สามีข้าคือขุนนางใหญ่ - บทที่ 109.1 หลานตัวน้อย (1)
กู้เจียวกลับมาที่บ้าน กู้เหยี่ยนก็ตื่นแล้ว กำลังนั่งกินไข่หวานอยู่ที่ห้องโถงกับหญิงชรา
เมื่อเห็นกู้เจียวเข้าห้องมา หญิงชราก็ดันไข่หวานไปตรงหน้ากู้เหยี่ยนด้วยความรวดเร็ว ก่อนจะเอ่ยอย่างจริงจังยิ่งว่า “ก็บอกแล้วว่าข้าไม่กิน! เจ้าก็จะกตัญญูกับข้าให้ได้!”
กู้เหยี่ยน “…”
แล้วใครเป็นคนที่แบ่งเอาไข่หวานของเขาไปอีกครึ่งล่ะ
ไข่หวานนั้นเซวียหนิงเซียงเป็นคนทำ หญิงชราย่อมไม่ออกหน้าอยู่แล้ว นางยุยงให้กู้เหยี่ยนเป็นคนไปขอ เซวียหนิงเซียงต้านทานเสน่ห์ของกู้เหยี่ยนไม่ได้เลยแม้แต่น้อย ไม่พูดพร่ำทำเพลงก็ต้มมาหม้อเบ้อเร่อ เสี่ยวจิ้งคงกับกู้เสี่ยวซุ่นก็แบ่งกันไปคนละถ้วยน้อยๆ เช่นกัน
กู้เสี่ยวซุ่นกินหมดเร็วมาก เขากลับไปฝึกแกะสลักไม้ของตัวเองแล้ว เสี่ยวจิ้งคงยังปีนอยู่บนต้นไม้ฝึกวรยุทธ์อยู่เลย ยังไม่ได้เริ่มกินสักคำ
กู้เจียวไม่รับไข่หวานจากหญิงชรามาอย่างเด็ดขาด
อันที่จริงเดิมทีหญิงชรากินไปครึ่งชามแล้ว นางเช็ดปากแล้วเดินกลับห้องไป
ขอแค่กินได้เร็วพอ เจียวเจียวก็จับข้าไม่ได้แล้ว!
กู้เจียวเอาของขวัญที่บุรุษผู้นั้นมอบให้ให้กับน้องชายทั้งสามออกมาวางเรียง ไม่ต้องให้นางเอ่ยถาม ทั้งสามคนก็เจอของที่แต่ละคนถูกใจกันอย่างแม่นยำ
เสี่ยวจิ้งคงหยิบหรงหวาเต้าทองคำเป็นประกายวิบวับขึ้นมาไม่ยอมปล่อยให้ห่างมือ!
กู้เหยี่ยนเลือกเป็นแหวนหยกที่ทำจากหยกเหมันต์พันปี คุณภาพดีกว่าอันก่อนหน้านี้มากนัก
กู้เสี่ยวซุ่นเอากริชที่ตัดเหล็กได้เหมือนโคลนเล่มหนึ่งมา กริชเล่มนี้เล็กกว่ากริชธรรมดาทั่วไป พกพาสะดวก สามารถใช้เป็นมีดแกะสลักอันชั้นเยี่ยมได้เลย
ทั้งสามต่างมีความสุขกันมาก!
เซวียหนิงเซียงช่วยกู้เจียวเก็บกวาดเรือนท้ายอยู่
นางมักจะมาช่วยงานอยู่เป็นประจำ เพื่อเป็นการตอบแทน กู้เจียวจะช่วยนางลงไร่ไถนา หญิงชราช่วยนางดูลูกในบางครั้ง
ที่สำคัญคือโก่วหวาไม่พูดมาก ให้ผลไม้เชื่อมเขาลูกหนึ่งเขาก็เลียไปได้ทั้งเช้าแล้ว หญิงชราจึงสบายหูนัก ย่อมรู้สึกว่าโก่วหวาเลี้ยงง่าย
ส่วนเสี่ยวจิ้งคงก็…
“ท่านย่า! ท่านขโมยผลไม้เชื่อมข้าอีกแล้ว! เจียวเจียว! ท่านย่ากินผลไม้เชื่อมอีกแล้ว! วันนี้นางกินไปห้าลูกแล้วนะ!”
เสี่ยวจิ้งคงที่เพิ่งจะฝึกวรยุทธ์เสร็จก็จับหญิงชราได้คาหนังคาเขา “ท่านย่าดื้อมากเลย! บอกว่าไม่ให้กินก็ยังจะแอบกินอยู่นั่นแหละ!”
หญิงชรามือสั่น เจ้าเณรน้อยหน้าเหม็นนี่…
วันนี้เซวียหนิงเซียงมาหาเพราะมีธุระกับกู้เจียว
“เจียวเหนียง ลุงรองของโก่วหวาส่งจดหมายมาให้ที่บ้านอีกแล้ว เจ้าช่วยข้าอ่านหน่อยสิ” เซวียหนิงเซียงส่งซองจดหมายที่พับไว้เรียบร้อยให้แก่กู้เจียว
ตั้งแต่กู้เจียวเรียนเขียนอ่านกับเซียวลิ่วหลัง เซวียหนิงเซียงก็ไม่ไปหาเซียวลิ่วหลังให้ช่วยอ่านจดหมายให้อีกเลย
กู้เจียวเปิดจดหมายออก กวาดตามองแวบหนึ่ง “เอ๋”
“เกิดอะไรขึ้น” เซวียหนิงเซียงถาม
กู้เจียวบอกว่า “อ้อ จดหมายฉบับนี้ลายมือไม่เหมือนกับก่อนหน้านี้น่ะ เหมือนว่าจะเป็นลุงรองของโก่วหวาเขียนเอง”
เซวียหนิงเซียงดวงตาเป็นประกาย “จริงรึ ลุงรองของเขาก็เขียนหนังสือเป็นเหมือนกันหรือ”
กู้เจียวมองสีหน้าท่าทางนางภูมิอกภูมิใจ แล้วอดจะบอกอีกฝ่ายไม่ได้ว่าเพราะเหตุใดจึงมองออกว่าเขาเป็นคนเขียนเอง เป็นเพราะลายมือไม่สวยเอาเสียเลย ไม่สวยเสียยิ่งกว่าลายมือที่เขียนด้วยพู่กันของนางอีก ซ้ำยังใช้คำได้อ่อนด้อยมาก ระดับประถมด้วยซ้ำ แต่ก็สามารถสื่อความหมายออกมาได้อย่างชัดเจนแจ่มแจ้งก็พอแล้ว
ในจดหมายบอกว่าลุงรองของโก่วหวาเลื่อนขั้นแล้ว ไปเป็นทหารคนสนิทใต้บังคับบัญชาของรองแม่ทัพ แม้ว่าจะเป็นแค่ทหารชั้นผู้น้อย แต่ก็สามารถติดตามท่านรองแม่ทัพได้ นับว่าเป็นเกียรติอันยิ่งใหญ่มากแล้ว
แต่ว่าแบบนี้แล้ว แผนที่จะกลับบ้านเกิดมาเยี่ยมญาติในปีนี้ก็คงต้องยกเลิกไป เพราะเขาต้องติดตามรองแม่ทัพกลับเมืองหลวงไปรายงานผลการทำงาน
“รองแม่ทัพพาทหารคนสนิทไปแค่ร้อยนาย เขาเป็นหนึ่งในนั้น เป็นโอกาสที่หาได้ยากยิ่ง” กู้เจียวบอก
ทว่าประโยคนี้กลับไม่อาจปลอบใจเซวียหนิงเซียงได้เลย เซวียหนิงเซียงสีหน้าอึมครึมขึ้น “หลังจากที่พ่อของโก่วหวาตายไป คนที่ท่านแม่รำพึงรำพันพูดถึงที่สุดคือลุงรองของโก่วหวา นางเฝ้ารอยคอยอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน เฝ้ารอให้เขากลับมาดูสักครา ได้ยินว่าปีนี้เขาอาจจะผ่านหมู่บ้านเราด้วย ท่านแม่มีความสุขมากนักเชียว ข้อเข่าเสื่อมเกือบจะหายแล้ว ยามนี้เขาก็ไม่ได้กลับมาอีก เจ้าจะให้ข้าบอกท่านแม่อย่างไร”
เซวียหนิงเซียงอายุมากกว่ากู้เจียวสองปีเท่านั้น ชาติก่อนเป็นแค่นักเรียนมัธยมปลายไม่ประสีประสาคนหนึ่ง ยามนี้กลับกลายเป็นแม่ม่าย เป็นแม่คนและยังเป็นสะใภ้อีกด้วย
กู้เจียวไม่รู้ว่าจะปลอบใจนางอย่างไร จึงได้อ่านต่อ “ลุงรองของโก่วหวายังส่งเงินมาให้เจ้าด้วยนะ บอกว่าวันเกิดเจ้าใกล้จะถึงแล้ว ให้เจ้าเอาเงินไปซื้อเครื่องประดับสองชิ้น ทั้งหมดยี่สิบตำลึง”
เซวียหนิงเซียงเอ่ยอย่างเป็นห่วง “เหตุใดเขาจึงส่งมาเยอะเช่นนี้ล่ะ เขาคงไม่ได้กินดีอยู่ดีใช่หรือไม่ เอาเงินมาให้ที่บ้านหมดเช่นนี้!”
เรื่องนี้กู้เจียวรู้ว่าจะปลอบนางอย่างไร “เจ้าวางใจเถอะ เขาอยู่ในค่ายทหารไม่มีวันอดตายหรอก ก็แค่ไม่รู้จะไปใช้เงินที่ไหน จึงได้ส่งกลับมาให้หมดเลย”
เซวียหนิงเซียงวางใจลงมาได้เล็กน้อย
กู้เจียวอ่านต่อ “ลุงรองของโก่วหวาบอกว่าไม่อยากให้เจ้าทำไร่ไถนาแล้ว เงินที่เขาให้นั้นเพียงพอให้เจ้ากับแม่เจ้าล้วก็โก่วหวาใช้จ่าย เจ้าเอาที่ไปปล่อยเช่าให้พวกคนในหมู่บ้านปลูกผักราคาถูกๆ ได้”
เซวียหนิงเซียงรีบเอ่ยทันที “จะทำแบบนั้นได้อย่างไร เงินพวกนี้ต้องเก็บสะสมไว้ ต่อไปให้เขาเอาไปสู่ขอภรรยา!”
กู้เจียวคิดในใจว่า ชายคนหนึ่งต้องการซื้อเครื่องประดับให้เจ้า เจ้าไม่มีความคิดอื่นเลยจริงๆ น่ะหรือ
หลังมื้อกลางวันเสร็จสิ้น เซวียหนิงเซียงก็ไปถอนเงินที่เฉียนจวง โก่วหวากอดขานางไว้ไม่ปล่อย เซวียหนิงเซียงหมดหนทาง จำต้องพาโก่วหวาไปด้วย
คนที่เฉียนจวงไม่เยอะ เซวียหนิงเซียงรออยู่ครู่เดียวก็ได้เงินยี่สิบตำลึงมาแล้ว นางเอาเงินซ่อนไว้ในห่อผ้าให้ดี แล้วแบกโก่วหวาขึ้นหลัง หอบห่อผ้าไว้ในอ้อมอก
ออกมาจากเฉียนจวงนางก็ถูกชายหนุ่มที่แต่งตัวเหมือนบัณฑิตชนเข้า
“มีตาหรือไม่น่ะ เดินประสาอะไร” บัณฑิตคนนั้นตบแขนเซวียหนิงเซียงอย่างรำคาญ
เซวียหนิงเซียงกล่าวขอโทษอย่างอับอาย “ขออภัยเจ้าค่ะ ขออภัยเจ้าค่ะ…”
สหายของบัณฑิตเอ่ยว่า “ช่างเถอะน่า อย่าไปสนใจนางเลย ยังต้องรีบไปสอบอีกนะ ชักช้าไปจะชดใช้ไม่ไหว”
พอได้ยินคำว่าชดใช้ เซวียหนิงเซียงก็หน้าซีดเผือด
โชคดีที่บัณฑิตถูกสหายโน้มน้าวให้จากไปแล้ว เซวียหนิงเซียงพรูลมหายใจออกมายาวเหยียด แต่เพียงไม่นานนางก็พบว่าห่อผ้านางแปลกๆ คล้ายว่ามันเบาลงไปมาก
นางรีบสอดมือไปคลำดู ทันใดนั้นก็ตื่นตะลึงโดยพลัน
เงินยี่สิบตำลึงของนางหายเกลี้ยงเลย!
เซวียหนิงเซียงนึกถึงบัณฑิตเมื่อครู่นี้ แววตาพลันเปลี่ยน นางตามไปทันที “ช้าก่อน!”
ชายหนุ่มสองคนชะงักฝีเท้า
บัณฑิตที่ชนนางหันหน้ากลับมามองนางด้วยสีหน้ารำคาญ “ทำอะไรน่ะ”
เซวียหนิงเซียงเรียกความกล้าก่อนเอ่ยว่า “พะ…พวกเจ้าขโมยเงินข้า!”
“ว่าอย่างไรนะ” บัณฑิตคนนั้นสีหน้าแปลกประหลาด ซ้ำยังมีความอับอายที่โดนคนใส่ร้ายแฝงไว้ด้วย
เซวียหนิงเซียงเดิมทีก็เป็นประเภทพาลใส่คนในบ้านแต่ไม่กล้าพาลใส่คนอื่น รังแกคนอ่อนแอกว่าและกลัวคนแข็งแรงกว่าอยู่แล้ว ให้นางปะทะกันกับชายสองคนจริงๆ นางค่อนข้างกลัวไม่น้อย แต่นั่นมันเงินยี่สิบตำลึงเชียวนะ เงินก้อนใหญ่เพียงนั้น ลุงรองของโก่วหวาเขาได้มาด้วยชีวิต นางไม่อาจให้คนขโมยไปได้!
“จะ…เจ้านั่นแหละ!” นางฝืนเรียกความกล้าให้ตัวเอง “ข้าเพิ่งออกมาจากเฉียนจวง ระหว่างทางก็หอบเอาไว้อย่างแน่นหนา มีแค่เมื่อครู่นี้ที่ถูกเจ้าชนเข้า…เงินก็หายไปแล้ว!”
บัณฑิตถลกแขนเสื้อขึ้นเริ่มโมโหแล้ว สหายดึงเขาเอาไว้ “เจ้าทำอะไรน่ะ เหตุใดต้องมาถือสาหาความกับสตรีออกเรือนที่ไม่รู้อีโหน่อีเหน่คนหนึ่งด้วย”
บัณฑิตแค่นเสียง “ข้าไม่ใช่คนที่ถือสาหาความเสียหน่อย แต่เป็นคนอื่นที่ใส่ร้ายข้า!”
สหายถอนใจเอ่ยว่า “ช่างเถอะ การสอบสำคัญกว่า อย่าไปสนใจนางเลย”
“เห็นแก่หน้าเจ้าข้าจะไม่ฟ้องร้อง!” บัณฑิตแค่นเสียงเฮอะอย่างเย็นชา แล้วหันหลังจากไปพร้อมกับสหาย
เซวียหนิงเซียงฝีเท้าราวกับธนูพุ่งไปคว้าแขนบัณฑิตเอาไว้ “เจ้าคืนเงินข้ามานะ!”
“เจ้าบ้าไปแล้วหรือ!” บัณฑิตโมโหจนกระทืบเท้า แล้วสะบัดมือนางทิ้ง
เซวียหนิงเซียงโผเข้าไปหาอีก
ทั้งสองยื้อยุดฉุดกระชากกันไปมา พวกชาวบ้านต่างพากันมารุมล้อม
บัณฑิตเอ่ยด้วยความแค้นเคืองต่อคววามไม่เป็นธรรมว่า “เจ้าบอกว่าข้าขโมยเงินเจ้า เจ้าก็เอาหลักฐานออกมาดูสิ หากเจ้ายังมาใส่ร้ายข้า ข้าจะฟ้องทางการ! เห็นเจ้าเป็นสตรีออกเรือน ซ้ำยังแบกลูกไว้ ก็นึกว่าเจ้าจะซื่อๆ ดันมาพาลูกทำเรื่องต่ำทรามพรรค์นี้เสียได้ ไม่รู้สึกอายบ้างหรือไร”