สามีข้าคือขุนนางใหญ่ - บทที่ 127.2 ล้อมวง (2)
งานของหญิงชราไม่ได้น่าทำขนาดนั้น ครั้นจะไปของานกับพี่เขย เขาก็เขียนหนังสือไม่เป็น ส่วนงานของกู้เสี่ยวซุ่น เขาเองทำงานแกะสลักไม่ได้ ความหวังเดียวของเขาก็คือจิ้งคง
จิ้งคงได้เงินค่าเช่าสามสิบตำลึงทุกเดือน เรียกได้ว่าเป็นเศรษฐีน้อยประจำตระกูล
ดังนั้น วิธีหาเงินของกู้เหยี่ยนก็คือ
ให้อาหารไก่ของจิ้งคง ห้าสลึงทองแดง!
พาไก่ของจิ้งคงไปเดินเล่น ห้าสลึงทองแดง
ล้างเล้าไก่ ห้าสลึงทองแดง
เอ่ยยกยอปอปั้นจิ้งคงวันละประโยค สิบสลึงทองแดง!
เป็นเวลาสิบวัน กู้เหยี่ยนได้เงินมาทั้งหมดสองร้อยห้าสิบสลึงทองแดง
เดิมทีเขากะว่าจะซื้อสร้อยไข่มุกให้นาง แต่เงินไม่พอ เลยเลือกเป็นเชือกข้อมือที่ประดับด้วยหินหยก
ที่จริง ต่อให้หลับตาหยิบของอะไรก็ได้สักชิ้นในห้องของกู้เหยี่ยนมาก็ยังมีมูลค่ามากกว่าเชือกข้อมือนี้เสียอีก แต่ทำอย่างไรได้ เขาตั้งใจทำงานหาเงินเพื่อซื้อให้นางจริงๆ
กู้เจียวใส่มันไว้ที่ข้อมือ มองด้วยความพอใจ
นางเองก็เตรียมของขวัญไว้ให้กู้เหยี่ยนด้วย แต่กู้เหยี่ยนไม่ยอมเปิดให้ทุกคนดู ตั้งใจจะให้ตัวเองเห็นคนเดียว!
นั่นทำให้จิ้งคงร้อนใจ เขาอยากรู้ว่าเจียวเจียวมอบอะไรให้กู้เหยี่ยนเป็นของขวัญ!
“ท่านย่า ของขวัญข้าล่ะ” กู้เหยี่ยนเอ่ยทวง
“ไม่มี!” หญิงชราเบือนหน้าหนี
กู้เหยี่ยนเอ่ยค้อน “ข้าเห็นหมดแล้วน่า ว่าท่านแอบทำของขวัญให้พวกเรา!”
กู้เจียวหันหน้าไปทางหญิงชรา
หญิงชราทำหน้าไม่พอใจ พลางคว้ากระเป๋าใบเล็กๆ ขึ้น จากนั้นก็เบือนหน้าหนีขึ้นไปมองเพดาน “ข้าก็ทำไปอย่างนั้นแหละ!”
กู้เจียวหยิบกระเป๋าขึ้นมาดู
จิ้งคงเองก็กระเถิบเข้ามาดูใกล้ๆ แล้วโพล่งออกมา “โอ้โห! ท่านย่า! ปักลายเป็ดน้อยก็เป็นด้วยรึนี่!”
เป็ดน้อยอะไรกัน นั่นมันหงส์ต่างหาก!
หงส์ตัวแรกคือพี่สาวเจ้า! อีกตัวคือพี่เขยเจ้า! แถมมีไข่เป็ด…ไม่สิ ไข่หงส์ด้วย!
เจ้าเณรน้อยนี่ตาไม่ถึงเอาเสียเลย!
ที่จริง หญิงชราไม่ใช่คนที่ถนัดงานเย็บปักถักร้อยเสียทีเดียว
ที่นางปักรูปไข่ลงไปเยอะขนาดนั้น เป็นเพราะนางปักหงส์ไม่ได้รูป เลยทำออกมาเป็นรูปไข่แทน
จะว่าไปแล้ว กระเป๋าของกู้เจียวเองก็เก่าแล้ว ถึงเวลาเปลี่ยนใบใหม่เสียที
เห็นหญิงชราทำท่าไม่สนโลกแบบนี้ แท้จริงนางเป็นคนละเอียดอ่อนมากเลยทีเดียว
กู้เจียวยิ้มอ่อนให้หนึ่งที พลางเอ่ย “ขอบพระคุณเป็นอย่างยิ่ง”
แม้กระเป๋าจะเย็บออกมาไม่สวย แต่ใช้งานได้จริง หญิงชราเย็บช่องใส่ของในกระเป๋าไว้สำหรับแบ่งใส่ธนบัตร เศษเหรียญ เศษสตางค์ รวมถึงของกระจุกกระจิกต่างๆ แถมยังใช้ไหมพรมเย็บไว้บริเวณรอบนอกเพิ่มอีกด้วย
คนปกติที่ไหนจะละเอียดได้ขนาดนี้
นี่เป็นความเอ็นดูของหญิงชราที่มีต่อกู้เจียว
ส่วนแม่นางเหยาเย็บเสื้อให้เด็กๆ ทั้งสอง
ตั้งแต่ที่กู้เจียวมาอยู่ที่เมืองหลวง นางก็ไม่ต้องขึ้นเขาเก็บฟืนอีกต่อไป แม่นางเหยาจึงทำชุดที่เหมาะสำหรับทำงานบ้านงานเรือนให้นาง ส่วนอีกตัวเป็นชุดกระโปรงปักดิ้นสวยงามไว้ใช้สำหรับออกงาน
ยังมีของขวัญอีกกล่อง จากท่านโหวกู้และผองพี่ชายที่จวน ทั้งสองคนไม่ได้เปิดกล่องนั้นแต่อย่างใด
สุดท้าย ของขวัญจากเซียวลิ่วหลัง
ทุกคนทำท่าลุ้น
เขามักจะมอบพู่กันไม่ก็กระดาษเป็นของขวัญ ทุกคนดูเหมือนจะเดาได้ว่าปีนี้เขาจะมอบอะไรให้ หรือว่าจะเป็นกระดาษแปะผนังกันอีกนะ
เซียวลิ่วหลังหยิบกล่องไม้ขึ้นมา
กู้เจียวเปิดกล่องออกท่ามกลางสายตาคาดหวังจากทุกคน
แล้วก็เป็นกระดาษแปะผนังจริงๆ!!!
กู้เจียว “……”
รวมถึงทุกคน “……”
ทว่าคำที่อยู่บนนั้นไม่ใช่คำธรรมดาทั่วไป ครั้งนี้เป็นกลอนบทหนึ่ง
กู้เจียวรู้สึกได้ว่าจะต้องเป็นกลอนที่ดีแน่ๆ แม้นางจะไม่รู้ความหมายของมันก็ตาม
กู้เจียวค่อยๆ คลี่ม้วนกระดาษออกมาอย่างเบามือ เซียวลิ่วหลังคาดไม่ถึงว่านางจะคลี่มันออกมาต่อหน้าทุกคน เลยออกอาการตื่นเต้นขึ้นมา
พอกู้เจียวคลี่มาจนถึงม้วนสุดท้าย ก็พบว่าที่ก้นกล่องมีปิ่นปักผมทำจากหยกขาว
เอ๋
กู้เจียวเบิกตาโต
คนเย็นชาอย่างเขามอบปิ่นปักผมให้เป็นของขวัญจริงๆ รึนี่
กู้เจียวไม่รู้ว่าการให้ปิ่นปักผมมีนัยแฝงอย่างไร ในแคว้นเจา เมื่อเด็กหญิงมีอายุครบสิบห้าปีก็จะต้องให้ผู้หลักผู้ใหญ่ของตระกูลทำพิธีปักผมให้ เป็นการแสดงออกว่าเด็กผู้หญิงกำลังจะเข้าสู่วัยผู้ใหญ่และอยู่ในช่วงอายุที่เหมาะสมกับการออกเรือน
แต่ถ้าหากออกเรือนตั้งแต่วัยยังไม่ครบสิบห้า ก็สามารถทำพิธีปักผมในวันออกเรือนได้เช่นกัน
ตอนที่กู้เจียวแต่งงาน นางไม่ได้ทำพิธีนี้ เพราะพวกตระกูลกู้ไม่ยอม ทำให้เซียวลิ่วหลังรู้สึกค้างคาใจกับเรื่องนี้มาโดยตลอด
พอแม่นางเหยาเห็นว่าลูกเขยของตนมอบปิ่นปักผมนี้ให้ ก็กระจ่างทันทีว่าเกิดอะไรขึ้น นางเข้าใจมาตลอดว่าลูกสาวตัวเองได้ทำพิธีปักผมไปแล้ว เลยมองว่าวันนี้เป็นแค่วันเกิดทั่วๆ ไป
ลูกเขยคนนี้ ช่างใส่ใจเสียจริง
ในตอนนี้ กู้เจียวเข้าใจแล้วว่าที่ผ่านมาทำไมเขาไม่เคยให้ปิ่นปักผมกับนางเป็นของขวัญเลย ที่แท้เพราะเป็นเรื่องละเอียดอ่อนเช่นนี้นี่เอง
หากยังไม่ผ่านพิธี ก็มิอาจใช้ปิ่นปักผมได้
แม่นางเหยาเริ่มน้ำตาคลอเบ้า “มา เจียวเจียว ข้าหวีผมให้เจ้า”
แม่นางเหยาและหญิงชราช่วยกันเกล้าผมให้กู้เจียว และพิธีปิ่นปักผมก็เป็นอันเสร็จสิ้นโดยมีสมาชิกทุกคนในเรือนเป็นสักขีพยาน
และแล้วก็มาถึงช่วงพลบค่ำ พระจันทร์ลอยขึ้นฟ้า
ตรอกซอยและถนนหนแห่งเต็มไปด้วยเสียงเกือกม้า
กู้ฉังชิงควบม้ามาหยุดตรงหน้าตรอกเล็กๆ อันเงียบสงัด จากนั้นกระโดดลงจากม้า แล้วค่อยๆ เดินเข้าไปในตรอก
และมาหยุดอยู่ที่หน้าเรือนอันคุ้นเคย
ประตูเรือนถูกแง้มออกครึ่งหนึ่ง เสียงหัวเราะของหญิงสาวและเด็กน้อยดังลอดออกมา ตามด้วยเสียงของเด็กหนุ่ม เต็มไปด้วยบรรยากาศความรื่นเริง
กู้ฉังชิงยืนลังเลอยู่นาน สุดท้ายตัดสินใจไม่เข้าไป เดินมุ่งหน้ากลับไปยังม้าของตัวเอง
แต่ทันใดนั้น จิ้งคงน้อยวิ่งออกมาจากในเรือน แล้วเบียดประตูออกมา “นั่นท่านพี่ใหญ่ใช่หรือไม่!”
กู้ฉังชิงหันมาทางต้นเสียง “…ข้าเอง”
“จิ้งคง ใครมารึ” แม่นางเหยาเปิดประตูออก พอเห็นว่าเป็นกู้ฉังชิง แม่นางเหยาก็ถึงกับยิ้มไม่หุบ
กู้ฉังชิงเองพอเห็นว่าเป็นแม่นางเหยาเดินออกมาจากในเรือนก็ตกใจไม่น้อย แถมยังตกใจกับรอยยิ้มที่นางส่งมาให้ตนอีกด้วย
เขาแค่รู้สึกคาดไม่ถึงว่าจะได้เห็นแม่นางเหยาในมุมแบบนี้ ช่างดูไร้เดียงสาราวกับเด็กน้อยยิ่งนัก
“เจ้า…” แม่นางเหยาพูดไม่ออก
จิ้งคงน้อยหันไปมองกู้ฉังชิง แล้วก็มองที่แม่นางเหยา จึงเอ่ยถามด้วยความสงสัย “โยมเหยา พวกท่านรู้จักกันรึ”
“โยมรึ” คนทั่วไปไม่เรียกกันแบบนี้ จะเว้นก็แต่พระที่เรียกแบบนี้ได้ กู้ฉังชิงทำหน้างุนงงพลางหันไปหาจิ้งคง “เจ้าเป็นพระรึ”
จิ้งคงเลยอธิบายให้เขาฟัง “ข้าเป็นพระมาก่อนที่จะลงจากเขา! แต่ตอนนี้ไม่ใช่แล้ว! โยมเหยาเป็นแขกประจำของวัด! ข้าเลยได้เจอกับนางบ่อยๆ! เรียกได้ว่าเป็นคนคุ้นเคยก็แล้วกัน! ว่าแต่ ท่านพี่ใหญ่ก็มาฉลองวันเกิดให้เจียวเจียวด้วยเหมือนกันรึ”
จิ้งคงสาธยายเรื่องของตัวเองให้ฟัง แต่สำหรับกู้ฉังชิงแล้ว กลับคิดว่าพวกเขาเป็นแค่เพื่อนธรรมดาเท่านั้น
ช่างบังเอิญจริงๆ ที่พวกเรารู้จักคนคนเดียวกัน
กู้ฉังชิงเอ่ยด้วยท่าทีตรงไปตรงมา “เปล่าหรอก ข้าแค่ผ่านมาแถวนี้น่ะ เจ้าชอบนกไหม”
จิ้งคงน้อยเอียงหัวทำท่าครุ่นคิดอยู่พัก “ชอบสิ!”
กู้ฉังชิงเดินไปหยิบกรงนกที่แขวนไว้ตรงอานมา แล้วยื่นให้จิ้งคง “อ่ะ ข้าให้เจ้า”
เอ่ยจบ เขาก็กระโดดขึ้นม้าแล้วพุ่งตัวออกไปอย่างไม่หันหลังกลับ
“ขอบใจท่านมากเลยพี่ใหญ่” จิ้งคงน้อยยืนโบกมือพลางมองตามเงาของพี่ใหญ่และม้าที่พุ่งตัวลู่ลมออกไป