่ยามปกติงานที่ทำก็มากกว่าคนแขนขาแข็งแรงอย่างกู้ต้าซุ่นอยู่แล้ว
กู้ต้าซุ่นเป็นคนที่โดนเลี้ยงอย่างเอาอกเอาใจให้เติบโตมา นอกจากเรียนหนังสือแล้วอย่างอื่นก็ทำไม่เป็นเลย ซ้ำยังเป็นภาระอีกต่างหาก
กู้ฉังไห่จุกในลำคอ
เขาเป็นพ่อแท้ๆ ของกู้ต้าซุ่นเขสจะไม่รุ้ได้อย่างไร กู้ต้าซุ่นออกจากบ้านล้วนเป็นคนที่ทำอะไรเองไม่เป็นสักอย่าง เสื้อผ้าในสำนักบัณฑิตของเขาล้วนเอากลับมาซักที่บ้านทั้งหมด
หากไม่ใช่เพราะแบบนี้ เขาจะมาขอร้องกู้เจียวถึงที่นี่ให้เซียวลิ่วหลังพาเขาไปด้วยได้อย่างไร
กู้ฉังไห่ที่เดิมทีกะว่าตัวเองจะพากู้ต้าซุ่นไปในเมืองเอง แต่ที่บ้านมีวันคืนอันลำบาก จ่ายค่าเดินทางของทั้งสองคนไม่ไหวแล้ว
และเขาก็ได้ยินมาว่าหมู่นี้เซียวลิ่วหลังสอนเสริมให้คนอื่น อีกฝ่ายเป็นตระกูลใหญ่ในเมือง ไม่ขาดเงินขาดทอง หากให้ต้าซุ่นไปกับพวกเขา ไม่เพียงจะประหยัดแค่ค่าเดินทางเท่านั้น กินดื่มใช้สอยระหว่างทางก็ไม่ต้องควักเงินออกเอง
เขาพูดเกลี้ยกล่อมไม่หยุดว่า “เจียวเหนียง เมื่อก่อนลุงเคยทำไม่ดีไว้กับเจ้า แต่พี่ใหญ่เจ้าไม่เคยล่วงเกินเจ้าเลยมิใช่หรือ พี่ใหญ่เจ้าเอาแต่เล่าเรียน ไม่รู้เรื่องบุญคุณความแค้นของพวกเราเลย และไม่เคยเข้ามายุ่งด้วย พ่อแม่เจ้าตอนยังมีชีวิตอยู่รักเอ็นดูพี่ใหญ่เจ้าตั้งไม่รู้เท่าใด เหตุใดเจ้าจึงทนเห็นพี่ใหญ่เจ้าลำบากได้ล่ะ”
กู้ซานหลังและภรรยาตอนที่ยังมีชีวิตอยู่เอ็นดูกู้ต้าซุ่นจริง แต่กู้ต้าซู่นที่ถูกพวกเขารักเอ็นดูนั้นปฏิบัติต่อกู้เจียวเหนียงอย่างไรล่ะ
ตอนที่กู้เจียวเหนียงโดนรังแก กู้ต้าซุ่นเคยออกมาพูดคำพูดปกป้องน้องสาวสักคำหรือไม่
กระทั่งในฝันนั้น กู้ต้าซุ่นยังใส่ร้ายน้องสาวและน้องเขยเพราะความเห็นแก่ตัวของตัวเองเลย สุดท้ายเขาที่ไม่ได้ทำแบนนั้นหาใช่เพราะเขาเกิดมีมโนธรรมสำนึกรู้ขึ้นมา แต่เพราะกู้เจียวเกิดลางสังกรณ์ขึ้นมาเสียก่อนต่างหาก
ดังนั้นต่อให้ไม่พูดถึงบุญคุณความแค้นระหว่างกู้เจียวกับพวกผู้ใหญ่ กู้ต้าซุ่นก็ไม่ใช่ผู้บริสุทธิ์อยู่ดี!
แม่นางโจวช่วยพูดว่า “นั่นสิเจียวเหนียง เจ้าก็ให้พวกเขาพาต้าซุ่นไปด้วยสิ! เจ้าดูรถใหญ่คันนี้กว้างขวางออกจะตาย มีคนเพิ่มแค่คนเดียวไม่ใช่เรื่องใหญ่เลย! เจ้าให้ต้าซุ่นนั่งด้วยเถิดนะ!”
“โลงศพใต้ดินก็กว้างขวางไม่น้อยเช่นกัน เหตุใดเจ้าไม่ลงไปนอนดูละ” หญิงชราเดินออกมาอย่างไม่ยี่หระ
บรรดาคนในหมู่บ้านพากันหลุดหัวเราะ ท่านย่าของลิ่วหลังฝีปากไม่เคยทำให้ใครผิดหวังจริงๆ
ความโมโหที่จุกในลำคอของแม่นางโจวเกือบระเบิดออกมารอมร่อแล้ว “เจ้าพูดเช่นนี้ได้อย่างไร”
หญิงชราแบมือ “ใช้ปากพูดน่ะสิ หรือว่าเจ้าใช้บั้นท้ายพูดล่ะ”
แม่นางโจวเดือดดาลจนควันออกหู!
พวกคนในหมู่บ้านหัวเราะกันหนักกว่าเดิม
นี่กำลังเหน็บแนมแม่นางโจวว่าผายลมอยู่แหน่ะ แต่ก็ต้องโทษที่แม่นางโจวขุดหลุมฝังตัวเอง หรือว่านางไม่รู้ว่าใต้ฟ้านี้ไม่มีบทสนทนาใดที่หญิงชราต่อคำไม่ได้
ดีร้ายอย่างไรก็เป็นผู้ชนะในสงครามนางในของสมัยที่แล้ว บรรดาสตรีในวังหลังล้วนโดนจัดการอย่างราบคาบ แค่แม่นางโจวคนเดียวนับว่าเป็นอะไรได้
“พวกเขาไม่ใช่เด็กในตระกูลกู้ของเจ้ากันแล้ว เจ้ายังมาอาศัยพวกเรามันหมายความว่าอย่างไร” หญิงชราชี้กู้ต้าซู่นที่อยู่ไม่ไกล “หากต้องการจะให้พาเขาไปด้วยจริงๆ ก็ได้ แต่ต้องตกลงกันก่อนว่า ลิ่วหลังแข้งขาไม่ดี เขาไม่ได้ไปเป็นเจ้านายของลิ่วหลัง แต่ไปดูแลลิ่วหลัง”
กู้ฉังไห่เอ่ยอย่างเกรงใจว่า “นี่มันแน่นอนอยู่แล้ว! แน่นอนอยู่แล้ว!”
ขึ้นรถได้ก็พอแล้ว ขึ้นไปจริงๆ แล้วต้าซุ่นไม่ดูแลลิ่วหลัง ลิ่วหลังยังจะไล่ต้าซุ่นลงมาได้หรือ ปัญญาชนให้ความสำคัญกับชื่อเสียงมากนัก เซียวลิ่วหลังกล้าทำขึ้นมาจริงๆ พวกเขาก็จะไปโวยวายที่ศาลาว่าการ เอาให้ชื่อเสียงเซียวลิ่วหลังแปดเปื้อนป่นปี้เลยคอยดู!
หญิงชราเอ่ยว่า “พูดปากเปล่ามันไร้หลักฐาน ลงเป็นหลักฐานลายลักษณ์อักษรไว้ เสี่ยวซุ่น ไปเอาพู่กันมา”
กู้เสี่ยวซุ่นไปหยิบพู่กันมาจากห้องตะวันตก
หญิงชราเอ่ยอย่างช้าๆ ว่า “เขียนให้ชัดเจนว่า ยามอิ๋น ของทุกวันกู้ต้าซุ่นจะซื้อมื้อเช้าให้ลิ่วหลัง รีดเสื้อผ้าให้เรียบร้อย ปลุกลิ่วหลังให้ตื่น ช่วยลิ่วหลังสวมใส่เสื้อผ้า น้ำที่ใช้ล้างหน้าบ้วนปากก็อย่าได้ขาดตก เขาต้องส่งให้ตรงหน้าลิ่วหลังด้วยตัวเอง เสื้อของลิ่วหลังก็ต้องซักให้สะอาด กระโถนตอนกลางคืนของลิ่วหลังเขาก็ต้องเทให้สะอาด”
แม่นางโจวสีหน้าพลันเปลี่ยน “เหตุใดยังมีเทกระโถนด้วยอีก”
หญิงชราไม่สนใจนาง เอ่ยต่อเองว่า “อากาศร้อนขึ้นมา เขาต้องพัดวีให้ลิ่วหลัว แมลงมากขึ้นก็ต้องกำจัดยุงให้ลิ่วหลัง ลิ่วหลังนอนแล้วเขาถึงจะนอนได้ หากลิ่วหลังตื่นขึ้นมากลางดึกเขาก็ต้องตื่นด้วย สรุปคือ ลิ่วหลังของข้ามีความต้องการใด เขาก็ทำให้อย่างไร้ข้อกังขา แล้วก็ไม่อนุญาตให้ต่อปากต่อคำ ไม่อนุญาตให้ขัดคำสั่ง มิฉะนั้นลิ่วหลังสามารถตีเขาได้!”
“เจ้า…เจ้า…” แม่นางโจวโมโหจนเจ็บหน้าอกไปหมด นางแทบจะต้องพิงตัวกู้ฉังไห่เอาไว้ สีหน้ากู้ฉังไห่ก็ไม่ค่อยจะดีไปกว่านางเท่าใดนักเช่นกัน
แม่นางโจวร้องห่มร้องไห้น้ำมูกน้ำตานองหน้าไปหมด “พวกเพื่อนบ้านทั้งหลายช่วยตัดสินให้ที! นี่มันเป็นการดูแลที่ไหนกัน นี่มันเอาต้าซุ่นของข้ามาเป็นคนใช้ชัดๆ!”
หญิงชราสีหน้าราวกับผู้บริสุทธิ์ยิ่ง “เอ๋ นี่คือคนรับใช้แล้วหรือ พวกเจ้าปฏิบัติต่อเด็กกำพร้าของลูกชายคนที่สามตระกูลพวกเจ้าเช่นนี้มาตั้งหลายปี ข้ายังนึกว่าพวกเจ้าตระกูลกู้ดูแลคนกันแบบนี้เสียอีก!”
แม่นางโจวต่อให้หนังหน้าหนากว่านี้ก็รักษาสีหน้าต่อไปไม่ได้แล้ว นางวิ่งเผ่นแนบออกจากบ้านตระกูลกู้ด้วยกันกับสามีและลูกชายทันที
กู้เจียวเลิกม่านหน้าต่างรถขึ้น ส่งกระเป๋าเงินให้เซียวลิ่วหลัง “ในนี้ข้าใส่เศษเงินและตั๋วเงินเอาไว้”
เศษเงินสิบตำลึง ตั๋วเงินร้อยตำลึง อันที่จริงป้ายคู่ของธนาคารก็อยู่ในนั้นเหมือนกัน แต่นางเย็บไว้ค่อนข้างลึกลับ
เซียวลิ่วหลังพยักหน้า เขารับกระเป๋าเงินมาแล้วบอกนางว่า “ไปแล้วนะ”
“อืม” กู้เจียวพยักหน้า มองส่งเขาออกจากหมู่บ้าน จนกระทั่งรถม้าหายลับจากหน้าหมู่บ้านแล้ว นางจึงได้หันหลังเดินเข้าห้องไป
กู้เจียวมองห้องตะวันตกอันว่างเปล่า “เฮ้อ ไปจริงๆ แล้ว”
เพิ่งจะเอ่ยขึ้น จู่ๆ นางพลันสัมผัสได้ถึงเงาร่างที่เพิ่มเข้ามากะทันหัน นางหันกลับไปอย่างตกตะลึง เห็นเซียวลิ่วหลังปรากฏตัวอยู่หน้าประตูตอนไหนไม่รู้
“เหตุใดเจ้าจึงกลับมาละ” นางเบิกตาโตถาม
เซียวลิ่วหลังจดจ้องนางนิ่ง “ลืมของน่ะ”
กู้เจียวมองเขาเดินมาหา ในสมองพลันมีหัวใจดวงน้อยสีแดงโผล่พรวดออกมาเป็นขบวน ใช่ข้าหรือไม่ ใช่ข้าหรือไม่ ใช่ข้าหรือไม่
เขาลืมนางเอาไว้อย่างนั้นรึ
กู้เจียวมองเขาตาปริบๆ
จากนั้นเขาก็เดินผ่านกู้เจียวไป
กู้เจียว “…”
เซียวลิ่วหลังเดินออกมาจากห้องตะวันตก ในมือถือใบประจำตัวผู้สอบขุนนางระดับมณฑลไว้ใบหนึ่ง “ขาดสิ่งนี้ไปก็เข้าไปสอบไม่ได้”
กู้เจียวดึงประตูเปิดด้วยสีหน้าเรียบนิ่ง “เดินทางปลอดภัย ไม่ส่งล่ะ”
เซียวลิ่วหลังมองนางแวบหนึ่งทั้งแววตามีประกายวาบผ่าน หลังจากเขาออกจากห้องแล้ว จู่ๆ ก็ชะงักฝีเท้าลง “หากข้าบอกว่า ไม่ว่าผลสุดท้ายจะเป็นเช่นไร ข้าก็ไม่มีทางเข้าเมืองไปสอบ เจ้ายังจะรู้สึกว่าข้ามีความจำเป็นต้องไปสอบขุนนางระดับมณฑลอยู่หรือไม่”
“มี” กู้เจียวเอ่ยขึ้นอย่างฉะฉานชัดเจน นางมองแผ่นหลังของเขา “ข้าหวังว่าวันหน้าที่เจ้าไม่ไปเมืองหลวง เป็นเพราะเจ้าเลือกที่จะไม่ไป หาใช่เพราะเจ้าไม่มีสิทธิ์ที่จะไป”
เซียวลิ่วหลังกำมือแน่น แววตามีประกายซับซ้อนวาบผ่าน “แล้วถ้าหาก…”
กู้เจียวยิ้มจางๆ “หากมีปัญหายุ่งยาก มีอันตราย ข้าจะปกป้องเจ้าเอง”
เขาไม่ได้หมายความแบบนี้เสียหน่อย แต่ว่า…ในหน้าอกเซียวลิ่วหลังเกิดอารมณ์แปลกประหลาดสายหนึ่งถาโถมขึ้นมา
การจากไปครานี้คือการออกเดินทางจริงๆ แล้ว
กู้เจียวกลับมาที่ห้องตะวันตก พบจดหมายฉบับหนึ่งบนโต๊ะ
นางเปิดออกดู ในซองจดมายมีป้ายคู่ของเฉียนจวงหล่นลงมา
“เจอไวขนาดนี้เลยหรือ…”
ลืมใบประจำตัวสอบนั้นเขาโกหก แต่จริงๆ จะเอาป้ายคู่ของเฉียนจวงคืนต่างหาก
ในซองจดหมายยังมีข้อความแผ่นหนึ่งแนบมาด้วย
ยามนี้กู้เจียวอ่านหนังสือออกไม่น้อยแล้ว นางเปิดออกอ่าน เห็นในนั้นเขียนด้วยลายมืองดงามว่า ‘ไม่พักบ้านตระกูลหลิน ไม่ต้องหึงหวง’
คำว่าหึงหวงเขียนอย่างลงแรงและมีพลังเป็นพิเศษ กู้เจียวขมวดคิ้วอย่างแปลกพิกล เหตุใดนางจึงเห็นน้ำเสียงอันลำพองจากลายมือที่ราบเรียบนี้ได้กัน