สามีข้าคือขุนนางใหญ่ - บทที่ 173 คลั่งน้องสาว
กู้เฉิงเฟิงเดินโซเซออกมา หน้าคะมำลงกับหิมะบนพื้น ล้มลงข้างเท้ากู้ฉังชิง!
กู้ฉังชิง “…”
กู้เฉิงเฟิง “…”
กู้เฉิงเฟิงสะเพร่าเกินไป เขาไม่คิดว่าเด็กสาวคนนั้นจะร้ายกาจเช่นนี้ เก็บสัญญาหนี้ของเขาไว้สุดท้ายยังถีบเขาออกไปอีก!
กู้ฉังชิงขมวดคิ้วมองน้องชายที่หน้าคว่ำกับพื้นอย่างแปลกใจ “เจ้าทำอะไรน่ะ”
เพิ่งจะเอ่ยขึ้น กู้เจียวก็เดินออกมาจากห้องไม้เล็กๆ
กู้ฉังชิงสีหน้ายิ่งแปลกพิกลยิ่งกว่าเดิม
กู้เฉิงเฟิงไม่เคยโดนคนคิดบัญชีมาก่อน และไม่เคยอับอายขายขี้หน้าเช่นนี้มาก่อนด้วย
เด็กสาวคนนี้…กำลังแก้แค้นที่เขาคิดบัญชีนางวันนั้นน่ะรึ
กู้เฉิงเฟิงอับอายกลายเป็นโกรธพลางคลานขึ้นมาจากพื้นหิมะ มองกู้เจียวแวบหนึ่งแล้วเอ่ยอย่างเดือดดาลว่า “ไม่มีอะไรหรอก ไม่ทันระวังจึงเลยล้มน่ะ”
กู้ฉังชิงถามว่า “พวกเจ้ามาอยู่ที่นี่กันได้อย่างไร”
กู้เฉิงเฟิงตอบเอ่ยว่า “ข้ามาเด็ดผลไม้ให้น้องสาม”
บนพื้นมีตะกร้ากับผลไม้สีแดงตกเกลื่อนอยู่ นี่เป็นสิ่งที่กู้เฉิงหลินชอบกิน กู้ฉังชิงก็เคยมาเก็บให้เขาเช่นกัน
กู้ฉังชิงมองไปยังกู้เจียว “แล้วเจ้าล่ะ”
“แค่ผ่านทางมา” กู้เจียวบอก
ผ่านทางมาอย่างนั้นรึ กู้ฉังชิงมองร่องรอยต่อสู้ตรงหิมะบนพื้น คิดในใจว่า พวกเจ้าสองคนคงไม่ได้สู้กันหรอกนะ
แต่เพียงไม่นานเขาก็รู้สึกว่าการคาดเดานี้ช่างไม่สมเหตุสมผลเลย
ฝีมือของกู้เจียวเขาก็เคยเห็นมาแล้ว ตีจนกู้เฉิงเฟิงที่เป็นบัณฑิตอ่อนแอได้อย่างเหลือเฟือ
ดังนั้นหากนางลงมือเข้าจริงๆ ยามนี้กู้เฉิงเฟิงคงเกือบตายแน่แล้ว
“พวกเจ้าเห็นใครอยู่แถวนี้อีกหรือไม่” กู้ฉังชิงยังรู้สึกว่าก่อนหน้านี้มียอดฝีมืออยู่ตรงนี้มาก่อน
กู้เฉิงเฟิงปฏิเสธเด็ดขาดว่า “ไม่เลยขอรับ!”
กู้เจียวมาหยุดอยู่ใต้ต้นอู่ถง มือข้างหนึ่งยื่นไปยังอาวุธลับบนต้นไม้อย่างเชื่องช้า พร้อมกับหยักยกมุมปากอย่างชั่วร้าย
กู้เฉิงเฟิงคิ้วกระตุก “หนึ่งพันตำลึง!”
กู้ฉังชิงขมวดคิ้วมองน้องชายตัวเอง “เจ้าว่าอะไรนะ หนึ่งพันตำลึงอะไรรึ”
กู้เฉิงเฟิงเหงื่อเย็นท่วมร่าง เขาดึงสายตากลับมา ตั้งสติให้ดี แล้วเอ่ยกับพี่ใหญ่ว่า “ขะ…ข้าถูกใจบางอย่างเข้า จะมาขอเงินหนึ่งพันตำลึง”
“ของอะไรจึงแพงเช่นนี้” กู้ฉังชิงถาม
บ้านพวกเขาไม่ขัดสนเงินทอง เขาไม่เคยเคร่งขัดเรื่องที่พัก อาหารและเครื่องนุ่งห่มกับน้องชายทั้งสองคนเลย แต่ไม่ว่าเรื่องใดล้วนมีขีดจำกัด ฟุ่มเฟือยเกินไปก็ไม่ดี
กู้เฉิงเฟิงอ้าปากพะงาบ เอ่ยด้วยสีหน้าปกติว่า “เป็นอักษรภาพโบราณรูปหนึ่ง”
กู้เจียวดึงอาวุธลับอันนั้นออก แล้วเก็บใส่กระเป๋าเสื้อไว้
เพียงไม่นานนางก็มองไปยังอาวุธลับอันที่สอง แล้วยิ้มชั่วร้ายขึ้นมาอีกหน
กู้เฉิงเฟิงอยู่ไม่สุขเสียแล้ว “พะ…เพิ่มให้อีกหนึ่งพันตำลึง!”
เกรงว่าน้องชายคนนี้จะไปกินยาผิดมาเสียแล้ว
กู้ฉังชิงยกมือขึ้นลูบหน้าผากน้องชาย
ไม่ได้ตัวร้อนนี่
มีแต่เหงื่อเต็มหน้า
“…ข้าจำผิดน่ะ! อีกฝ่ายบอกว่าสองพันตำลึง!” กู้เฉิงฟิงพยายามกลบเกลื่อนคำโกหก “ข้าคิดว่าพี่ใหญ่จะมีเงินให้ข้าหยิบยืมบ้างหรือไม่”
กู้ฉังชิงปฏิเสธอย่างดุดันว่า “ไม่มี ไม่อนุญาตให้ซื้อของแพงเช่นนี้!”
กู้เฉิงเฟิง “อ๋อ”
กู้เจียวดึงอาวุธลับอันที่สองออกมาใส่กระเป๋าเสื้อผ้าไว้ แล้วหยิบดินสอถ่านกับสมุดเล่มเล็กของตัวเองออกมา ก่อนจะเดินมาตรงหน้ากู้เฉิงเฟิง “ข้าเรียนน้อย มีบางตัวที่เขียนไม่เป็น รบกวนคุณชายรองช่วยข้าเขียนที”
กู้เฉิงเฟิงกัดฟันรับสมุดเล่มเล็กมา
กู้ฉังชิงขมวดคิ้วจนหน้าผากย่น
กู้เฉิงเฟิงเขียนสัญญาหนี้อย่างรวดเร็ว แล้วคืนสมุดเล่มเล็กกับดินสอถ่านให้กู้เจียว
กู้เจียวเก็บไปด้วยความพออกพอใจ
ในขณะนั้นเอง กู้จิ่นอวี๋้ก็เดินมาหา
“ท่านพี่! พี่ใหญ่ พี่รอง” นางคำนับให้ทั้งสองคนด้วยสีหน้าตกใจ เหมือนว่าก่อนหน้านี้จะไม่เห็นทั้งสองคนอยู่ตรงนี้นะ
พี่น้องสองคนไม่ค่อยพอใจเท่าใดนัก
เนื่องจากกู้เฉิงเฟิงถูกหลอกเอาเงินสามพันตำลึง
กู้ฉังชิงก็ไม่รู้ว่าเพราะอะไรเช่นกัน
ทั้งสองคนไม่ได้พูดคุยกับกู้จิ่นอวี๋้ และจากไปด้วยสีหน้าเย็นชา
กู้ฉังชิงหลบหน้าไม่อยากพบเจอกับกู้เจียวแท้ๆ แต่ไม่รู้ว่าเขานึกอะไรได้ จึงชะงักฝีเท้าลง แล้วหันกลับมาเอ่ยกับกู้เจียวว่า “ขะ…ข้าก็เคยเรียนหนังสือมาเหมือนกัน!”
กู้เจียว “…”
หลังจากสองพี่น้องจากไปแล้ว กู้จิ่นอวี๋้ก็เดินเข้าไปหา ก่อนถามด้วยสายตาวูบไหวว่า “ท่านพี่ มาตรงนี้ได้อย่างไร พี่ใหญ่ พี่รองพูดอะไรกับพี่รึ เหมือนว่าพี่รองจะเขียนอะไรให้พี่ด้วย เขาเขียนอะไรรึ”
“ไม่มีอะไรหรอก” กู้เจียวรูดกระเป๋าใบเล็กปิด
กู้จิ่นอวี๋้จิกมือตัวเอง ตั้งแต่เกิดเรื่องแจกันลายครามแตก พี่ชายทั้งสามในจวนก็ไม่ได้พูดคุยอะไรกับนางมานานมากแล้ว เมื่อครู่นางกลับเห็นพี่ใหญ่กับพี่รองสนทนากับกู้เจียวเสียนานสองนาน
นางบีบผ้าเช็ดหน้าแน่น ก่อนเอ่ยเสียงนุ่มกับกู้เจียวว่า “ท่านพี่ ท่านแม่ไม่ชอบให้พวกเราไปมาหาสู่กันกับพี่ชายทั้งสาม ต่อไปพี่อย่าไปพูดคุยกับพวกเขาเลย และไม่ต้องไปเข้าใกล้พวกเขา ท่านแม่จะโกรธเอาได้”
“กลับกันเถอะ” กู้เจียวไม่ได้ต่อบทสนทนาของนาง แต่หันหลังเดินไปทางสวนเหมยแทน
กู้จิ่นอวี๋้มองแผ่นหลังเล็กอันคล่องแคล่วสง่างามของนางพลางสีหน้าทะมึนขึ้น
“พี่ใหญ่” กู้เฉิงเฟิงเดินมาได้ครึ่งทางก็โพล่งขึ้น “พี่เคยเจอเด็กคนนั้นหรือไม่ เมื่อครู่พี่ไม่ได้ถามว่านางเป็นใครนี่”
แม้เด็กคนนั้นจะมาที่จวนหลายครั้งแล้ว แต่ก็แค่มาเยี่ยมแม่นางเหยาเท่านั้น ไม่เคยไปคารวะทักทายเหล่าฮูหยินกับพี่ชายอย่างพวกเขาเลย
เขาเคยเจอนาง เพราะกู้จิ่นอวี๋้กับหลิงสุ่ยเซียนทำแจกันลายครามของพี่ใหญ่แตก นางจึงพาแม่นางเหยาไปที่เรือนเพื่อรับกู้จิ่นอวี๋้
แต่ตอนนั้นพี่ใหญ่ฝึกกระบี่อยู่หลังเขา
พอพี่ใหญ่กลับมาที่เรือน นางก็ไม่อยู่ที่จวนแล้ว
หรือว่าพวกเขาสองคนจะรู้จักกันตั้งแต่ครานั้น แล้วกลับกลายจากศัตรูเป็นมิตรในทันทีแล้ว
วันนี้เขาสัมผัสถึงความต่อต้านต่อเด็กสาวคนนั้นจากตัวพี่ใหญ่ไม่ได้เลยแม้แต่น้อย
กู้ฉังชิงหยุดเว้นไปแล้วเอ่ยว่า “เคยเจอสิ”
กู้เฉิงเฟิง “เมื่อใดรึ”
กู้ฉังชิง “เจ้าจะถามเรื่องนี้ไปทำไม ข้ายังไม่ถามเจ้าเลยว่าเมื่อครู่เจ้าไปอยู่หลังเขาด้วยกันกับนางได้อย่างไร พวกเจ้าสู้กันในห้องรึ”
กู้เฉิงเฟิงกระแอมกลั้วคอ “ข้าจะไปสู้กับนางได้อย่างไร ดีร้ายอย่างไรข้าก็เป็นพี่ชาย จะไปรังแกนางได้อย่างไรล่ะ”
แต่หากนางไม่ใช่น้องสาวข้าล่ะก็ นั่นก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง
จากนั้นสองพี่น้องก็ไม่ได้พูดอะไรกันอีก
เรือนของกู้เฉิงเฟิงค่อนข้างใกล้ เขาจึงถึงก่อน
ชั่วขณะที่ก้าวข้ามธรณีประตู จู่ๆ เขาก็หันหน้ากลับมามองกู้ฉังชิงอย่างมีเลศนัย “พี่ใหญ่ เมื่อครู่พี่ไม่ได้แย้งว่าพวกเรามีแค่น้องชายคนเดียว ไม่มีน้องสาวนะ”
กู้ฉังชิงนัยน์ตาหดเกร็ง
กู้เฉิงเฟิงยิ้มเย็นเยียบ “พี่ใหญ่ลืมไปแล้วหรือว่าท่านแม่ตายอย่างไร”
กู้ฉังชิงอยากจะพูดแต่ก็ยั้งเอาไว้
กู้เฉิงเฟิงหัวเราะเสียงเย็นแล้วหันหลังเข้าห้องไป
กู้เฉิงหลินนอนหลับอยู่บนเตียงของกู้เฉิงเฟิง กู้เฉิงเฟิงเดินไปห่มผ้าให้เขา
ทันใดนั้น บ่าวรับใช้ก็มารายงานว่าอนุหลิงมาหา
อดีตฮูหยินจากกโลกนี้ไปไว หลายปีมานี้อนุหลิงเป็นคนดูแลพวกเขาสามพี่น้องมาโดยตลอด กู้ฉังชิงค่อนข้างพึ่งพาตัวเอง ซ้ำยังติดตามอยู่ข้างกายอดีตท่านโหวอยู่ตลอด ไม่สนิทกับอนุหลิงเท่าพวกกู้เฉิงเฟิง
อนุหลิงหิ้วกล่องอาหารใบหนึ่งเดินเข้าห้องมาด้วยสีหน้าอมยิ้ม
นางเห็นกู้เฉิงหลินบนเตียง ก่อนจะยิ้มอย่างตกใจว่า “ไอ้หยา หลินเอ๋อร์หลับได้อย่างไรน่ะ”
กู้เฉิงเฟิงเชิญนางมาข้างโต๊ะ “วันนี้หนาวขนาดนี้ อนุมาได้อย่างไร”
อนุหลิงยิ้มอ่อนโยนพลางเอ่ยว่า “ที่ครัวย่างเนื้อกวางมา ข้าจึงเอามาให้พวกเจ้านิดหน่อย จริงสิ เมื่อหลายวันก่อนสีหน้าเจ้าไม่ค่อยดี คิดถึงแม่หรือ วันครบรอบวันตายของท่านพี่ใกล้มาถึงแล้ว ข้าว่าวันไหนจะพาพวกเจ้าสามพี่น้องไปจุดธูปให้นางที่สุสานหน่อย”
กู้เฉิงเฟิงพยักหน้า “แล้วแต่อนุเลย”
อันที่จริงตอนที่อนุหลิงเข้าจวนมาแรกๆ สามพี่น้องก็ค่อนข้างต่อต้านนางเช่นกัน แต่อนุหลิงบอกกับพวกเขาว่า “‘ที่ข้าเข้าจวนมาหาใช่เพื่อมาแทนที่พี่สาวข้า หรือมาเป็นมารดาแท้ๆ ของพวกเจ้าแต่อย่างใด ข้ามาดูแลพวกเจ้าแทนพี่สาว ตั้งแต่นี้ต่อไปข้าจะเห็นเจ้าเป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของตัวเอง ข้าจะไม่มีทางมีน้องชายน้องสาวน่ารำคาญให้พวกเจ้า ข้ามีลูกแค่สามคน นั่นก็คือพวกเจ้า”’
อนุหลิงทำได้แล้ว
หลายปีมานี้นางทุ่มเทดวงใจให้พวกเขาสามคนพี่น้อง เหมือนมารดาแท้ๆ ยิ่งกว่ามารดาแท้ๆ อีก
แต่เป็นเพราะในใจพวกเขามีตำแหน่งของมารดาแท้ๆ แล้ว ดังนั้นจึงมอบสิ่งตอบแทนอย่างมารดาแท้ๆ แก่อนุหลิงไม่ได้ ทว่าก็เพราะเช่นนี้เหมือนกัน พวกเขาจึงรู้สึกผิด และยิ่งอยากจะชดใช้ให้อนุหลิงด้วยวิธีอื่น
กู้เฉิงเฟิงเคยถามอนุหลิงว่าอยากได้อะไรหรือไม่
ตอนนั้นเขาคิดว่า ขอแค่อนุหลิงเอ่ยปาก ต่อให้เป็นตำแหน่งของนายหญิงเขาก็จะเอามาให้นาง
แต่อนุหลิงส่ายหน้า ลูบศีรษะเขาพลางเอ่ยอย่างอ่อนโยนว่า “ข้าไม่อยากได้อะไรทั้งนั้น ขอแค่พวกเจ้าสามคนสบายดี ข้าก็พอใจแล้ว”
สตรีจิตใจดีไม่เห็นแก่ตัวเช่นนี้ ดีกว่าสตรีร้ายๆ อย่างแม่นางเหยามากนัก
แม่นางเหยาทำร้ายมารดาพวกเขาจนตาย แย่งท่านพ่อของพวกเขาไป ซ้ำยังมีน้องชายและน้องสาวน่ารำคาญให้บิดาด้วย
ท่านพ่อก็ไม่มีพวกเขาอยู่ในสายตาอีกเลย
มีประโยคหนึ่งที่ว่าไว้ไม่ผิดเลยว่า มีแม่เลี้ยงก็มีพ่อเลี้ยง
ทุกครั้งที่กู้เหยี่ยนทะเลาะกับพวกเขา ไม่ว่าพวกเขาจะผิดหรือไม่ ท่านพ่อก็จะตำหนิและลงโทษแต่พวกเขาตลอด
ท่านพ่อหักใจแตะต้องกู้เหยี่ยนไม่ได้แม้แต่ปลายผม
ตอนที่ท่านแม่ยังอยู่เคยบอกว่าชอบดอกเหมยมากที่สุด
ท่านพ่อไม่ชอบความยุ่งยาก เข้าหูซ้ายทะลุหูขวา
หลังจากแม่นางเหยาเข้าจวนมา แค่มองดอกเหมยบานอยู่ครู่เดียว ท่านพ่อก็สร้างสวนเหมยให้แม่นางเหยาโดยเฉพาะเลย
กู้เฉิงเฟิงทั้งริษยาและเกลียดชังแม่นางเหยากับลูกของนาง
ทว่าดูเหมือนท่านพ่อจะไม่ชอบลูกสาวแท้ๆ ของแม่นางเหยา และยิ่งรักใคร่กู้จิ่นอวี้ที่เลี้ยงดูอยู่ข้างกายมาตั้งแต่เด็กๆ มากกว่าเดิม
นี่กลับน่าสนุกขึ้นมาแล้ว
“เฟิงเอ๋อร์ เฟิงเอ๋อร์!” อนุหลิงเรียกเขา
“หืม” กู้เฉิงเฟิงหลุดจากภวังค์
อนุหลิงแย้มยิ้ม “ที่ข้าว่ามาเมื่อครู่ เจ้ามีความเห็นใดหรือไม่”
กู้เฉิงเฟิงเอ่ยด้วยสีหน้าเคร่งขรึมว่า “ไม่มี อนุจัดการได้เหมาะสมมาโดยตลอด ก็เอาตามที่อนุว่าก็แล้วกัน”
อนุหลิงลุกขึ้นยืน เอ่ยเสียงนุ่มว่า “ได้สิ เช่นนั้นข้าจะให้คนไปเตรียมของไหว้ก่อน”
นี่เป็นโอกาสทองที่จะแย่งชิงการควบคุมการหุงหาอาหารในบ้านกลับคืนมา นางจะต้องทำให้ดี!