สามีข้าคือขุนนางใหญ่ - บทที่ 172 สารเลว
เรื่องสะพานเชือกพังนั้นแพร่สะพัดไปอย่างรวดเร็วในหมู่ชาวบ้าน แม้แต่หญิงชรากับจี้จิ่วอาวุโสยังรู้
แต่เด็กๆ ของพวกนางไม่เป็นอะไร ทั้งสองจึงไม่ได้สืบสาวให้มากความ
เดือนหน้าก็เป็นการสอบประจำฤดูใบไม้ผลิแล้ว แม้ว่ากั๋วจื่อเจียนจะปิดภาคเรียน แต่กู้เจียวก็ไปคุมสามีตัวเองอ่านหนังสือทุกวี่ทุกวัน
เซียวลิ่วหลังที่ถูกกดอยู่ในห้องหนังสือ…ขมขื่นแต่ไม่อาจพูดได้!
วันที่สิบหรือก็คือวันนี้กู้เจียวไปจวนโหวมารอบหนึ่ง
นางไม่ได้บอกแม่นางเหยาว่าที่บ้านเกิดเรื่องอกสั่นขวัญหายขึ้น แม่นมฝางที่มาที่ตรอกป้าสุ่ยอยู่เป็นระยะกลับพอจะรู้อยู่บ้าง กู้เจียวจึงบอกให้นางไม่ต้องพูดอะไร
แม่นมฝางยามนี้เชื่อฟังกู้เจียวมากขึ้นเรื่อยๆ นางไม่ได้เอ่ยอะไรสักคำจริงๆ
อาการของแม่นางเหยาไม่เลว
กู้เจียวใคร่ครวญว่าหากเป็นเช่นนี้ต่อไป เพียงไม่นานก็สามารถหยุดยาแก้ซึมเศร้าได้แล้ว
“ดอกไม้ในสวนเหมยบานแล้ว พวกเราไปเดินเล่นที่สวนเหมยกันดีกว่า” แม่นางเหยาบอกลูกสาว
กู้เจียวส่งเสียงขานรับคำหนึ่ง “เจ้าค่ะ”
นางหยุดเว้นไป ไม่รู้ว่าคิดอะไรอยู่จึงเอ่ยกับแม่นมฝางว่า “เรียกกู้จิ่นอวี๋อวี้มาที”
“หา” แม่นมฝางชะงัก
คุณหนูใหญ่มักจะไม่ลงรอยกันกับคุณหนูรองมิใช่หรือ เหตุใดจู่ๆ จึงให้เรียกนางมาเล่า
แม่นางเหยามองลูกสาวอย่างแปลกใจเช่นกัน จากนั้นจึงเอ่ยกับแม่นมฝางว่า “ไปเถอะ”
“เจ้าค่ะ” แม่นมฝางไปที่เรือนกู้จิ่นอวี๋้
ได้ยินว่าแม่นางเหยากับกู้เจียวเรียกนางให้ไปเดินเล่นที่สวนเหมย นางไม่ได้เอ่ยคำใด ผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วไปเลย
ระยะนี้ในหมู่ชาวบ้านมีเรื่องสะพานขาดออกมาเป็นระยะ วังหลังสงบสุขกว่าเมื่อก่อนแล้ว ซูเฟยจะเรียกนางเข้าวังไปอยู่เป็นเพื่อนในช่วงนี้ทุกปี แต่ปีนี้กลับต่างออกไป
นางมาถึงสวนเหมย
เห็นแม่นางเหยากับกู้เจียวนั่งด้วยกันอย่างสนิทสนม ในใจก็ปวดร้าว แต่สีหน้ากลับแย้มยิ้มเดินเข้าไปหา “ท่านแม่ ท่านพี่!”
สายตาแม่นางเหยาตกลงบนเสื้อกันหนาวตัวบางของนาง ก่อนจะทักขึ้นว่า “เหตุใดจึงสวมน้อยชิ้นออกมาเช่นนี้ ไม่กลัวหนาวหรือ สาวใช้ของเจ้ารับใช้เจ้าอย่างไรกัน”
กู้จิ่นอวี๋้หัวเราะออกมาอย่างใสซื่อบริสุทธิ์ “ข้ารีบร้อนมาพบท่านแม่กับท่านพี่เกินไป พอตื่นเต้นก็ลืมเสียสนิท”
แม่นางเหยารีบให้คนรับใช้ไปเอาเสื้อกันลมมาคลุมให้นาง
กู้จิ่นอวี๋้มองไปยังกู้เจียวแล้วเอ่ยอย่างอ่อนโยนสนิทสนมว่า “ที่แท้ท่านพี่ก็ชอบดอกเหมยนี่เองหรอกรึ”
“อืม” กู้เจียวขานรับแบบขอไปที
กู้จิ่นอวี๋้เอ่ยขึ้นอีกว่า “เช่นนั้นข้าเด็ดให้สองสามดอก อีกเดี๋ยวเอาไปปักแจกันให้ท่านพี่”
“ไม่ต้องหรอก” ไม่ได้ชอบจริงๆ เสียหน่อย
แม่นางเหยาเดินไปได้พักหนึ่งก็เดินไม่ไหวแล้ว
นางเห็นสองพี่น้องสนอกสนใจกันไม่น้อย จึงเอ่ยกับทั้งสองว่าต่อ “ข้าจะไปนั่งพักในศาลาสักเดี๋ยว พวกเจ้าเดินชมของพวกเจ้าไป ไม่ต้องสนใจข้า”
กู้จิ่นอวี๋้คิดว่ากู้เจียวจะปฏิเสธ อย่างไรเสียกู้เจียวก็ไม่ชอบอยู่ด้วยกันกับนางมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว
ทว่ากู้เจียวกลับไม่ปฏิเสธ
กู้เจียวเดินไปข้างหน้าอย่างเงียบๆ
กู้จิ่นอวี๋้ค่อนข้างมึนงง
พี่สาวคนนี้วันนี้กินยาผิดหรือไร
นางเดินตามอย่างสงสัย
กู้เจียวเดินทอดน่องจนออกจากสวนเหมย
“ท่านพี่จะไปไหนหรือ” กู้จิ่นอวี๋้ยิ้มถาม
“เดินไปเรื่อยๆ” กู้เจียวบอก
เอ่ยถึงเรื่องนี้ ความรู้สึกเหนือกว่าของกู้จิ่นอวี๋ก็้พลันพลุ่งพล่านขึ้น “จวนติ้งอันโหวกว้างใหญ่มาก ว่ากันว่าเคยเป็นที่พักของอ๋องคนหนึ่งมาก่อน ต่อมาถูกฮ่องเต้พระองค์ก่อนพระราชทานให้ท่านปู่ ท่านปู่เขาชอบสระปลาด้านหน้านั้นมาก ท่านพี่จะไปดูหรือไม่”
“อืม”
กู้เจียวให้ความร่วมมือจนน่าแปลกใจ
กู้จิ่นอวี๋้ตกใจอีกครั้ง
นางพากู้เจียวมาถึงศาลารับลมข้างสระปลา ตรงนั้นมีอาหารปลาเตรียมไว้อยู่ตลอด ผู้เป็นนายของจวนเดินชมมาถึงตรงนี้ก็สามารถหยิบมาป้อนปลาน้อยได้ แต่ยามนี้ผิวทะเลสาบแข็งตัวเป็นน้ำแข็งแล้ว ไม่สะดวกให้อาหาร
กู้จิ่นอวี๋้ “หากท่านพี่ชอบจวนโหวก็ไตร่ตรองในการย้ายเข้ามาอยู่ได้ ข้าจะยกเรือนชิงหย่าให้ท่านพี่…”
“ตรงนั้นคืออะไรรึ” จู่ๆ กู้เจียวก็ชี้ไปหลังภูเขาพลางถามขึ้น
กู้จิ่นอวี๋้ถูกตัดบทก็ไม่พอใจ แต่ก็ยังคงตอบไปอย่างมีน้ำอดน้ำทนว่า “เป็นหลังเขา พี่ชายทั้งสามมักจะไปที่นั่น”
กู้เจียว “วันนี้ใครไปรึ” หลังเขามีความเคลื่อนไหว แต่โสตประสาทของกู้จิ่นอวี๋้ไม่ได้ยินก็เท่านั้น
“เหมือนว่าจะเป็นพี่รองนะ” กู้จิ่นอวี๋้จำได้ว่าเมื่อครู่ตอนมาจากเรือนตัวเอง นางเห็นพี่รองเดินไปทางหลังเขา
“ฮูหยินเรียกเจ้าแหน่ะ” กู้เจียวบอก
“หา” กู้จิ่นอวี๋้หันกลับไปมอง “เหตุใดข้าจึงไม่ได้ยินล่ะ”
กู้เจียวเอ่ยโดยสีหน้าไม่เปลี่ยนว่า “เหมือนว่าข้าจะได้ยินนะ”
กู้จิ่นอวี๋้ “แล้ว…ท่านพี่จะกลับหรือไม่”
กู้เจียว “ยังไม่อยากไป”
กู้จิ่นอวี๋้ “…”
สนทนากับคนๆ นี้แล้วมักจะโดนยั่วโทสะตลอดเลย แม้ว่าอีกฝ่ายจะไม่ได้ด่าตนก็เถอะ
กู้จิ่นอวี๋้จิกนิ้วแล้วเอ่ยว่า “เช่นนั้นท่านพี่รอข้าตรงนี้ ข้าไปครู่เดียวเดี๋ยวมา”
เมื่อกู้จิ่นอวี๋้จากไปแล้ว กู้เจียวก็เบนฝีเท้าไปทางหลังเขา
กู้เฉิงเฟิงกำลังเด็ดผลไม้อยู่หลังภูเขา ไม่รู้ว่ากู้เฉิงหลินเกิดบ้าคลั่งอะไรขึ้นมาอยากจะกินผลไม้หลังเขาเสียให้ได้
ผลไม้สีแดงก่ำเช่นนี้เล็กกว่าซานจาอยู่หน่อย แม้ในวันหิมะตกหนักก็สามารถเติบโตได้ อันที่จริงรสชาติจืดชืดไม่ค่อยอร่อย แต่กู้เฉิงหลินนิสัยเด็กน้อย ชอบกินผลไม้แปลกๆ หายากเช่นนี้นัก
กู้เฉิงเฟิงเด็ดไปเรื่อยๆ จู่ๆ ก็รู้สึกถึงไอสังหารสายหนึ่งโถมมาที่ตน
ร่างเขาเร้นหลบการโจมตี ปลายเท้าขยับไหวหันหลังกลับมาอย่างว่องไว
เมื่อเขาเห็นว่าผู้มาใหม่คือกู้เจียว สีหน้าก็พลันชะงักงันไป
กู้เจียวยกมือขึ้นบีบน้ำแข็งที่เกาะอยู่บนกิ่งก้าน แขนนางยาวมาก นางใช้น้ำแข็งเป็นคมดาบหันฟาดไปทางกู้เฉิงเฟิงอย่างเย็นชา
ในขณะที่กู้เฉิงเฟิงกำลังมองนางอย่างระแวดระวังว่านางจะเรียกใครมาหรือไม่ ก็เกือบหลบแทบไม่ทัน
กู้เจียวไม่ได้ลงมือปรานีกันสักนิด
ดังนั้นหากเขาไม่คล่องแคล่วพอล่ะก็ ได้โดนน้ำแข็งปักคอทะลุไปแล้ว
“เจ้าจะทำอะไรน่ะ” กู้เฉิงเฟิงกัดฟันถาม
กู้เจียวโยนน้ำแข็งในมือเล่น ก่อนจะโยนไปทางอีกฝ่ายอย่างแรง
ในที่สุดกู้เฉิงเฟิงก็ปาอาวุธลับออกไป
อาวุธลับอันหนึ่งโจมตีน้ำแข็งให้แตกละเอียด อีกสองอันพุ่งไปทางกู้เจียว
บั้นเอวกู้เจียวโค้งไปด้านหลังเป็นรูปสะพานโค้งอย่างน่าเหลือเชื่อ อาวุธลับลอยราบผ่านเอวของนางไป แล้วปักลงบนต้นอู่ถงด้านหลังเสียงดังฉึก!
นี่ก็หลบได้รึ
กู้เฉิงเฟิงหรี่ตาลง “วันนั้นเจ้า…แอบเปิดหน้ากากข้ารึ”
“ผิดแล้ว” กู้เจียวยืดตัวขึ้นตรงมามองเขา “ไม่ได้แอบเสียหน่อย โจ่งแจ้งเลยต่างหาก”
กู้เฉิงเฟิง “…”
เสียงฝีเท้าลอยมาจากอีกด้าน
กู้เฉิงเฟิงนึกถึงอาวุธลับบนต้นไม้ได้ จึงรีบทะยานตัวไปเอากลับคืนมา แต่ถูกกู้เจียวถีบออก!
กู้เฉิงเฟิงคุกเข่าข้างหนึ่งลงกับพื้นเพื่อพยุงตัวไว้ ลื่นไถลกับหิมะบนพื้นไปด้านหลังสิบกว่าก้าว แต่ไม่ได้บาดเจ็บอะไร
กู้เจียวเอ่ยอย่างพออกพอใจว่า “ทนมือทนเท้าอย่างที่คิดไว้จริงๆ”
กู้เฉิงเฟิง “…!!!”
เสียงฝีเท้าใกล้เข้ามา
กู้เฉิงเฟิงไม่มีกระจิตกระใจมารบราติดพัน จึงเร้นกายจากไป
กู้เจียวกลับสาวเท้ามาข้างหน้า ดึงเขาที่ทะยานตัวขึ้นกลางอากาศลงมา!
กู้เฉิงเฟิงพะว้าพะวังเกินไป ไม่อาจแสดงความสามารถออกมาได้อย่างเต็มที่ จึงถูกกู้เจียวดึงเข้าไปในห้องไม้เล็กๆ ที่อยู่ด้านข้าง
แม่นางเหยาวางยาพิษให้อนุหลิงในห้องนี้
ผู้มาใหม่คือกู้ฉังชิง
เขาได้ยินเสียงความเคลื่อนไหวด้านหลังภูเขาจึงได้มาหาต้นตอ
ปรากฏว่าไม่มีใครเลย
แต่มีรอยเท้าบนหิมะและร่องรอยการต่อสู้
ยามนี้เขายังไม่เห็นอาวุธลับบนต้นอู่ถง
กู้เฉิงเฟิงมองเขาอย่างตระหนก เหงื่อเย็นผุดซึมออกมาตรงหน้าผาก
“จะให้โอกาสเจ้าสักหน” กู้เจียวเอามือสองข้างกอดอก “ตอบคำถามข้ามา มิฉะนั้นข้าสามารถช่วยเจ้าได้ และสามารถกลบฝังเจ้าได้เช่นกัน”
กู้เฉิงเฟิง “เหอะ มีปัญญาเจ้าไม่ลงมือแต่แรกล่ะ”
กู้เจียว “ข้าน่ะกล้าลงมือ แล้วเจ้ากล้าหรือไม่”
กู้เฉิงเฟิงจุกในลำคอ
เขามองกู้ฉังชิงที่ไล่ตรวจดูหิมะบนพื้นแวบหนึ่ง “เจ้าอยากรู้อะไร”
กู้เจียวเอ่ยถามว่า “จวนเซวียนผิงโหวมีคนชื่ออาเหิงอยู่ ไม่ใช่คนรับใช้ เขาเป็นใคร”
กู้เฉิงเฟิงมองนางอย่างระแวดระวัง “เจ้าเป็นใครกันแน่ เหตุใดจึงอยากสืบข่าวของจวนเซวียนผิงโหว”
กู้เจียวเอ่ยเสียงเรียบว่า “เจ้าแค่ตอบมาก็พอ”
กู้ฉังชิงมาหยุดอยู่ใต้ต้นอู่ถง เพียงแค่หันหลังมาก็จะพบอาวุธลับที่ปักบนต้นแล้ว
กู้เฉิงเฟิงกำหมัดแน่น เอ่ยเสียงเย็นว่า “ในชื่อที่มีคำว่าเหิง มีเพียงท่านโหวน้อยผู้นั้นที่ตายไปแล้วเพียงคนเดียว เขาชื่อเซียวเหิง”
กู้เจียว “เหิงไหนรึ”
กู้เฉิงเฟิง “เหิงที่แปลว่าหยกงาม”
“อ๋อ” กู้เจียวขบคิดครู่หนึ่ง ก่อนจะพออกพอใจกับคำว่าเหิงนี้มาก
นางโคลงศีรษะเล็กน้อย
แต่ท่าทางน่ารักไม่น้อย
กู้เฉิงฟิงผินหน้าหนี บ้าไปแล้ว เด็กคนนี้เป็นนักฆ่าชัดๆ ไหนเลยจะมาน่ารักได้
กู้เจียวยื่นมือไปหาอีกหน
“จะทำอะไรน่ะ” กู้เฉิงเฟิงถาม
กู้เจียวเหลือบมองกู้ฉังชิงที่อยู่นอกห้อง “พันตำลึง แล้วข้าจะไม่พูดเปิดโปงเจ้า”
กู้เฉิงเฟิงหนังตากระตุกยิกๆ ทันที “พันตำลึง! เหตุใดเจ้าไม่ไปปล้นเอาล่ะ!”
กู้เจียวทำท่าจะไปเปิดประตู
กู้เฉิงเฟิงลมหายใจสะดุด “ข้าไม่ได้พกเงินมามากมายเพียงนั้น!”
กู้เจียว “เขียนสัญญาหนี้ไว้”
กู้เฉิงเฟิง “ที่นี่ไม่มีกระดาษพู่กันเลย”
กู้เจียวหยิบดินสอถ่านกับสมุดเล่มเล็กออกมาจากกระเป๋าใบน้อยที่หญิงชราทำให้นาง แล้วเปิดหน้าที่ว่างส่งให้เขา “เอาไป”
กู้เฉิงเฟิง “…”
หากสายตาสามารถฆ่าคนได้ กู้เฉิงเฟิงได้ฆ่ากู้เจียวไปแล้วร้อยรอบ!
กู้เฉิงเฟิงกัดฟันเขียนสัญญาหนี้ “แบบนี้คงได้แล้วกระมัง”
กู้เจียวอ่านสัญญาจบ มั่นใจแล้วว่าไม่มีอักษรใดเป็นกับดัก ก็ส่งเสียงอืมอย่างพอใจ แล้วเก็บดินสอถ่านกับสมุดกลับคืนให้เรียบร้อย
กู้เฉิงเฟิงแอบลอบพรูลมหายใจออกมา แล้วสังเกตการเคลื่อนไหวของพี่ใหญ่ต่อ
ครู่ต่อมา กู้เจียวก็ยกเท้าขึ้นมาเล็งบั้นท้ายเขา แล้วถีบเขาออกไปทันที!
ข้าบอกแค่ว่าไม่เปิดโปงเจ้า แต่ไม่ได้บอกนี่นาว่าจะไม่เตะเจ้า ใช่หรือไม่