สามีข้าคือขุนนางใหญ่ - บทที่ 160.2 เปิดเผย (2)
แม่นางเฮ่อเอ่ยต่ออย่างเคอะเขิน “ท่านชายรองก็ได้…ท่านชายสามก็ดี…ท่านชายสามก็ได้ไหม”
แม่นางเหยาเอ่ยเสียงแข็ง “เจ้ามีสิทธิ์อะไรมาทำเป็นเลือกท่านชายของจวนติ้งอันโหว”
ไม่ใช่ว่าแม่นางเหยาพูดปกป้องท่านชายสามคนนั้นแต่อย่างใด แต่เป็นเพราะเดิมทีทั้งสองตระกูลไม่ได้สมน้ำสมเนื้อกันตั้งแต่แรก ลำพังตัวเองแต่งเข้าจวนโหวก็โดนเหล่าฮูหยินรังเกียจจะแย่ แล้วนี่จะให้เหยาซินเข้าไปเป็นภรรยาหลวงของทายาทติ้นอันโหวเนี่ยนะ
จะเรียกว่าเป็นการช่วยเหลือ หรือเรียกว่าเป็นการส่งให้ไปตายด้วยน้ำมือของเหล่าฮูหยินดี
แม่นางเฮ่อเริ่มแสดงอาการเอาแต่ใจอีกครั้ง “เจ้าเองก็แต่งเข้าจวนโหวมิใช่รึ แถมตอนนั้นเจ้ายังหมั้นหมายกับคนอื่นไว้แล้วด้วย! ไม่เหมือนกับเหยาซินที่เป็นผู้บริสุทธิ์ผุดผ่อง ในเมื่อท่านโหวสนใจแม่นางเหยา ไฉนซื่อจื่อจะมาสนใจเหยาซินมิได้ หน้าตาก็พิมพ์เดียวกันนี่ล่ะ หรือจะบอกว่าเหยาซินหน้าตาไม่ดีเท่าเจ้าอย่างนั้นรึ”
บอกว่าตนไม่บริสุทธิ์ ใช้ความสวยล่อลวง จนได้แต่งเข้าจวนโหวอย่างนั้นรึ…
ดี ก็ดี!
แม่นางเหยาสูดหายใจลึกก่อนเอ่ยถามคนตรงหน้า “คำพูดพวกนี้มาจากพี่สะใภ้เอง หรือว่าท่านแม่เป็นคนพูดล่ะ”
แม่นางเฮ่อเงียบไป
พลางคิดในใจ คำพูดพวกนี้แน่นอนว่าเป็นความคิดของนางกับฮูหยิน เพียงแต่ฮูหยินไม่อยากให้นางพูดเท่านั้นเอง
แม่นางเหยาเริ่มเข้าใจทุกอย่างแล้ว
เปลี่ยนงั้นรึ
มองโลกในแง่ดีเกินไปแล้วสิเรา
เดิมแม่นางเหยาวางแผนว่าจะอยู่ทานข้าวเย็นก่อนค่อยกลับ แต่ตอนนี้นางทนไม่ไหวอีกต่อไปแล้ว
“เจียวเจียว กลับจวนกัน”
“ตกลง” กู้เจียวไม่ถามไถ่ว่าทำไม กู้เหยี่ยนเองก็เช่นกัน
เหล่าฮูหยินเหยาพยายามเดินตามแม่นางเหยาขณะที่บ่าวคอยรั้งไว้ จากนั้นก็ต่อว่าแม่นางเฮ่อยกใหญ่ แล้วบอกกับแม่นางเหยาว่าอย่าถือสาแม่นางเฮ่อ ก่อนจะมอบกล่องของขวัญที่เตรียมไว้ให้เด็กๆ
กู้เหยี่ยนหัวเราะอย่างเยือกเย็น ก่อนจะเปิดกล่องของตนและกู้เจียวต่อหน้าทุกคน
ในนั้นเป็นของว่างเหมือนๆ กัน แต่กล่องของกู้เหยี่ยนกลับมีซองแดงอยู่ในนั้น
ในขณะที่ในกล่องของกู้เจียวกลับไม่มีซองแดงปรากฏ
ของจิ้งคงเองก็เช่นกัน
ส่วนกล่องที่ฝากให้แม่นางเหยามอบให้กู้จิ่นอวี๋เองก็มีซองแดงเหมือนกัน
แม่นางเหยาโกรธจนหน้าซีด
ด้วยความที่เสี่ยงจิ้งคงกำลังหลับอยู่ กู้เหยี่ยนเลยคร้านจะหาเรื่องด้วย
เขาจึงโยนกล่องของจิ้งคงลงไปในแม่น้ำ!
รวมถึงกล่องของกู้จิ่นอวี๋ด้วย
คิดจะประจบก็เข้าไปประจบเองสิ อย่าริอาจมายืมมือพวกเขาเด็ดขาด!
…
ระหว่างทางกลับ กู้เหยี่ยนเองก็ผล็อยหลับไป
เขาหนุนหัวที่ตักของแม่นางเหยา ส่วนเสี่ยงจิ้งคงนั้นยังหลับอยู่ในอ้อมอกของกู้เจียว
“เจียวเจียว ขอโทษด้วยนะ วันนี้ข้าไม่ควรพาเจ้ามาที่นี่” แม่นางเหยารู้สึกผิด
“ข้าว่าดีออก” กู้เจียวเอ่ย
“เอ๋”
“ข้าเคยสงสัยว่าฮูหยินเติบโตมาในสภาพแวดล้อมแบบใด พอวันนี้ ข้าได้มาเห็นแล้ว”
“เจียวเจียว…สงสัยข้างั้นรึ เหตุใดเล่า”
“ข้าเองก็ไม่แน่ใจ ก็แค่รู้สึกสงสัย อยากรู้ว่าอดีตของฮูหยินเป็นอย่างไร อีกทั้งอยากรู้ว่าแต่ละวันใช้ชีวิตอย่างไร”
แม่นางเหยาเอามือป้องปากราวกับไม่อยากเชื่อในสิ่งที่เพิ่งได้ยิน
นี่เจียวเจียวของนางกำลังสนใจนางงั้นรึ
“เจียวเจียว…”
“ฮูหยินเสียใจหรือไม่ที่แต่งงานกับท่านโหวกู้”
ตอนที่แม่นางเหยามีปากเสียงกับแม่นางเฮ่อ กู้เจียวยืนอยู่ตรงสวนด้านนอกในระยะไม่ไกล เลยพอได้ยินบ้าง
แม่นางเหยาตอบอย่างไม่ลังเล “ไม่เสียใจหรอก”
“เพราะอะไรหรือ”
แม่นางเหยาก้มดูกู้เหยี่ยนที่กำลังหลับปุ๋ยพลางเอามือลูบใบหน้าของเขา “หากข้าไม่ได้แต่งงานกับท่านโหวกู้ ข้าก็คงไม่มีเจ้าและกู้เหยี่ยน พวกเจ้าคือของขวัญที่ล้ำค่าที่สุดในชีวิตของข้า”
กู้เจียวไม่เข้าใจความรู้สึกเช่นนี้
เพราะเหตุการณ์ในวัยเด็ก ทำให้กู้เจียวปิดกั้นความรู้สึกของตัวเอง เป็นวิธีการป้องกันตัวเพื่อไม่ให้ตัวเองถูกทำร้ายจากความเจ็บปวดที่ผู้เป็นพ่อแม่นำมาให้
แต่ในขณะเดียวกันก็ทำให้นางสูญเสียวิธีการรับมือทางด้านอารมณ์เช่นกัน
ในโลกของนาง ชอบเป็นชอบ เกลียดเป็นเกลียด มีแต่ขาวกับดำเท่านั้น
แต่สำหรับแม่นางเหยาแล้ว โลกของนางดูจะเป็นสีเทาเสียมากกว่า ต้องแต่งงานกับคนที่ไม่ได้รักเพื่อให้กำเนิดคนที่นางรักมากที่สุด
แม่นางเหยาเกิดหลุดขำพอได้เห็นสีหน้ามึนงงของกู้เจียว
พลางคิดในใจ ลูกสาวตนช่างน่ารักและเอาใจใส่ยิ่งนัก
ความรู้สึกขุ่นเคืองในใจที่เกิดขึ้นก็พลันหายไป
แม่นางเหยาส่งเด็กๆ สามคนที่ตรอกปี้สุ่ย ก่อนจะกลับไปที่จวน
กู้จิ่นอวี๋อยู่ในวังกับซูเฟยทั้งวัน แล้วกลับมายังจวนตอนฟ้ามืด
…
อีกไม่ถึงสิบวันก็จะเป็นวันสิ้นปีแล้ว สำนักบัณฑิตชิงเหอปิดเทอม ส่วนที่กั๋วจื่อเจียน ชั้นเรียนปฐมวัยยังมีเรียนอีกหนึ่งวัน ส่วนชั้นเรียนบัณฑิตยังต้องเรียนอีกสามวัน
กู้เจียวเดินทางไปยังโรงหมอแต่เช้าตรู่
ส่วนหญิงชรากำลังเล่นโกะกับชาวบ้านละแวกนั้น โดยมีจี้จิ่วยืนอยู่ข้างๆ ที่กำลังทำหน้าบูดบึ้งก่อนจะควักเงินค่าน้ำชาออกมา
ส่วนกู้เสี่ยวซุ่นก็กำลังง่วนอยู่กับการแกะสลักไม้
กู้เหยี่ยนเดินย่องออกมาหน้าเรือน ชำเลืองดูซ้ายดูขวาอยู่ตรงหน้าประตู สักพักก็ขยับไปที่บริเวณหน้าตรอก แล้วทำท่าชะเง้อมองซ้ายมองขวา
สุดตรอกเป็นจุดที่เชื่อมกับถนนฉางอัน
ผู้คนเดินขวักไขว่ไปมาราวกระแสน้ำที่ไหลไม่หยุด ประตูหน้าต่างตามร้านค้าต่างประดับประดาด้วยแผ่นป้ายติดประตูหรือตุ้ยเหลียนสีแดงและคำอวยพร สมกับเป็นบรรยากาศอันสดใสที่เกิดขึ้นในช่วงเฉลิมฉลองปีใหม่
ขณะที่กู้เหยี่ยนกำลังด้อมๆ มองๆ อยู่นั้น จู่ๆ ก็มีเงาของร่างสูงใหญ่ปรากฏขึ้นทางด้านหลัง
“เจ้าทำอะไรอยู่รึ”
เป็นเสียงของกู้ฉังชิง
เขาแต่งกายด้วยเสื้อขนสัตว์ราคาแพง นั่งบนหลังม้า แลดูภูมิฐานและสง่างามยิ่งนัก
กู้เหยี่ยนตกใจจนสะดุ้ง หันหลังไปมอง ก็แทบเก็บอาการไม่อยู่ “ข้าไม่ได้มารอเจ้าสักหน่อย!”
กู้ฉังชิง “…”
กู้ฉังชิงเห็นว่าเขาแอบอะไรไว้ด้านหลัง จึงเอ่ยถาม “ถืออะไรไว้รึ”
กู้เหยี่ยนสองจิตสองใจอยู่พัก แต่สุดท้ายก็ยอมเฉลย แล้วยื่นของในมือให้คนตรงหน้า “อะ ให้เจ้า”
กู้ฉังชิงรับมา
เป็นหุ่นไม้แกะสลัก
หากให้ดูว่าแกะสลักเป็นรูปอะไรนั้น…เขาเองก็ไม่แน่ใจ
กู้ฉังชิงเอ่ยถาม “นี่หุ่นรูปลิงรึ”
กู้เหยี่ยนตีโพยตีพาย “ลิงเลิงอะไรกัน เจ้าแหกตาดูสิ! ลิงที่ไหนดูดีขนาดนี้!”
นี่เขาล้อเล่นอยู่ใช่ไหม ตนอุตส่าห์เรียนแกะสลักไม้กับกู้เสี่ยวซุ่นอยู่หลายวันหลายคืนจนมือไม้บวมซ้ำยังเป็นแผลเลือดออกอีกต่างหาก!
มาบอกว่าเขาเป็นลิงได้อย่างไรกัน!
เจ้าบ้านี่ มีตาหามีแววไม่!